ศพ – ตอนที่ 444 ผู้จับวิญญาณ

ตอนที่ 444 ผู้จับวิญญาณ

หลังผมพุ่งออกไปทางหลังร้าน ตัวผมก็หยุดนิ่งทันที

เห็นเพียงตรงหน้าของตัวเองประมาณ 7-8 เมตร มีคนสองคนยืนอยู่

ไม่ซิ ต้องบอกว่าผมเห็นผีสองตนต่างหาก

แต่ไม่ใช่ผีร้ายชุดขาว ชุดเหลืองหรือชุดแดงอะไรทั้งนั้น แต่ก็ถือเป็นวิญญาณที่ทําให้ผมกลัวได้ถึงขนาดนี้

ผีสองตัวนี้ตัวหนึ่งผอมตัวหนึ่งอ้วน ตัวหนึ่งดําตัวหนึ่งขาว บนร่างกายปลดปล่อยพลังหยินที่เข้มข้นออกมาตลอดเวลา

ไอพลังแบบนั้นดูเหมือนกับมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ทรงพลังมาก หรือแม้แต่มีควันขาวๆปรากฎขึ้นรอบๆ

นอกจากนี้ สิ่งที่โดดเด่นที่สุด ยังเป็นบนหัวของพวกเขา ทั้งสองคนใส่หมวกทรงสูง ในมือยังถือไม่ไว้ทุกข์สีดําและขาว

และบนหมวกทรงสูงใบนั้น ก็มีอักษรสีแดงตัวใหญ่เขียนเอาไว้สองสามคำ

บนหมวกทรงสูงของผีชุดขาว เขียนคําว่า “ใครพบจะร่ํารวย” ส่วนหมวกของผีชุดดํา กลับเขียน

“สงบสุขทั่วล่า”

ไม่ใช่แค่นี้ สิ่งที่ทําให้ผมกลัว ยังเป็นรูปร่างหน้าตาของผีสองตนนี้

พูดถึงผีชุดขาวก่อน นอกจากเขาจะถือไม่ไว้ทุกข์และสวมหมวกทรงสูงแล้ว

หน้าของเขายังซิดผิดปกติ ตาเล็กดูเฉียบคม และเปล่งประกายจนผิดปกติ แต่กลับคลี่ยิ้มออกมา ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนใจดีมากคนหนึ่ง

ส่วนปากของเขา มีลิ้นยาวๆสีแดงๆแลบออกมายาวมาก

ลิ้นอันนั้นยาวมาก ยาวจนมาถึงหน้าอกของเขาได้

ตอนนี้กําลังกวัดแกว่งไปมา ทําให้คนที่เห็นขนลุกขนพอง ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เหมือนกับได้เห็นผีผูกคอตายไม่มีผิด

ส่วนผีชุดดําที่อยู่ข้างๆเขา มีผิวดําเหมือนถ่าน

ใบหน้าดุร้าย ดวงตาเป็นประกาย

ทั้งตัวของเขา ดูบวมออกมาพอสมควร เหมือนกับบวมนํา

ถ้าอยู่ในสายงานของพวกเราก็จะได้ยินจากพวกนิทานพื้นบ้าน หรือแม้แต่ดูหนังเรื่องนางพญางูขาวก็จะรู้จักกันทั้งนั้น

ถ้าใส่เสื้อผ้าแบบนี้ สภาพแบบนี้ เราก็จะเดาฐานะของพวกเขาได้ง่ายสุดๆ

ถึงผมจะไม่เคยเจอพวกเขาแบบตัวเป็นๆมาก่อน แต่ตอนนี้พอมาได้มาเจอแล้ว ผมก็รู้ฐานะของพวกเขาทันที

ไม่ใช่ใครอื่น พวกเขาก็คือเฮยไปอู่ฉาง ยมทูตที่มาจับวิญญาณไปลงโทษในนรก ผู้เลื่องชื่อรายนั้นนั่นเอง

มีเพียงเฮ่ยไป่อู่ฉางที่ขึ้นมาจับวิญญาณบนโลกมนุษย์เท่านั้น ถึงจะมีสภาพและใส่เสื้อผ้าแบบ

และในศาลเจ้าหลักเมืองหรือพวกวัดต่างๆ ก็จะมีรูปปั้นทองสําริดของพวกเขาทั้งนั้น

ตนที่ใส่ชุดขาวถือไม้ไว้ทุกข์สีขาว บนหมวกทรงสูงเขียนคําว่าใครพบจะร่ํารวย คือเชี่ยปี่อ้านมนุษย์เรียกว่าท่านเจ็ด ( ชิดเอี๋ย )

ส่วนตนที่ใส่ชุดดำ ถือไม้ไว้ทุกข์สีดำ บนหมวกทรงสูงเขียนค่าว่าสงบสุขทั่วล่า คือฟานอู่จิ้ว มนุษย์เรียกว่าท่านแปด ( โป๊ยเอี๋ย)

ผมทํามาหากินกับร้านขายของให้คนตายมาตั้งแต่เด็ก ย่อมเคยได้ยินเรื่องราวและรูปร่างของผีทั้งสองตนนี้มาตั้งนานแล้ว

เมื่อก่อนอาจารย์เคยเล่าให้ผมฟังว่า ตอนมีชีวิตอยู่ทั้งสองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทกัน และแล้ววันหนึ่งพวกเขาก็นัดกันไปเดินตลาด

ผลลัพธ์พอเดินมาได้ครึ่งทาง พวกเขาก็เดินมาถึงสะพานแห่งหนึ่ง ขณะเดียวกันฝนก็ตกลงมา

ท่านเจ็ดหรือเชี่ยปี่อ้าน ! พูดกับท่านแปดฟ่านอู่จิ้วว่า ฝนตกแล้ว พวกเราไม่มีใครเอาร่มมา ฉันจะกลับไปเอาร่มมาก่อน แล้วสุดท้ายก็บอกให้ฟ่านอู่จิ้วรอเขาอยู่ที่สะพาน

ฟานอู่จิ๋วพยักหน้าตกลง บอกว่าถ้านายไม่มา ฉันก็จะไม่ไปไหน

หลังจากนั้นเชี่ยปี่อ้านก็กลับไปเอาร่มที่บ้าน แต่หลังจากเชี่ยปี่อ้านออกไปแล้ว ฝนก็เริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ

น้ําในแม่น้ําเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ฟานอู่จิ๋วที่ยืนรออยู่ที่เดิมก็ “ไม่คิดก่อนพูด”

เพราะบอกเชี่ยปี่อ้านไปแล้ว ถ้าเชี่ยปี่อ้านไม่มา เขาก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น

ขณะมองน้ําที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เขาเองก็ไม่รู้จักวิ่งไปอีกทางด้านหนึ่ง สุดท้ายเมื่อน้ําไหลเชียวเกินไป เขาก็โดนพัดจนจมลงไปในแม่น้ํา แล้วท้ายที่สุดก็จมน้ําตาย โดนกระแสน้ําพัดออกไปจนศพอืดลอยขึ้นมา

พอท่านเจ็ดหรือเชี่ยปีอ้านกางร่มเข้ามา ตรงนั้นยังจะมีร่างของฟ่านอู่จิ๋วอยู่อีกเหรอ ? กระแสน้ําอันเชี่ยวกราดกลืนร่างฟานอู่จิ๋วไปนานแล้ว

เชี่ยปี่อ้านรู้ว่าฟานอู่จิ๋วเป็นคนเที่ยงตรง ก่อนหน้านี้บอกว่าจะรอเขาที่ใต้สะพาน ถ้างั้นฟ้านคู่วก็ต้องรอเขาที่ใต้สะพานอย่างแน่นอน

แต่ตอนนี้น้ําท่วมเกือบกลืนตัวสะพานแล้ว งั้นฟานอู่จิ๋ว ก็คงจมน้ําตายไปนานแล้ว

เชี่ยปี่อ้านปวดร้าวปานจะขาดใจ น้ําตาไหลแต่ไร้ซึ่งเสียงร่ําไห้

บอกว่าเขาเป็นคนฆ่าฟ่านอู่จิ๋ว ถ้าเขามาเร็วกว่านี้หน่อย ฟานอู่จิ๋วก็คงไม่ตาย

ต่อมา เพราะเรื่องนี้ เลยเก็บไปเป็นความผิดของตัวเอง เชี่ยปี่อ้านหาเชือกมาเส้นหนึ่ง ไปยืนตรงที่ฟานอู่จิ้วจมน้ําตาย จากนั้นก็แขวนคอฆ่าตัวตาย กลายเป็นผีผูกคอตาย

หลังทั้งสองคนตายไปแล้ว ก็ได้ไปเจอกันที่ยมโลกอีกครั้ง

พอยมราชได้ยินเรื่องราวมิตรภาพของทั้งสองคน ก็รู้สึกซาบซึ้งใจมาก และด้วยเหตุผลต่างๆ เขาเลยสั่งให้วิญญาณทั้งสองดวงขึ้นมาจับวิญญาณที่ทําผิดกฎหน้าศาลเจ้าหลักเมือง

เรื่องก็เป็นแบบนี้ ท่านเจ็ดฟานอจิ๋ว และท่านแปดเชี่ยปีอาน เลยกลายเป็นยมทูตจับวิญญาณบนโลกมนุษย์

ท่านเจ็ดเชียปีอ้านผูกขาดการจับวิญญาณผู้ชาย ไม่จับวิญญาณผู้หญิง กลับกัน ท่านแปดฟ้านอู่จิวผูกขาดการจับวิญญาณผู้หญิง ไม่จับวิญญาณผู้ชาย

เมื่อผ่านไปนานเข้า ทั้งสองคนก็โดนขนานนามว่าเฮ้ยไปอู่ฉาง เทพที่รู้จักกันดี ว่าเป็นผู้ที่เดินทางระหว่างโลกมนุษย์กับยมโลก

พวกศาลต่างๆ ก็มีรูปปั้นทองสําริดของพวกเขาไม่น้อย

ตอนนี้พอได้มาเจอตัวเป็นๆ ในสมองผมกลับมีเรื่องราวของเฮียไปอู่ฉางผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้ ผมตื่นเต้นและกังวลจนพูดออกมาไม่ถูก แต่สิ่งที่มีมากกว่านั้นคือความกลัวที่ไม่รู้จบสิ้น

เพราะพวกเรารู้เรื่องพวกเขาพอสมควร ดังนั้นถึงได้กลัวแบบนี้

เมื่อก่อนอาจารย์เคยพูดเอาไว้ชัดเจนมาก พวกเขาเป็นยมทูต คนที่สามารถเห็นพวกเขาได้ มีเพียงคนตายเท่านั้น

หากคนเป็นเห็นเข้า ก็มีโอกาสโดนจับวิญญาณไปกว่า 80%

ตอนนี้นอกจากยมทูตสองตนนี้แล้ว ข้างๆของพวกเขา ยังมีวิญญาณคู่รักเมื่อกอยู่ด้วย

มันชัดเจนมาก ตอนนี้ทั้งสองตนกําลังทํางานอยู่ และมาเพื่อจับวิญญาณ วิญญาณคู่รักทั้งสี่คนนั้น

ไม่ได้โดนปีศาจชั่วที่ไหนจับวิญญาณไป

แต่เป็นเพราะถึงเวลาแล้ว หรือไม่ก็เป็นเพราะพวกเขาไปทําเรื่องแหกกฎอะไรไว้ เลยโดนเฮยไปอู่ฉางทั้งสองตน มาจับวิญญาณไป ตัดอายุขัยของพวกเขาก่อนกําหนด

ส่วนผมก็หาเรื่องใส่ตัว เปิดตา ไล่ตามพลังหยินออกมาถึงตรงนี้ แล้วสุดท้ายก็มาเจอกับยมทูตทั้งสองพอดี ทําไมผมถึงได้ซวยแบบนี้นะ

ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ความรู้สึกตื่นกลัวจนผิดปกติปรากฏขึ้น

ช่วงเวลานั้นผมไม่รู้จะทําอะไรดี ได้แต่ยืนอยู่ที่เดิม

ส่วนเฮียไปอู่ฉางก็เห็นผมแล้ว พวกเขาทําตาโต กวาดสายตามองผม

ขณะมองแววตาที่เฉียบคมของเฮียไปอู่ฉาง ผมก็เหงื่อไหลไม่หยุด

เตือนตัวเองไม่หยุดว่า อย่ารนราน อย่ารนราน

ทันใดนั้นเอง แสงสว่างก็แวบเข้ามา

ใช่แล้ว แค่แกล้งทําเป็นคนธรรมดา ทําเป็นมองไม่เห็นพวกเขา หลังจากนั้นก็ค่อยๆถอยกลับไป แบบนี้ก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่เหรอ ?

พอคิดได้แบบนั้น ผมก็กลืนน้ําลายอย่างแรง แกล้งทําเป็นเปิดประตูมาสูดอากาศ แล้วกวาดสายตามองรอบๆแบบตาแข็งๆ “อา อา อากาศไม่ ไม่เลว ไม่ ไม่มีแสงจันทร์……”

ผมอยากสงบสติอารมณ์ แต่ผมกลับพบว่าตัวเองพูดได้ติดๆขัดๆมาก คงเป็นเพราะประหม่าเกิน

แต่ตอนนี้ผมไม่สนอะไรมาก หลังจากพูดจบ ผมก็คิดจะถอยกลับไปแล้วปิดประตู

ต่อจากนั้น ผมก็จะควบคุมร่างกาย ให้หมุนตัวแล้ววิ่งหนีออกไป กลับไปในบาร์ดังเดิม

ผลลัพธ์ผมเพิ่มหมุนได้แค่ครึ่งตัว เสียงแปลกๆก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ไอ้หนู ในเมื่อเห็นยมทูตแล้ว เจ้าก็ยังคิดจะรอดชีวิตไปได้งั้นเหรอ ?”

คําพูดนี้เพิ่งดังขึ้น สายลมอันเยือกเย็นก็พัดเข้ามา ความเร็วแบบนั้นเหมือนโดนภูเขาทับเอาไว้ มันหนักมาก ผมขยับไม่ได้เลยสักนิด

ต่อจากนั้น เสียง “แน่ๆๆ” ของโซ่เหล็กก็ดังขึ้น

ไม่รอให้ผมได้ทําอะไร โซ่เหล็กเส้นหนึ่งก็เข้ามาพันรอบเอวผมแล้ว

เมื่อเห็นภาพนี้ “บิ๊ก” ใจของผมก็หยุดเต้น เหมือนตัวเองกําลังตกลงไปในหุบเขาน้ําแข็ง

ให้ตายเถอะ จบกัน

ดูเหมือนลูกไม้ของผม จะหลอกยมทูตทั้งสองตนนั้นไม่ได้เลยสักนิด

เพิ่งคิดถึงตรงนี้ โซ่เหล็กตรงเอวผมก็โดนกระฉาก ด้วยแรงที่มหาศาลสุดๆ

“เจ๋ง” ผมรู้สึกแสบแก้วหู ตัวกระเด็นล้มลงทันที

แต่ แต่ตอนที่ผมกระเด็นออกมา ตรงหน้าของผม กลับเห็นภาพของตัวเอง

ผมเห็นตัวเองยืนอยู่ที่เดิม และหันข้างเหมือนเมื่อกี้เป๊ะ

ยังไม่ทันได้สติกลับมา ตัวผมก็โดนดึงลงไปบนพื้น และตัว “ผม” ที่อยู่ห่างออกไป ก็ “ปัก” ล้ม

ลงกับพื้น

เมื่อเห็นภาพนี้ ผมก็ตกใจอย่างแรง นั่น นั่นมันร่างกายของผม

เมื่อหันมามองตัวเองอีกที ผมกลับพบว่าตัวเองตัวเบามาก ตัวไม่ร้อนไม่เย็นเลยสักนิด หรือ แม้แต่พบว่าตัวเองไม่ต้องหายใจ และไม่รู้สึกถึงการเต้นของหัวใจแล้ว

วินาทีนั้น เหมือนฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ

จบแล้ว สะ สภาพของฉันในตอนนี้ คง คงเป็นวิญญาณของฉันซึนะ

วินาทีเมื่อกี้ วิญญาณของผมโดนยมทูตสองตนตรงหน้านี้ดึงออกมา

มีชีวิตอยู่ดีๆ ก็ดึงผมออกมาจากร่าง ดังนั้นผมถึงเห็นตัวเองล้มลงกับพื้นซินะ

หรือ หรือว่านี่ก็คือบทลงโทษที่ผมมาเห็นพวกเขาจับวิญญาณ

ตอนนี้ถึงวิญญาณของผมออก คิดจะพาผมไปลงโทษที่ยมโลกพร้อมๆกับวิญญาณคู่รักทั้งสี่ตนนี้เหรอ ?

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset