ศพ – ตอนที่ 447 เสี่ยวม่านเศร้า

ตอนที่ 447 เสี่ยวม่านเศร้า

ในขณะที่มองร่างของเฮียไปอู่ฉางและวิญญาณอีกสี่ดวงเดินจากไป ผมก็อดสูดหายใจเข้าลึกๆสองสามครั้งตามที่เคยชินไม่ได้

ถึงเฮียไปอู่ฉางจะจากไปแล้ว แต่เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ก็ยังติดอยู่ในสมองของผม

ไม่ว่ายังไงผมก็คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะได้มาเจอเรื่องแปลกๆแบบนี้

เจอยมทูตจับวิญญาณหลังจากนั้นยังเอาชีวิตรอดได้สําเร็จ

สิ่งที่สําคัญที่สุดคือผมยังได้ของดีติดมือกลับมาถูกประทับตรา “อู่ฉาง” ที่หน้าอก

แน่นอน ผมเองก็โดนเฮยไปอู่ฉางเล่นกลับเช่นกัน

แต่เรื่องเงินกระดาษเงินต่าลึง ทาสสาวอะไรพวกนั้น เป็นแค่เรื่องเล็ก จัดการได้ง่ายนิดเดียว

พอคิดถึงตรงนี้แล้ว ผมก็เอื้อมมือไปที่รูปตราอู่ฉางตรงหน้าอกตัวเอง และไม่ลังเล หันหลังกลับจะไปเข้าร่างทันที

แต่วินาทีที่ผมหันไปประตูหลังร้านกลับโดนคนผลักให้เปิดออก

ต่อจากนั้นผมก็เห็นเสี่ยวม่านวิ่งออกมาจากข้างใน

ตอนเสี่ยวม่านเห็นผมนอนอยู่บนพื้น สีหน้าเธอเปลี่ยนไปทันที และตะโกนออกมาด้วยความตกใจ

.เป่า ติงฝาน……”

หลังจากพูดจบเสี่ยวม่านก็เข้ามาอยู่ตรงหน้ากายเนื้อของผมแล้ว เธอเขย่าตัวผมไม่หยุด

“…เป่า นายอย่ามาทําให้ฉันตกใจนะ นาย นายเป็นอะไรไป ?” เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวม่านกระวนกระวายผิดปกติ

ขณะมองท่าทางของเสี่ยวม่าน ผมก็พูดออกไปตามที่จิตใต้สํานึกบอก “ฉันไม่ได้เป็นอะไร !”

ตอนนี้ผมอยู่ในร่างวิญญาณ แล้วเสี่ยวม่านจะได้ยินเสียงผมงั้นเหรอ

เธอยังเขย่าตัวผมหลายครั้งแถมยังกดร่องใต้จมูกของผม

หรือแม้แต่ร้อนใจจนร้องไห้ออกมาเสียวม่านตะโกนออกมาไม่หยุด อย่ามาทําให้ฉันตกใจอย่ามาทําให้ฉันตกใจนะ

ผมเองก็ไม่อยากให้เสี่ยวม่านเป็นห่วงเลยไม่ลีลาอีกรีบเดินไปข้างร่างตัวเองทันที

เพิ่งเข้ามาใกล้ตัวเอง ผมก็สัมผัสได้ถึงแรงดูดที่มองไม่เห็น

มันเหมือนกับแม่เหล็กที่ร่างผมมีต่อวิญญาณตัวเอง อารมณ์เหมือนมันกําลังถูก “ดูด” เข้าหาก

และยังไม่ทันได้คิดอะไรมากร่างผมก็โดนดูดกลับเข้าไปในกายเนื้อของตัวเองแล้ว

ในวินาทีที่ผมเข้าไป ผมรู้สึกเหมือนโลกกลับหัวตรงหน้ามืดมิด ตกอยู่ในความมืดมิดอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปครู่หนึ่ง ผมก็ได้ยินเสียงเสี่ยวม่านเรียกผมเบาๆ

และก็รู้สึกถึงแรงเต้นของหัวใจตัวเองสัมผัสได้ถึงความรู้สึกต่างๆในร่างกาย

ผมรู้ได้ในทันที ผมกลับเข้ามาแล้วกลับเข้ามาอยู่ในร่างกายตัวเองอีกครั้ง

ผมค่อยๆลืมตาขึ้น เห็นเสี่ยวม่านกําลังร้องห่มร้องไห้อยู่พอดี

จู่ๆเสี่ยวม่านก็เห็นผมลืมตาเธอเลยดีใจขึ้นมาในทันที “ติงฝาน ในที่สุดนายก็ฟื้น ฉันตกใจจะ ตายอยู่แล้ว !”

หลังจากพูดจบเสี่ยวม่านก็ไม่สนอะไรทั้งนั้น เธอโผเข้ามากอดผมทันที

ผมที่โดนกอดทําตัวไม่ถูกขึ้นมาทันที

“เอ่อ เอ่อเสี่ยวม่าน ฉัน ฉันไม่ได้เป็นอะไร…..” ผมพูดเสียงติดอ่าง

แต่เสี่ยวม่านกลับ “ฮือๆๆ” ร้องไห้ออกมา “ ยังบอกว่าไม่เป็นอะไร เมื่อกี้นายแทบจะไม่หายใจแล้วนะ

ถ้าฉันมาเจอช้ากว่านี้อีกหน่อยหรือมากดร่องจมูกนายไม่ทัน นายคงตายไปแล้ว !”

เสี่ยวม่านระเบิดอารมณ์ ผมรู้สึกซึ้งใจมาก

เนื่องจากเป็นเพื่อนสมัยเด็ก มิตรภาพที่มีต่อกันเลยลึกซึ้งมาก

ผมคลี่ยิ้ม “เสี่ยวม่าน ฉันไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ”

พอเสี่ยวม่านได้ยินอย่างงั้น ก็ค่อยๆปล่อยมือทั้งสองข้าง ดวงตาแดงก่ “นาย นายไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆเหรอ ?”

“จริงๆ ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว !”

หลังจากพูดจบผมก็กระโดดลุกขึ้นจากพื้น

ถึงจะรู้สึกแน่นหน้าอกและหายใจไม่ออกอยู่หน่อยๆ อาจเป็นผลจากวิญญาณกลับเข้าร่าง

แต่ตอนนี้ ก็แกล้งทําเป็นสบายดี

“งัน งั้นเมื่อกี้ทําไมนายถึงสลบไปได้ละ ?” เสี่ยวม่านเห็นผมไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ เลยอดถามออกมาไม่ได้

“พูดแล้วเธอคงไม่เชื่อ เมื่อท่านเฮ่ยไปอู่ฉางดึงวิญญาณฉันออกจากร่าง !” ผมพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

ผลลัพธ์เสี่ยวม่านที่กําลังร้องไห้อยู่ กลับกลอกตาให้ผมทันที “ฮ! นายนี่โม้เก่งจริงๆ ต้องเป็นเพราะนายเลือดน้อย เลยสลบไปแน่ๆ”

เลือดน้อย ฉัน……

ผมพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ปัดฝุ่นร่างกายของตัวเอง “เอ่อเราไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ฉันไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ พวกเรากลับเข้าไปข้างในก่อนเถอะ !”

“นายไม่เป็นอะไรจริงๆเหรอ ? เราไปตรวจที่โรคพยาบาลกันหน่อยไหม ?” เสียวม่านพูดด้วยความห่วงใย

“ไม่ต้องหรอก ฉันแข็งแรงอย่างกับวัว !” ผมพูดติดตลก ในขณะเดียวกันก็ทําท่าเบ่งกล้าม

เสี่ยวม่านกลับหัวเราะเพราะท่าทางของผม ผมเห็นเธอหัวเราะเลยหุบยิ้มทันที จากนั้นก็พูดกับเธอด้วยน้ําเสียงจริงจังอีกครั้ง “ขอบใจนะเสี่ยวม่าน คิดไม่ถึงว่าเธอจะเป็นห่วงฉันขนาดนี้”

จู่ๆเสียวม่านที่กําลังหัวเราะอยู่ ก็เห็นผมทําท่าทางจริงจัง เลยทําปากมัยอีกครั้ง “ใครใช้ให้เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็กละ !”

หลังจากพูดจบ เสี่ยวม่านก็ยิ้มหวานแบบเว่อร์ๆออกมาอีกครั้ง

พอเห็นเสี่ยวม่านยิ้ม ผมก็พยักหน้าให้เธอแรงๆ

ในเวลาเดียวกัน ผมก็ไม่อยากอธิบายกับเสี่ยวม่าน ว่าผมโดนเฮียไปอู่ฉางดึงวิญญาณออกมาจากร่าง

เธอคิดว่าผมเป็นลมงั้นก็ปล่อยให้คิดแบบนั้นเถอะ !

แต่ไม่ว่าจะพูดยังไงในใจผมก็ยังรู้สึกอบอุ่น

พอกลับมาในร้านแล้วผมก็เหล่ตามองไปทางห้องน้ํา

ดูเหมือนยังไม่มีใครไปเจอศพของทั้งสี่คน

ผมไม่ใช่พ่อพระ และไม่ได้เอะอะโวยวายเรื่องเก็บศพผมไม่อยากยุ่งด้วย ปล่อยให้คนอื่นมาเจอพวกเขาก็แล้วกัน !

ดังนั้นหลังกวาดตามองรอบหนึ่งแล้วผมก็ตามเสี่ยวม่านกลับเข้าไปข้างใน

เสี่ยวม่านไม่มีอารมณ์ดื่มต่อแล้วเธอบอกผมให้ไปส่งเธอที่บ้าน

ผมไม่ลังเล ตอบรับ “อ๋อ” ทันทีจากนั้นก็พาเสี่ยวม่านออกไปจากบาร์แห่งนี้

ต่อจากนั้นผมก็ขับรถออกมาส่งยังหมู่บ้านที่เสี่ยวม่านพักอยู่ พอพวกเรามาถึงทางเข้าหมู่บ้าน

ก็เป็นเวลาเกือบจะสี่ทุ่มแล้ว

เสี่ยวม่านมองไปที่ทางเข้า จากนั้นก็หันมามองผม แววตาดูแปลกๆ

ผมเห็นเสียวม่านยังไม่เปิดประตูลงจากรถ เลยพูดกับเธอว่า “เสียวม่านมีอะไรหรือเปล่า ?”

พอเสี่ยวม่านได้ยินผมถามแบบนั้น ก็ดูเหมือนจะตอบสนองอย่างรวดเร็ว เธอตอบกลับแบบลุกลี้ลุกลนหน่อยๆหรือจะเรียกว่าเลิ่กลั่กเลยก็ได้ “อ่อ ! ไม่ไม่มีอะไร”

หลังจากพูดจบ เสี่ยวม่านก็เปิดประตูรถทําท่าเหมือนจะลงรถ

แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆเสี่ยวม่านก็นั่งนิ่ง หันมามอง แล้วพูดกับผมด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ “ติง ซึ่งฝาน…….”

“หือ มีอะไรเหรอ ?” ผมมองเธออย่างเคร่งขรึม พอเห็นหน้าเธอแดงขนาดนั้น ก็คิดว่าคงเป็นเพราะเธอดื่มมา

เสี่ยวม่านกระพริบตาพักหนึ่ง ท่าทางเหมือนจะประหม่ามาก “เอ่อคือ เอ่อคือนายคอแห้งไหมอยากไปดื่มน้ําที่บ้านฉันไหม ฉัน ฉันอยู่บ้านคนเดียว !”

พอพูดถึงตรงนี้ หน้าเสี่ยวม่านก็แดงไปจนถึงโคนหูหัวแทบจะซุกเข้าไปในหน้าอก

ตอนนี้ผมยังเด็ก และหัวทึบ เลยไม่เข้าใจที่เธอพูด

พอได้ยินเสี่ยวม่านถามผมว่าอยากไปดื่มน้ําไหม ผมก็หัวเราะฮ่าๆแล้วพูดกับเสี่ยวม่านว่า “อ่อ ! ไม่เป็นไรฉันไม่อยากดื่มน้ําเลยสักนิด”

หลังจากพูดจบ ผมยังยิ้มให้เสี่ยวม่าน

แต่เสี่ยวม่านกลับหันมาเร็วมาก และเธอก็เห็นผมกําลังยิ้มให้เธออยู่พอดี

เสี่ยวม่านที่เคยอ่อนโยน ชักสีหน้า ดวงตาแทบจะลุกเป็นไฟขึ้นมาทันที

ผมเห็นสีหน้าเสี่ยวม่านเปลี่ยนไปไวถึงขนาดนั้น เลยเริ่มมันนิดหน่อยเดิมที่ยังคิดจะถามว่าเธอเป็นอะไรไป

ผลลัพธ์เสี่ยวม่านกลับคว้ากระเป๋าตัวเอง แล้วลงจากรถไปทันที

“ปัง” เสียงปิดประตูรถท้ายที่สุดยังทิ้งคําพูดที่ไร้เหตุผลเอาไว้ “ปัญญาอ่อน !”

หลังจากพูดจบ เสี่ยวม่านก็ไม่หันกลับมามองอีก “ต๊อกๆๆ” รองเท้าส้นสูงก้าวเข้าไปในหมู่บ้านทันที

ทิ้งไว้เพียงผมที่นั่งโง่อยู่ในรถมองแผ่นหลังเสี่ยวม่านที่กําลังเดินจากไป

นี่มันเรื่องอะไรกัน ? เมื่อกี้ยังดีๆอยู่เลย ทําไมจู่ๆก็เปลี่ยนไปละ ?

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset