ศพ – ตอนที่ 452 หางหนู

ตอนที่ 452 หางหนู

ผมและอาจารย์กําลังตรวจสอบในบ้าน แต่จู่ๆเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้น พวกเราเลยหันไปมองทันที

ทันใดนั้นเราก็พบว่าเสียงกรีดร้องดังมาจากทางข้างหลัง

ผมและอาจารย์ไม่ได้ลังเลเลยสักนิดเรารีบวิ่งเข้าไปในห้องทันที

แต่หลังจากผมและอาจารย์เข้าไปในห้องภาพตรงหน้า ก็ทําให้ผมและอาจารย์ตกใจในทันที

เราเห็นภายในห้องมีคนอยู่สองคน

หนึ่งในนั้นคือคุณโจวตอนนี้คุณโจวก่าลังทําหน้าตกใจ นั่งขดตัวอยู่ตรงมุมห้อง

ข้างๆมีกะละมังคว่าอยู่คราบน้ํากระเด็นอยู่รอบๆ

เสียงกรีดร้องเมื่อกี้ ก็คือเสียงของคุณโจว

และอีกคนหนึ่งเป็นยายแก่ร่างผอมบางคนหนึ่ง

ตอนนี้เธอกําลังนอนอยู่บนเตียงเผยให้เห็นกันและหลังครึ่งหนึ่ง

แต่สิ่งที่ผิดแปลกไปกว่านั้นก็คือ ตรงบริเวณกันของยายคนนั้น มีหางด่าไร้ขนยาวออกมาประมาณครึ่งเมตร

เพราะยายแก่คนนี้เป็นอัมพาต ดังนั้นเธอเลยขยับตัวเองไม่ได้ เพื่อเห็นลูกสะใภ้ตกใจจนเข้าไปอยู่ตรงมุมห้อง สีหน้าหวาดกลัว เธอก็ถามออกมาด้วยสีหลังเคร่งเครียดและสงสัย “เสี่ยวโจวเสี่ยวโจวเป็นอะไรไป เสี่ยวโจว เสี่ยวโจว……”

คุณโจวจ้องหางที่หลังของคุณยายพร้อมพูดด้วยเสียงสัน “ปี ปีศาจ หะ หะ หาง……”

“หาง หางอะไรมีปีศาจที่ไหน ?” ยายแก่ไม่เข้าใจ เธอพูดด้วยเสียงแหบพร่า

เพราะเป็นอัมพาตตั้งแต่หัวลงมา นอกจากพูดแล้ว ยายแก่ก็แทบขยับร่างกายส่วนอื่นไม่ได้อีกจึงไม่ต้องพูดเรื่องหันไปมองหางยาวกว่าครึ่งเมตรที่กันตัวเองเลย

แต่อาจารย์ที่ยืนอยู่ตรงประตู กลับขมวดคิ้ว

แต่ผมกลับหยืนยันต์ออกมาตามจิตใต้สํานึก ดึงหน้าลง แล้วพูดกับอาจารย์ว่า “อาจารย์ ยายแก่คนนี้มีวิญญาณปีศาจสิงร่างหรือเปล่าให้ผมเอายันต์ไปแปะ ทําให้มันออกมาไหม !”

หลังจากพูดจบ ผมก็กําลังจะเข้าไปลงมือ

แต่อาจารย์กลับห้ามผมไว้ “ช้าก่อน ! ไม่เหมือนอย่างนั้น”

“อะไรไม่เหมือนอาจารย์หางยาวออกมาขนาดนี้แล้วนะ ?” ผมพูดตรงๆ

เหมือนอาจารย์จะไม่แน่ใจเนื่องจากพวกเราไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน

เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังพยักหน้าให้ผม “เอายันต์ไปแปะที่หลังเธอฉันจะดูปฏิกิริยา !”

หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็ดึงดาบไม้ออกมา คอยยืนอยู่ข้างๆผม เผื่อมีเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้น

หลังได้รับอนุญาตจากอาจารย์ ผมก็ไม่ลังเลเลยสักนิดถือยันต์พุ่งเข้าไปทันที

หลังเล็งไปที่หลังยายแก่แล้ว ผมก็แปะลงไปทันที “ปีศาจชั่ว ยังไม่เผยตัวออกมาอีก”

หลังจากพูดจบ ยันต์ในมือผมก็ลงไปแปะบนหลังยายแก่คนนั้นแล้ว

แต่หลังจากแปะยันต์ลงไปแล้วผมกลับไม่ได้เห็นผลลัพธ์อย่างที่ตัวเองอยากเห็น

หรือจะพูดว่า หลังแปะยันต์ลงไปแล้วยายแก่ก็ไม่ได้มีท่าทีแปลกไปเลย

กลับกันผมยังโดนยายแก่ด่าแทน “ไอ้ชั่ว แกเป็นใครฮะ ? จะทําอะไรฮะ ? เสี่ยวโจว รีบไล่พวกมันออกไปเร็ว……”

อย่าคิดถึงค่าด่าของยายแก่เลย ในวินาทีนั้นผมก็ตะลึงไปทันที
ส่วนอาจารย์ก็รู้สึกว่ามันแปลกมากเขาเองก็ไม่สนใจว่ายายแก่คนนี้เป็นอัมพาต รีบเข้าไปข้างหน้า แล้วเอื้อมมือไปจับหางยาวๆไร้ขนอันนั้น หรือแม้แต่ออกแรงดึง

อาจารย์เพิ่งออกแรง ยัยแก่คนนั้นก็กรีดร้องออกมาทันที “ อร้าย ! เจ็บจะตายแล้ว บ้าไปแล้วหรือไง !

แกเป็นใครฮะ ? แม้แต่คนแก่เป็นอัมพาตอย่างฉันแกก็ไม่ละเว้น……”

ทางอาจารย์ที่ได้ยินเสียงร้องโวยวายเสียงดังลั่น แต่อาจารย์กลับไม่สนใจเลยสักนิด

หลังดึงหางของยายแก่สองสามครั้งแล้ว เขาก็พูดกับคุณโจวที่อยู่ตรงมุมห้องว่า “คุณโจว ไม่ต้องกลัว แม่ของคุณไม่ใช่ปีศาจ”

“แล้ว หาง หางนั่นละ ?” คุณโจวยังกลัวอยู่ แต่เธอก็ค่อยๆลุกขึ้นมา
“อีกเดี๋ยวพวกเราค่อยว่ากัน !” หลังจากพูดจบอาจารย์ก็หมุนตัวเดินออกไปจากห้อง

ผมขมวดคิ้ว ตอนนี้ในสมองมีแต่หมอกหนา

หางตรงกันของยายแก่อันนั้น ไม่มีขน ผิวเรียบ หรือแม้แต่ยังมีรูปร่างเหมือนกล้ามเนื้อนูนออก มาไม่ว่าจะมองยังไง ผมก็คิดว่ามันเหมือนหางหนู

และก่อนหน้านี้อาจารย์ก็เดาไว้ว่าคุณหวงอาจโดนวิญญาณหนูเข้าสิง มันเลยแทบสอดคล้องกัน

แต่ทําไมพอแปะยันต์ลงไปแล้ว ร่างกายยายแก่คนนั้น ถึงไม่มีท่าที่ผิดแปลกไปเลยนะ

สิ่งที่แปลกยิ่งกว่านั้นคืออาจารย์ยังพูดว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ปีศาจ ผมเลยงงทันที

ผ่านไปเพียงครู่เดียว พวกเราก็ออกมาอยู่ข้างนอก

ผมทําหน้าสงสัย พูดกับอาจารย์ว่า “อาจารย์ นั่นมันเรื่องอะไรกันแน่ ? หางของยายคนนั้นเหมือนกับหางหนูชัดๆ !”

อาจารย์ขมวดคิ้ว “ฉันรู้ แต่เมื่อกี้แกก็เห็นแล้ว ยายคนนั้นคือยายแก่คนหนึ่ง เธอไม่ใช่ปีศาจและไม่ได้โดนวิญญาณปีศาจสิงร่าง”

“ถ้า ถ้างั้นทําไมถึงมีหางหนูแบบนั้นละ ? หรือกลายพันธุ์ขึ้นมาดื้อๆ” ผมไม่คิดว่า หนังอเมริกันจะเกิดขึ้นจริง

เหมือนอาจารย์จะไม่ค่อยแน่ใจ เขาส่ายหัว

แต่ทันใดนั้นเอง เสียงร้องตกใจของยายแก่คนนั้นก็ดังออกมาจากห้อง “นี่ นี่มันอะไร ทําไมฉันมีหาง……”

เพิ่งพูดถึงตรงนี้ เสียงของยัยแก่คนนั้นก็หยุดลง

ต่อจากนั้นเสียงตะโกนของคุณโจวก็ดังขึ้น “แม่ แม่……”

ผมกับอาจารย์เห็นให้ห้องมีการเคลื่อนไหว เลยรีบกลับเข้าไปในห้องทันที

ทันใดนั้นเองเราก็พบว่ายายแก่ที่มีหางคนนั้น ได้สลบไปแล้ว

ผมกับอาจารย์เข้าไปตรวจดู ยายแก่แค่สลบไป เธอไม่ได้เป็นอะไรมาก

คุณโจวตาแดง พูดพร้อมน้ําตา “ท่าน ท่านนักพรตติง แม่ แม่ของฉันเป็นอะไรไป ทํา ทําไมเธอถึงมีหาง ?”

อาจารย์ถอนหายใจ แล้วส่ายหัว “ข้าก็ยังบอกไม่ได้ แต่ตอนนี้ แม่คุณยังเป็นคน และไม่ได้โดนสิ่งชั่วร้ายสิงร่าง แต่เรื่องทั้งหมดนี้ อาจเกี่ยวข้องกับสามีของคุณ”

พอคุณโจวได้ยินแบบนั้น ก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง “ฮือๆๆๆ” เธอเริ่มเป็นห่วงสามีตัวเอง

ลูกสองคนของเธอกลับรู้ความ ในเวลานี้พวกเขากําลังปลอบใจเธออยู่

ต่อจากนั้น คุณโจวก็มีสติขึ้นเยอะ พวกเราให้เธอโทรหาสามีของเธอ เพื่อถามเขาว่าจะกลับมาเมื่อไหร่

แต่สายของคุณโจวเพิ่งถูกรับ อีกฝ่ายก็กดวางสายทันที

ต่อจากนั้น คุณโจวก็ได้รับข้อความสั้นๆ

เนื้อหามีอยู่ว่าคืนนี้เขาจะไม่กลับบ้าน บอกว่าจะทําโอทีที่บริษัทต่อ
นอกจากเรื่องนี้ ในนั้นยังมีข้อความเตือนด้วยบอกว่าเช้านี้ก่อนที่เขาจะออกมา เขาเช็ดตัวให้แม่แล้ว

ให้คุณโจวไม่ต้องเช็ดตัวให้แม่แล้วในวันนี้

พอเห็นถึงตรงนี้ ผมกับอาจารย์ก็ขมวดคิ้วกันทั้งคู่

และตัดสินใจได้ทันทีเจ้าหางของยายแก่อันนี้ ต้องเกี่ยวข้องกับสามีของคุณโจวแน่ๆ

เมื่อกี้คณโจวก่าลังเช็ดตัวให้คุณยายสุดท้ายเธอกลับได้เห็นหางอันนั้นเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ

ทําให้คุณโจวตกใจทันทีนี่ถึงทําให้มีเสียงกรีดร้องเกิดขึ้น

แต่คุณหวงคนนี้ทําไมต้องเตือนไม่ให้คุณโจวไปเช็ดตัวคุณยายละ

มันชัดเจนมาก เพราะคุณหวงรู้ว่าคุณยายมีหางที่กันนานแล้ว และเขาก็อยากจะปิดมันเอาไว้

แต่ ทําไมละ ? เบื้องหลังเรื่องนี้ต้องมีความลับอะไรที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้อยู่แน่ๆ

ในเวลาเดียวกัน ผมและอาจารย์ก็รู้สึกสงสัยหนักมาก ตอนนี้คุณหวง มีตัวตนแบบไหนอยู่กันแน่

เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่

เพราะคืนนี้สามีของคุณโจวจะไม่กลับมาแล้ว ดังนั้นผมเลยถามขึ้นมาทันที “คุณโจว คุณรู้ไหมว่าสามีของคุณทํางานที่ไหน ?”

คุณโจวลังเลอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็พูดกับผมและอาจารย์ว่า “สามีฉันทํางานอยู่ที่บริษัทโลจิสติกส์

ต้องขับรถจากบ้านเราไปทางตะวันตกประมาณ 20 นาที……”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset