ศพ – ตอนที่ 455 สํานักสื่อเย่เฉิน

ตอนที่ 455 สํานักสื่อเย่เฉิน

หลังได้ยินชายชุดดําพูดแบบนั้น ผมกับอาจารย์ก็อึ้งในทันที พวกเราแทบยืนหยุดนิ่งอยู่กับที่

องค์กรตาผียังจัดการไม่เรียบร้อย ทําไมถึงได้มี “สํานักสื้อเย่เฉิน”ออกมาอีกละ ?

ผมดูหนังบู๊เยอะไปใช่ไหมเนี่ย และยังมีพวกฝึกวิชามหาเวทดูดดาวกับคัมภีร์ทานตะวันด้วย

ผมทําหน้าตกใจ แต่ไม่รอให้ทางฝั่งพวกเราได้ตอบสนองใดๆชายชุดดําที่เหลือและพวกลูกกระจ๊อกที่ขนกล่องพวกนั้นเข้ามาก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งหันไปมองทางชายชุดดําคนนั้นจากนั้นก็ตะโกนออกมาเสียงดังลั่น“สื่อเย่หวนคืนสํานักเฉินกลับมาผงาดพันปีหมื่นปีครองทั่วหล้า……”

เสียงทุกคนดังขึ้นพร้อมกัน แม้แต่คุณหวงที่ถือสมุดอยู่ ก็คุกเข่าลง และตะโกนไปทางชายชุดดําคนนั้น

ผมกับอาจารย์มั่นอย่างแท้จริง ตอนนี้เราอดหันมามองหน้ากันไม่ได้แต่ละคนต่างทําหน้าไปไม่เป็น

ผมถึงกับคิดว่านี่เป็นภาพลวงตา ผมเข้ามาอยู่ในฉากหนังเรื่องนึ่งหรือเปล่า

แต่ ในใจของพวกเรา กลับรู้ดี ว่าทุกอย่างนี้เป็นความจริง

คนตรงหน้าเรา ล้วนไม่ใช่คนธรรมดา

ชายชุดดําพวกนั้น ปลดปล่อยไอปีศาจออกมา เห็นได้ชัดว่าเป็นปีศาจในร่างคนหรือไม่ก็ฝึกวิชามารบางอย่าง

แต่ชื่อบริษัทหมิงโลจิสติกส์ถือว่าน่าสนใจพอสมควร หากแยกคําว่า “หมิง”ออกจากกันก็จะได้ค่าว่า

“สื่อกับเย” พอดี

ดูเหมือน นี่จะเป็นสํานักชั่วร้ายสํานักหนึ่งจริงๆ และคุณหวงก็เข้าร่วมสํานักสื้อเย่เฉินนี้แล้วและกลายเป็นสาวกคนหนึ่ง

ตอนนี้ หลังชายชุดดําได้ยินลูกน้องทุกคนตะโกนแบบนั้นแล้ว ก็สบัดเสื้อคลุมหมุนตัวอย่างรวดเร็ว

พร้อมเผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขา

เขาเป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ คิ้วโค้งเรียวเหมือนดาบ ดวงตาเป็นประกายดุจดวงดาวดูหล่อผิดมนุษย์

เขากวาดสายตามองทุกคนตรงหน้า จากนั้นก็หัวเราะ “ฮ่าๆๆ” ออกมา“ลุกขึ้นเถอะ!สํานักลื่อเย่เฉินของเราไม่เคลื่อนไหวกว่านับพันปีนี่ก็ถึงเวลากลับมาแล้ว”

“ แต่ศัตรูตัวฉกาจของพวกเราในตอนนี้ ไม่ใช่พวกสํานักฝ่ายธรรมะต่างๆ แต่เป็นองค์กรตาผีที่ท่านประมุขส่งฉันมาที่นี่ก็เพราะต้องการให้ฉันปรุงโอสถโลหิตศพเสร็จให้เร็วที่สุดและหาสมาชิก ใหม่เพิ่มพอมีโอสถโลหิตศพแล้วตระกูลเหยียนก็จะร่วมมือกับพวกเราพอถึงเวลานั้นสํานักเราก็จะต้องกลัวองค์กรตาผีอีก

ขอแค่เรามีสมาชิกเยอะพอการครอบครองใต้หล้าก็จะอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว ”

จิตครอบงําล้นออกมา พร้อมเสียงที่ดังกึกก้อง

เสียงเพิ่งเงียบลง ลูกน้องทุกคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก็ตะโกนต่อทันที “ครับท่านหลิง !”

ท่านหญิงคนนี้โบกมือ “เอาเถอะ ในเมื่อวัตถุดิบมาครบแล้ว มีงานอะไรก็ไปทํากันเถอะ ! ภายในสามเดือนนี้เราจะปรุงโอสถโลหิตศพให้เสร็จ”

“ครับ !” ทุกคนขานรับ จากนั้นก็ลุกออกไปทํางานต่อ

ส่วนคนที่โดนเรียกว่าท่านหลิง กลับหันไปมองทางเตาเผาอีกครั้งเขาเผยสีหน้าพอใจออกมา

จากนั้นก็พาชายชุดดําสองสามคนเดินออกไปจากโกดัง ออกไปจากที่นี่ทันที

ตอนนี้ ผมกับอาจารย์คิดว่าเรื่องนี้ยุ่งยากกว่าเดิมอีกหลายเท่า

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เราควรทํายังไงดี

กําจัดปีศาจเหรอ เรื่องนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ พวกเรามีแค่สองคนทําอะไรไม่ได้ทั้งนั้น

เห็นได้ชัดว่าสาวกพวกนี้ เป็นปีศาจในร่างมนุษย์ ถ้าไม่ใช่ครึ่งคนครึ่งปีศาจก็เป็นปีศาจเต็มตัว

ผมกับอาจารย์ ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะต่อกรกับคนขนาดนี้ได้

ถ้าผมสองคนโดนจับได้ ต้องตายอย่างเดียวแน่นอน

ในขณะที่ผมกําลังลังเล จู่ๆอาจารย์ก็พูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน เรื่องนี้เกินกว่าที่คิดเอาไว้เยอะและเรื่องนี้ก็เกินขอบเขตความสามารถของพวกเราแล้วนี่เป็นเรื่องใหญ่ระดับโลกแล้วพวกเรารับ ออกไปกันเถอะ !”

อาจารย์ขมวดคิ้ว พูดด้วยน้ําเสียงเคร่งขรึม

แต่ผม กลับไม่ค่อยอยากไป

อาจารย์พูดถูกทุกอย่าง ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้

สิ่งที่พวกเรากําลังเผชิญหน้าอยู่ ไม่ใช่วิญญาณร้ายเพียงตัวเดียว แต่เป็นสํานักที่ทรงอํานาจสํานักหนึ่ง

ผมกับอาจารย์ ไม่พอเป็นของเล่นให้พวกมันด้วยซ้ํา

เรื่องนี้ไกลเกินความสามารถของพวกเราสองคนจริงๆ ถึงพวกเราจะออกไปก็ไม่ผิดซะทีเดียว

แต่ปัญหาก็คือ ถ้าพวกเราออกไปแล้ว คนที่เกิดปีหยินเดือนหยินทั้ง 23 คนนั้นก็จะไม่รอดเลยสักคน

พอคิดได้แบบนั้น ผมก็ขมวดคิ้ว แล้วพูดกับอาจารย์ว่า “อาจารย์ พวกเรายังออกไปไม่ได้ ถ้า พวกเราไปแล้ว 23 คนนั้นก็จะตายนะอาจารย์

“เสี่ยวฝาน แกดูสถานการณ์ดีๆ ที่นี่ก็เหมือนองค์กรตาผี เรื่องนี้มันอยู่เหนือความสามารถของพวกเราแล้วพวกเราได้แค่มองจากนั้นก็เอาข่าวนี้ไปบอกกับพวกสานักใหญ่ๆพวกนั้นเท่านั้น”

“พวกเราเป็นเพียงผู้ฝึกตนธรรมดา เดิมที่ก็เข้ามายุ่งพวกนี้ไม่ไหวอยู่แล้ว !”อาจารย์พูดต่อ ด้วยเสียงอันแผ่วเบา

เขาหวังว่าเราจะไม่โดนจับได้ก่อน และอยากให้ออกไปจากที่นี่ได้เร็วๆ

แต่ผมกลับไม่เห็นด้วย เพราะผมได้ตัดสินใจแล้ว

ตอนนี้ เสียงผมดังขึ้นอีกครั้ง “ อาจารย์ สู้กับสํานักสื่อเย่เฉินอะไรนี่พวกเราไม่มีทางสู้ไหวแน่นอน

แต่พวกเราช่วยคนพวกนั้นได้นะอาจารย์ ! อาจารย์เคยสอนผมว่า พวกเราคนปราบภูติผีเป็นนักพรตผู้รักคุณธรรมเราจะปล่อยให้ชีวิตทั้ง 23 ชีวิตจบลงทั้งๆแบบนี้ไม่ได้นะอาจารย์

ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นพ่อพระ แต่ยังไงก็ไม่ใช่สัตว์เลือดเย็นที่เห็นคนที่กําลังจะตายแล้วไม่ช่วยอย่างแน่นอน

อาจารย์เห็นผมทําหน้าแน่วแน่ และท่าทางที่หนักแน่น เลยอดถอนหายใจออกมาไม่ได้“ก็ได้ !อาจารย์จะเอาร่างพๆพังๆนี่ไปบ้าเป็นเพื่อนแกสักครั้งว่ามาแกมีวิธีอะไรหรือยัง ?”

เมื่อเห็นอาจารย์เห็นด้วย ผมก็พูดกับอาจารย์ด้วยน้ําเสียงจริงจัง “อาจารย์ดูคนพวกนั้นซิหลังโดนขนเข้ามาในโกดังแล้วก็โดนขังอยู่ในห้องข้างหลัง”

หลังจากพูดจบ ผมก็ชี้ไปที่ห้องหลังเตาเผา มันเป็นห้องที่มีคนเฝ้าอยู่หน้าห้อง

ในเวลาเดียวกันก็พูดต่อ “ตรงนั้นมีของเกะกะวางอยู่ตั้งเยอะ เราสามารถใช้พวกมันซ่อนจากสายตาด้านหน้าได้ ขอแค่พวกเราจัดการยามสองคนที่เฝ้าประตูอยู่ได้จากนั้นก็ปล่อยพวกนั้นออกมาแบบไร้เสียงเดินออกมาตามกองข้าวของพวกนั้นจากนั้นก็หนีออกไปทางหน้าต่างที่พวกเราเข้ามา….”

พออาจารย์ได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็อดดึงหน้าลงไม่ได้ต่อจากนั้นก็พยักหน้าให้ผมเล็กน้อย “ได้แต่ต้องระวังให้ดีถ้ามีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นต้องฟังอาจารย์รีบออกไปจากที่นี่ทันทีนะ”

ผมเองก็เข้าใจดี ว่าที่นี่อันตรายมาก แต่ในเมื่อเลือกทางเดินนี้แล้ว ผมก็ไม่เคยคิดว่าจะได้อยู่อย่างสงบสุข

ผมพยักหน้า จากนั้นก็ใช้กองข้าวของที่กองซ้อนกันในโกดัง แอบเข้าไปกับอาจารย์อย่างระมัดระวัง

พวกเราแอบเข้าไปตรงที่ 23 คนนั้นโดนขังอยู่ได้ทีละนิด
คนส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่หน้าโกดัง หรือไม่ก็ข้างนอก กลับกันด้านในสุดของโกดังหลังนี้กลับว่างเปล่า
มีเวรยามเฝ้าน้อยมาก

เนื่องจากคนพวกนี้จะคิดได้ยังไง ว่ามีคนมาถึงที่นี่ แถมยังมาช่วยพวกคนที่โดนพวกเขาเรียกว่าวัตถุดิบ

ผ่านไปไม่นาน ผมและอาจารย์ก็เข้ามาใกล้ห้องนั้น

และตรงประตู ก็มียามเฝ้าอยู่สองคน

ท่าทางของยามสองคนนี้ดูสบายๆมาก เพียงได้ยินหนึ่งในนั้นพูดว่า “เหล่านูนายกลายร่างปีศาจไปถึงขั้นไหนแล้ว ?”

พอได้ยินคําว่า “กลายร่างปีศาจ” สามค่นี้ ผมกับอาจารย์ก็เงี่ยหูฟังทันที

และคนที่โดนเรียกว่าเหล่า ก็ค่อยๆหันมา

แต่พอเขาหันมาเท่านั้นแหละ ผมและอาจารย์ก็เห็นหน้าอีกครึ่งของเขาอย่างชัดเจน

หน้าอีกครึ่งหนึ่งของเขา ประหลาดมาก

ครึ่งหน้านั้น มีขนสัตว์งอกออกมาจํานวนมาก ดวงตาและริมฝีปากก็ดูเหมือนจะผิดรูปทรงหูทั้งยาวทั้งแหลมหรือแม้แต่มีเขี้ยวงอกออกมาให้เห็นด้วย

หลังผู้ชายคนนั้นหันไปมองคนถามแล้ว เขาก็พูดออกมาด้วยน้ําเสียงสบายๆ“ฉันกลายร่างไปถึงขั้นสองแล้วและเดี๋ยวก็จะถึงขั้นสามแล้วถ้าเลื่อนไปขั้นสามสําเร็จฉันก็จะสามารถควบคุมพลังของตัวเองได้อย่างอิสระพอถึงเวลานั้นฉันก็จะไม่ต้องกลัวว่าจะตายเร็วอีกแล้ว”

หลังจากพูดจบ ชายคนนั้นยังยกมือขึ้นข้างหนึ่ง

เพียงแต่มือข้างนั้นของเขา กลับมีขนเต็มไปหมด มันไม่เหมือนมือคนอีกต่อไปแล้วเป็นเหมือนอุ้งเท้าสัตว์

พออีกคนเห็น ไม่เพียงไม่กลัว กลับกันยังทําท่าทางอิจฉา“เหล่า ฉันละอิจฉานายจริงๆพอเข้าขั้นสองแล้วฉันกลับล้มเหลวไม่รู้ว่าร่างกายของฉันในตอนนี้จะพัฒนาไปถึงขั้นสามได้ไหม”

หลังจากพูดจบ ชายคนนั้นก็ไอติดกันสองสามครั้ง

พอผู้ชายที่กลายเป็นปีศาจครึ่งตัวแล้วได้ยินดังนั้น ก็ยิ้มออกมาเบาๆ “ไม่ต้องคิดมาก ! มะเร็งของนายไม่ทําให้ตายเร็วขนาดนั้นหรอกถ้ากลายร่างไปถึงขั้นสองแล้วเลือดปีศาจและพลังปีศาจข้างในก็จะเปลี่ยนร่างกายไปทีละนิดๆเอง”

“ ถึงร่างกายจะกลายเป็นแบบฉันในตอนนี้ ไม่ได้ดูดีเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ตายแน่นอนถ้าไปถึงขั้นสามแล้ว

ขอแค่กินยาเม็ดปีศาจตามเวลา ก็จะควบคุมร่างกายได้เอง นายจะเป็นเหมือนปกติเลยละพอถึงตอนนั้น

พวกเราก็ไม่ตายอีกแล้วละ……”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset