ศพ – ตอนที่ 454 แอบเข้าไปข้างใน

ตอนที่ 454 แอบเข้าไปข้างใน

เพิ่งโดนลากเข้ามาในพุ่มดอกไม้เสียงฝีเท้านั่นก็เดินเข้ามาใกล้แล้ว

หลังมองผ่านช่องว่างของพุ่มไม้ผมเห็นผู้ชายสองคน

คนหนึ่งค่อนข้างหนุ่มส่วนอีกคนเข้าวัยกลางคนแล้ว

พวกเขาเพิ่งมาถึง เราก็ได้ยินเด็กหนุ่มคนนั้นพูดว่า “พี่จาง ที่นี่เถอะ !”

ตาลุงคนนั้นกวาดสายตามองรอบๆก่อนพูดว่า “อ๋อ ! ที่นี่แหละ !”

หลังจากพูดจบ เราก็เห็นเด็กหมุ่นคนนั้นหยิบกล่องบุหรี่ออกมาจากนั้นก็ยื่นให้ลงข้างๆหนงมวล

ทั้งสองคนจุดอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็ดูดีใจมากรีบสูบเข้าไปทันที

ในเวลาเดียวกันก็ได้ยืนตาลุงคนนั้นพูดว่า “แม่งเอ้ย ตอนนี้แมแตสูบบุหร

คนนั้นพูดว่า “แม่งเอ้ย ตอนนี้แม้แต่สูบบุหรี่ก็ยังต้องทําแบบ หลบๆซ่อนๆ”

“ ใช่ไหมละพี่จาง ตั้งแต่พวกเราออกมาจากสํานักใหญ่ เราก็ทําตัวเหมือนนักโทษไม่มีผิดนอกจากในแต่ละวันต้องโดนกักตัวทํางานอยู่ในนี้แล้ว ก็ไม่อนุญาตให้เราออกไปสูบบุหรี่หรือดื่มเหล้าก็ไม่อนุญาตทั้งนั้น

ผมทนจนจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว ” เด็กหนุ่มบ่น

“เฮ้อ ! ทําไงได้ ใครใช้ให้เราเกิดมาลําบากละ!รับสูบเถอะ สูบเสร็จจะได้ไปทํางานต่อ ! รอให้ขนของให้ตระกูลเหยียนเสร็จแล้ว พวกเราก็จะได้ออกไปจากที่บ้าๆนี่ซะที” ตาลุงถอนหายใจ

ผมและอาจารย์กลับทําหน้าสงสัย หันมามองหน้ากัน

จากค่าพูดของสองคนนี้ พวกเราได้พวกข้อมูลแปลกๆ

หนึ่งในนั้นมีสองคําที่ค่อนข้างดึงดูดความสนใจของพวกเรา “สํานักใหญ่”

หรือว่าที่นี่จะเป็นเหมือนที่อาจารย์เดาไว้ มันอาจเป็นหนึ่งในฐานที่มั่นขององค์กรตาผี

นอกจากนี้ ยังมี “ตระกูลเหยียน” อะไรสักอย่าง พวกเราไม่รู้จักเลยสักนิด เลยได้แต่ปล่อยไป
ก่อน

แต่สิ่งที่สําคัญยิ่งกว่านั้นคือ ตอนนี้พวกเราสงสัยยิ่งกว่าเดิม นายหวงคนนั้น อาจเป็นพวกขององค์กรตาผีจริงๆ

แต่ ถึงเขาจะเป็นพวกเดียวกับองค์กรตาผี

เขาจะทําไปเพราะอะไร ทําไมเขาต้องทําให้แม่ที่เป็นอัมพาตของเขาต้องกลายเป็นปีศาจ และ ยังต้องเก็บเป็นความลับขนาดนี้

หรือเขาคิดจะฆ่าแม่ตัวเอง แต่จากที่คุณโจวเล่าให้ฟัง นายหวงคนนี้ดูเป็นคนเคารพผู้ใหญ่และรักเด็กเอามากๆ

ถึงจะคิดในใจแบบนั้น แต่ผมก็รู้สึกคิดไม่ตกอยู่ดี มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่เข้าใจ

และทําไมองค์กรตาผีถึงรับคุณหวงที่เป็นแค่พนักงานธรรมดาๆคนหนึ่งเข้าองค์กรด้วยละ

ถ้าบอกว่าจางจีเทาเข้าร่วมได้ นั่นเป็นเพราะเขามีพ่อบุญธรรมเป็นคนใหญ่คนโต คอยหนุนหลังเขาอยู่ข้างหลัง

ไม่ว่าจะคิดเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ มันยุ่งเหยิงมาก

พอคิดได้แบบนั้นผมก็เลิกคิดทันที ข้อมูลที่หาได้ในตอนนี้มีน้อยเกินไป ได้แต่รอให้เจ้าสองคนนี้ออกไปก่อน เราถึงจะไปหาข้อมูลต่อได้

ผ่านไปไม่นาน ทั้งสองคนก็สูบบุหรี่เสร็จ หลังดับบุหรี่แล้ว พวกเขาก็เดินออกไปทันที

ผมและอาจารย์เห็นพวกเขาสองคนออกไปแล้ว เลยรีบออกมาจากพุ่มดอกไม่ทันที

“อาจารย์ ที่นี่คงไม่ใช่บริษัทขนส่งธรรมดาๆแล้ว” ผมมองไปรอบๆ พร้อมพูดด้วยน้ําเสียงหนักแน่น

อาจารย์เองก็ดึงหน้าลง “ใช่ และจากคําพูดของเจ้าสองคนนั้น ที่นี่น่าจะเอาไว้แอบทําอะไรลับๆบางอย่าง”

พอได้ยินถึงตรงนี้ ผมก็สังเกตเห็นทางที่ค่อนข้างมืดเส้นหนึ่ง เลยพูดกับอาจารย์ว่า “อาจารย์พวกเราไปทางนี้เถอะ คิดหาวิธีเข้าไปข้างในให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที”

อาจารย์พยักหน้า กวาดตามองรอบๆ หลังพบว่าไม่มีใครแล้วเขากับผมก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

หลังวิ่งมาตามทางที่ค่อนข้างมืดเส้นนั้น ผ่านไปไม่นานพวกเราก็มาถึงหน้าโกดังหลังหนึ่ง

พวกเราซ่อนตัวอยู่ในความมืด สามารถเห็นรถบรรทุกคันใหญ่กําลังขนของเข้าไปด้านในได้พอดี

ในนั้นเปิดไฟดวงใหญ่ เหมือนพวกคนงานกําลังขนกล่องใบแล้วใบเล่าเข้าไปในโกดัง

ในเวลาเดียวกัน ผมก็พบว่า ผู้ชายที่ถือสมุดจดตรงข้างๆรถบรรทุก ดูเหมือนคุณหวงมาก

ผมลดเสียงลงต่ํา จากนั้นก็พูดกับอาจารย์ว่า “อาจารย์ ดูคนที่ถือสมุดจดอยู่ซิ ใช่คุณหวงหรือเปล่า ?

อาจารย์ขมวดคิ้ว เขามองอยู่พักหนึ่ง “ใช่ น่าจะใช่เขา ! แต่พวกเขากําลังขนอะไรกัน ?”

ใครจะไปรู้เสียงของอาจารย์เพิ่งเงียบลง พวกคนงานคนหนึ่งก็ทําพลาด จู่ๆเขาก็ทํากล่องตกลงพื้น

“ปัง” ฝากล่องเปิดออก ของด้านในล่วงออกมาทันที..

ตอนนี้เราเปิดตาแล้ว และตรงนั้นยังมีไฟดวงใหญ่เปิดอยู่ ดังนั้นตอนที่ของออกมา พวกเราเห็นกันเต็มสองตา

พวกเราตกใจทันที ของที่ล่วงลงมาจากกล่องใบนั้น เป็นคน

“ทําอะไรฮะ ? ระวังหน่อย !” คุณหวงที่ถือสมุดจดอยู่หันมาดทันที

และหลังจากคนงานสองคนที่ยกกล่องใบนั้นได้ยินแล้ว ก็รีบนําใครคนนั้นเข้าไปในกล่องใหม่จากนั้นก็ยกกล่องขึ้น

หลังเห็นถึงตรงนี้ ผมกับอาจารย์ก็อดสูดหายใจเข้าไม่ได้

พระเจ้า กล่องใบนั้นใส่คนเอาไว้

กล่องมากมายขนาดนี้ ไม่ว่าจะพูดยังไม่ก็ต้องมีอย่างน้อยประมาณ 20-30 กล่อง ถ้างั้นในนั้นก็มีคนอยู่ยี่สิบสามสิบคนงั้นเหรอ ?

คนเยอะแยะขนาดนั้น คนพวกนี้จะเอาพวกเขาไปทําอะไรกันแน่

ในขณะที่สงสัย แต่สิ่งที่มีเยอะกว่านั้นคือความตกใจ

พวกเราสังเกตสถานการณ์ในนี้ต่ออีกพักหนึ่ง จากนั้นอาจารย์ก็ชี้ไปยังโกดังหลังใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลออกไป “เสียวฝาน แกดูตรงนั้นมีหน้าต่างอยู่ พวกเราปืนเข้าไปจากตรงนั้นกัน และที่นี่ก็ไม่ธรรมดา ดูท่า คุณหวงก็เป็นลูกกระจ๊อกในที่นี่เท่านั้น พวกเราต้องรู้ให้ได้ว่าที่นี่มันคืออะไรกันแน่ พวกเขากําลังทําอะไรอยู่”

ผมทําหน้าจริงจัง พร้อมพยักหน้าให้อาจารย์

ต่อจากนั้น ผมกับอาจารย์ก็แอบเข้าไปแบบระวังสุดๆ หลบเลี่ยงหูตาทั้งหมดจนมาถึงหน้าต่างของโกดังหลังนั้น

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครเจอตัวพวกเรา พวกเราก็รีบกระโดดเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว

และตําแหน่งที่พวกเราอยู่ในตอนนี้ เป็นกองกล่องเปล่ามากมายพวกมันสามารถซ่อนพวก เราได้อย่างมิดชิด

ในเวลานี้ผมกับอาจารย์ประหม่ามากหลังมั่นใจแล้วว่ารอบๆไม่มีคนอยู่ ผมกับอาจารย์ก็เริ่มแอบเข้าไปในโกดัง

ท้ายที่สุด พวกเราก็เข้ามาถึงที่ซ่อนตัวที่มืดมิดแห่งหนึ่ง และในเวลานี้ เราก็โผล่หัวออกไปครึ่งหนึ่ง แอบดูข้างนอกอย่างเงียบๆ

ตําแหน่งที่พวกเราอยู่ค่อนข้างสูงสามารถมองเห็นโกดังในมุมกว้าง

เราเห็นเพียงในโกดัง มีเตาเผาขนาดใหญ่อยู่หนึ่งเตา

เตาอันนั้นใหญ่มาก มีความสูงห้าเมตรเต็มๆ กว้างสามเมตรได้ รูปร่างคล้ายเป็นเตาหลอมยาที่เห็นกันในทีวี เพียงแต่เจ้าอันนี้ค่อนข้างใหญ่หน่อย

ในเตาเผาอันนั้น น่าจะกําลังเผาบางอย่างอยู่ ถึงเราจะอยู่ไกลมาก แต่ก็สัมผัสได้ถึงความร้อนที่อยู่ในเตา

และควันสีเหลืองอ่อนพวกนั้น ก็ลอยออกมาจากในเตาอันนั้น

และกลิ่นคาวเลือดที่ลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศก็แรงมาก

ไม่เพียงแค่นั้น รอบๆเตาหลอม ยังมีคนอยู่จํานวนหนึ่ง

คนพวกนี้สวมชุดคลุมสีดําทั้งหมด ไม่อาจมองเห็นหน้าพวกเขาได้ง่ายๆ

แต่ในระหว่างนั้น ผมกลับสังเกตเห็นบนร่างของคนพวกนี้ปล่อยกลิ่นไอบางอย่างออกมา ซึ่งเป็นกลิ่นไอที่ค่อนข้างแปลกเลยทีเดียว

แต่ไม่รอให้ผมคิดออก อาจารย์ที่อยู่ข้างๆกลับพูดออกมาเบาๆ “ไอปีศาจ คนชุดด่าพวกนี้ ปล่อยไอปีศาจออกมาทั้งหมด !”

เสียงอาจารย์ไม่ดังมาก แต่ผมกลับได้ยินเต็มสองหู

ตอนผมได้ยินคําพูดนี้ สีหน้าเปลี่ยนไปทันที ในใจมีเสียงดัง “อีก”

ไอปีศาจ งั้นก็หมายความว่าพวกนั้นเป็นปีศาจที่ปีกกล้าขาแข็งแล้ว

ผมลองนับดูคร่าวๆ คนชุดด่าในที่นี้มี 7-8 คนเป็นอย่างต่ํา

ถ้าอย่างงั้น ที่นี่ก็มีปีศาจถึง 7-8 ตัวนะซิ

หรือว่า ที่นี่คือรังปีศาจแห่งหนึ่ง

ผมคิดในใจแบบนั้น แต่ในเวลานี้เอง คุณหวงกลับถือสมุดบันทึกวิ่งเข้าไปด้านในอย่างรีบร้อน

จากนั้นก็รีบไปหาคนชุดดําคนหนึ่งหน้าเตาหลอม “ท่านหลิง วัตถุดิบใหม่ทั้งหมดมาถึงแล้ว มี ทั้งหมด 23 คน ทุกคนเกิดปีหยินเดือนหยินครับ”

หลังคนที่โดนเรียกว่าท่านหลิงได้ยินคําพูดนี้ เขาก็ฉีกยิ้มมีความสุขขึ้นมาทันที

ต่อจากนั้น เราก็เห็นชายชุดด่าคนนั้นมองไปทางเตาเผาอันใหญ่อันนั้น แล้วพูดด้วยน้ําเสียงที่มีความสุขมาก “รอมาตั้งนานขนาดนี้ ในที่สุดวัตถุดิบชุดนี้ก็มาถึงซะที พอมีเลือดสดๆและซากศพของทั้ง 23 คนนี้แล้ว โอสถโลหิตศพก็จะเสร็จสักที พอมีโอสถโลหิตศพแล้ว บ้านเหมียวหนานเหยียนก็จะออกมาผงาดบนโลกได้ง่ายขึ้น และสํานักสื่อเย่เฉินของฉัน ก็จะกลับมาเป็นใหญ่ทั่วหล้าได้อีกครั้ง….”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset