ศพ – ตอนที่ 445 โดนจับวิญญาณ

ตอนที่ 445 โดนจับวิญญาณ

หลังจากตกใจไปพักหนึ่ง ผมก็มั่นใจว่าผมเห็นร่างกายตัวเองล้มลงมาจริงๆ

และสภาพของผมในตอนนี้คือ ไม่มีอุณหภูมิ หัวใจไม่เต้น ไม่ต้องหายใจ และตัวเบา

ผมมั่นใจ ตัวผมต้องอยู่ในรูปแบบวิญญาณ ตอนนี้ผมเป็นแค่วิญญาณ ไม่มีกายเนื้อ

สิ่งที่สําคัญยิ่งกว่านั้นคือ ผมโดนยมทูตทั้งสองตนตรงหน้า ใช้โซ่เหล็กดึงวิญญาณออกจากร่าง ทั้งที่ผมยังรู้สึกตัวอยู่

พอคิดได้แบบนั้น ผมก็รู้สึกกลัวสุดๆ

แต่ผมไม่อยากตาย และยิ่งไม่อยากตายแบบไม่ชัดเจนแบบนี้ด้วย

ผมหันไปมองตามที่จิตใต้สํานักบอก ทันใดนั้นผมก็เห็นเฮยไปอู่ฉางกําลังจ้องผมอยู่พอดี

และโซ่เหล็กตรงเอวผม ก็มีเฮ่ยอู่ฉางเป็นคนจับปลายอีกด้านหนึ่งเอาไว้ เขาก็คือคนที่ลงมือกับผมดื้อๆ

ดึงวิญญาณผมออกมาจากร่าง

ไม่รอให้ผมได้พูด ไปอู่ฉางก็เดินเข้ามาหาผมหลายก้าวแล้ว
ในเวลาเดียวกัน ใบหน้าซีดขาวของไปอู่ฉาง ก็ทําท่าสบัดลิ้นสองสามครั้ง หรี่ตาลง ยิ้มหัวเราะฮิๆๆ

ทําเอาผมต้องเขยับถอยหลังไปหลายก้าว

แต่ตอนนี้ไปอ่ฉาง กลับใช้น้ําเสียงแปลกๆ และฟังดูไม่ค่อยชัดพูดกับผมอีกครั้ง “ไอ้หนู ในเมื่อเห็นยมทูตจับวิญญาณแล้ว งั้นเจ้าก็ตามข้าลงไปเถอะ !”

หลังจากพูดจบ ลิ้นที่ยาวมาถึงหน้าอกเพราะผูกคอตาย ก็สบัดไปมาอีกสองสามครั้ง ทําให้คนที่เห็นถึงกับขนพองสยองเกล้ากันเลยทีเดียว

แต่ความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอด ทําให้ผมต้องทําใจกล้า รีบเอ่ยปากพูดกับเชี่ยปีอ้านว่า “ท่าน ท่านไปอ่ฉาง ผม ผมไม่ได้ตั้งใจจะมาเจอกับร่างจริงของพวกท่าน ปล่อย ปล่อยผมไปเถอะ!”

ผลลัพธ์เสียงเพิ่งเงียบลง ใบหน้าบวมเป่งของฟานอู่จิ๋ว ก็เผยแววตาที่ดุร้ายออกมา “ปล่อย? ไม่มีทาง

เสียงนี้ทําให้ผมตกใจทันที แต่เพื่อเอาชีวิตรอด ผมยังพูดกับยมทูตทั้งสองท่านด้วยความเคารพ

“ท่าน ท่านอฉางทั้งสอง ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ และ และผมเองก็เป็นนักพรตทํามาหากินในโลกวิญญาณเช่นกัน ปกติก็ไล่ล่าภูตผีปีศาจที่ชั่วร้าย”

“โห เจ้าก็เป็นนักพรตทํามากินกับโลกวิญญาณงั้นเหรอ ?” ไปอู่ฉางพูด เขาค่อนข้างสนใจ

ผมรีบพยักหน้า “ใช่ครับ ถ้าท่านทั้งสองปล่อยผมไป พอ พอข้าน้อยกลับไปแล้ว จะต้องเผาเงินกระดาษ

เงินตําลึงไปให้ทั้งสองท่านเยอะๆแน่นอนครับ ใช่เงินตําลึงเยอะๆเลยครับ”

ที่ผมพูดแบบนั้น เพราะ “เงินกระดาษ” “เงินตําลึง” ที่ผมพูดถึงตรงกับสี่ค่าบนหมวกของเชี่ยปี
อ้าน

“ใครพบจะร่ํารวย”

นิทานพื้นบ้านกล่าวว่า ถ้าเจอเชี่ยปีอ้านกลางดึก

ขอแค่ใช้เงินตีเขา เชี่ยปีอ้านคนนี้ ! ก็จะก้มหัวเก็บเงิน หลังจากนั้นคนเป็นก็สามารถวิ่งหนีไป ได้แล้ว

ตอนนี้ผมไม่สนว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริงไหม ขอแค่ทําให้ตัวเองรอดไปได้ก็พอ ผมเลยเอาเงินมาติดสินบนพวกเขา

แต่เสียงของผมเพิ่งเงียบลง แววตาของยมทูตทั้งสองตนก็เผยให้เห็นประกายเล็กน้อยอย่างคิดที่ไว้ไม่มีผิด

ไปอฉางพูดด้วยความตื่นเต้น “มีเงินเหรอ ?”

พอเห็นว่าได้ผล ผมก็รีบตอบกลับทันที “ท่านทั้งสอง บ้านผมเปิดร้ายขายของให้คนตาย ในบ้านมีเงินกองเป็นภูเขาจนนับไม่ถ้วน ขอแค่ท่านทั้งสองยอมปล่อยผมไป ข้าน้อยจะต้องตอบแทนกองโตอย่างแน่นอน”

ใบหน้าของเชียปีอ้าน เปื้อนยิ้มขึ้นมาทันที เลยพูดด้วยเสียงแปลกๆ และไม่ค่อยชัดเช่นเดิม

“ไอ้หนู แบบนี้มันคุยกันยากหน่อยนะ ! เพราะพวกเราก็มีกฎเช่นกัน ในฐานะยมทูตจับวิญญาณ เมื่อมนุษย์เห็นพวกเราทํางานแล้ว ก็ต้องเอาชีวิตไปทั้งนั้น ไม่อย่างงั้นพวกเราสองพี่น้องก็ต้องเสียศักดิ์ศรี”

พอพูดถึงตรงนี้ ไปอ่ฉางก็หยุดพูดไปพักหนึ่ง จากนั้นก็พูดต่อว่า “ แต่ก็นะ ตัวข้ามีความเมตตากรุณา

สามารถผ่อนผันได้เหมือนกัน”

พอได้ยินคําพูดนี้ ผมก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที “ใช่ใช่ใช่ ผ่อนผันผ่อนผัน”
ไปอู่ฉางสบัดลิ้นยาวๆของตัวเอง จากนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข “ เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ! ในเมื่อบอกว่าเจ้าเป็นนักพรตั้งั้นก็บอกนามเต่ของเจ้ามา ให้ข้าได้ตรวจเช็คตัวตนของเจ้า ดูว่าเป็นคนดีหรือเลว

มีบุญอยู่เท่าไหร่ ถ้าเป็นคนดี ! ข้าก็จะยอมให้สักครั้ง ยกโทษที่เจ้ามาเจอเราในวันนี้ แต่ถ้าทําเรื่องทั่วๆไว้

บุญไม่พอ งั้นก็อย่าโทษที่ข้าพาเจ้าไปนรกเลย”

ไปอู่ฉางคลี่ยิ้ม พูดด้วยน้ําเสียงสบายๆ

เฮ่ยอู่ฉางที่อยู่ข้างๆทําตาโต หน้าดํา กลัวผมจะวิ่งหนี เลยจ้องผมไม่วางตา

พอได้ยินว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไป ผมก็ดีใจขึ้นมาทันที

ตามหลักแล้ว ผมไม่ได้ทําเรื่องเลวร้ายอะไร และปกติก็คอยไล่ล่าภูติผีช่วยผู้คน ต้องไม่จัดอยู่ในพวกคนเลวอย่างแน่นอน เรื่องนี้ผมมั่นใจพอสมควร

ถ้าคนแบบผมจัดว่าเป็นคนเลว งั้นผมก็ไม่รู้แล้วว่าคนดีอยู่ที่ไหน

แต่ “นามเต๋า” คืออะไร ? ตอนรับผมเป็นศิษย์ อาจารย์ก็ไม่ได้ให้นามเต๋าอะไรกับผมเลย

ผมทําหน้าอึดอัดใจทันที “ท่าน ท่านไปอู่ฉาง ผมไม่มีนามเต๋ ให้ชื่อเทนได้ไหม ? ผมชื่อติงฝาน”

ผมลองหยั่งเชิง ผลลัพธ์เสียงเพิ่งเงียบลง ฟานอู่จิ๋วที่หน้าดําอยู่ข้างๆก็ทําหน้าดุขึ้นมาทันที จากนั้นก็ตะคอกใส่ผม “ บังอาจ เป็นนักพรต แต่กลับไม่มีนามเต่ํา ในเมื่อเจ้ากล้าหลอกพวกเราแอบอ้างเป็นนักพรต

งั้นก็เอาโทษตายไปเถอะ ! ”

หลังจากพูดจบ ฟานอจิ๋วผู้มีใบหน้าบวมเป้ง ก็ยกไม่ไว้ทุกข์ขึ้นเตรียมตีลงมาที่หัวผม

สุดยอด ! นี่เหรอยมทูต ผู้จับวิญญาณที่เขาล่าลือกัน

ไม่ไว้ทุกข์ในมือ มีไว้ใช้จัดการวิญญาณโดยเฉพาะ

สภาพแบบผม ถ้าโดนไม้ไว้ทุกข์ทุบเข้าละก็ วิญญาณต้องแตกสลายแน่ๆ

ขณะมองไม่ไว้ทุกข์ที่ร่วงลงมาเรื่อยๆ สีหน้าผมก็เปลี่ยนไป รีบพูดขึ้นมาทันที “อย่าอย่า อย่า……”

เสียงเพิ่งเงียบลง จู่ๆไปอฉางที่ยืนอยู่ข้างๆเชี่ยปีอ้านก็เอื้อมมือออกมา หยุดมือของฟานอู่จิ๋วเอาไว้

“น้อง รอก่อน” เชี่ยปีอ้านพูดเบาๆ
พอฟานอู่จิ๋วโดนห้ามไว้ เขาก็เค้นเสียงดัง จากนั้นก็เก็บไม้ไว้ทุกข์ทันที

แต่เขาก็ยังทําท่าทางดุร้าย เหมือนกับมีคนไปติดหนี้เขาเอาไว้หลายล้าน

เมื่อเห็นเฮ่ยอฉางหรือท่านฟานอู่จิ้วเก็บไม่ไว้ทุกข์ไปแล้ว ผมก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกในใจทันที

แม่เจ้า เกือบโดนเฮ่ยอู่ฉางตีตายซะแล้ว อันตรายจริงๆเลย

แต่ไม่รอให้ผมได้พักหายใจ ไปอู่ฉางก็หัวเราะฮ่าๆแล้วพูดกับผมว่า “ไอ้หนู ไม่มีนามเต๋าจะเรียกนักพรตได้ยังไง ? ถ้าหลอกลวงข้า เจ้าจะมีโทษถึงตายเลยนะ”

“จริง จริงๆท่านไปอู่ฉาง อาจารย์ของข้าน้อยเป็นผู้ฝึกตนพเนจร ข้าน้อยติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก

อาจารย์ถ่ายทอดวิชาให้ผม แต่ไม่ได้ให้นามเต่กับผมจริงๆ ! ” ผมรีบพูดตามความจริง

พอไปอฉางได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็เงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองหน้าเฮ่ยอู่ฉาง

แล้วไป๋อู่ฉางถึงได้หันกลับมาอีกครั้ง “ในเมื่อไม่มีนานเต๋า งั้นก็บอกวันเดือนปีเกิดกับชื่อแซ่เจ้ามา ! ให้ข้าได้ตรวจประวัติของเจ้า”

หลังจากพูดจบ ไปฉางหรือเชี่ยปีอ่านก็ยกมือขึ้นข้างหนึ่ง ทันใดนั้นสมุดเล่มสีเหลืองเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้นบนมือเขา

ตอนนี้ผมไม่สนเรื่องเวทมนตร์ใดๆทั้งนั้น ผมจะกล้าลีลาได้ยังไง ผมรีบบอกชื่อแซ่และวันเดือนปีเกิดของตัวเอง…..กับไปอู่ฉางไปทันที

หลังฟังจบไปอู่ฉาง ก็ใช้มือวาดอะไรบางอย่างลงบนสมุดเหลืองเล่มเล็กอันนั้น จากนั้นก็เปิดดูทันที

หลังสมุดเล่มเล็กโดนเปิดออกมาแล้ว ไปดู่ฉางก็หลี่ตาสองสามครั้ง “ติงฝาน อยู่ที่ต่าบลชิงฉือ เกิดปีนเดือนน้ําวันน้ําเวลาน้ํา อาชีพ โห! เป็นนักพรตจริงๆ ส่วนเรื่องบุญ ข้าขอดูหน่อย……”

ตอนนี้สิ่งที่ไปอู่ฉางทํา ก็เหมือนกับการตรวจสอบบัญชี

เขาจ้องมองสมุดเล่มเล็กพักหนึ่ง หลี่ตาลง จากนั้นก็ยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “ โห ! ไม่เลว มีบุญเยอะใช้ได้

ถ้าดูจากข้อมูลพวกนี้ เจ้าเป็นคนดีคนหนึ่งเลยทีเดียว ”

“จริงเหรอครับ ? งั้นก็เยี่ยมไปเลย ท่านไปอู่ฉาง งั้นท่านก็ปล่อยข้ากลับไปเถอะ ! ไม่อย่างงั้นอีกเดี๋ยวข้าต้องหนาวตายแน่ๆ” ผมทําหน้าดีใจ อยากกลับไปเร็วๆ

แต่เสียงเพิ่งเงียบลง ไปอฉางกลับหัวเราะฮ่าๆ “ ไม่รีบไม่รีบ ข้าให้เจ้าตาย เจ้าก็ต้องตาย ถ้าข้าจะให้เจ้าอยู่

เจ้าก็ไม่มีทางตายได้หรอก ในเมื่ออยากให้พวกเราผ่อนผัน งั้นพวกเราก็มาคุยเรื่องค่าผ่อนผันกันหน่อย……”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset