ศพ – ตอนที่ 456 การแสดง

ตอนที่ 456 การแสดง

ผมกับอาจารย์ซ่อนตัวอยู่ข้างๆ หลังได้ยินปีศาจสองตนนี้คุยกันแล้ว ใจเราก็อดไม่ได้ที่จะมีเสียงดัง “ถูก”

ดีจริงๆ นี่มันสําานักสื่อเย่เฉินบ้าบออะไร มันยังเป็นสํานักธรรมดาอยู่ที่ไหน

คนบ้าอะไรปล่อยให้คนในสํานักกลายเป็นปีศาจ กลายร่างเป็นปีศาจนี่มันยังไงกันแน่

เหมือนตอนที่เจ้าจางจีเทามีกายเนื้อไม่มีผิด เดิมทีเป็นมนุษย์ กลับยอมละทิ้งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

ทําให้ตัวเองกลายเป็นตัวประหลาดครึ่งคนครึ่งสัตว์

แต่จากคําพูดของอีกฝ่าย ผมพบว่าเป้าหมายของอีกฝ่ายเหมือนของเจ้าจางจีเทา ต่างเป็นเพราะป่วย

และยังเป็นโรคที่รักษาไม่ได้ หลังจากนั้นเพราะสาเหตุบางอย่าง ทําให้พวกเขาได้ติดต่อกับองค์กรชั่ว

องค์กรชั่วร้ายพวกนี้ก็ใช้จุดอ่อนของคนพวกนี้ ทําให้พวกเขาต้องเข้ากับองค์กรชั่ว กลายเป็นหุ่นเชิดใต้กํามือ

ต่อจากนั้นก็ถ่ายทอดวิชามารให้พวกเขา ทําให้พวกเขากลายเป็นปีศาจ เป็นสาวกของสํานักลื่อเย่เฉิน

และเมื่อกี้ชายคนนั้นก็พูดแล้ว ถ้ากลายร่างเป็นปีศาจสําเร็จแล้ว จะสามารถควบคุมตัวเองได้ดั่งใจ

แต่สุดท้ายก็ต้องกินยาตามกําหนด

แบบนี้ คนพวกนั้นก็จะตกอยู่ในกํามือสํานักชั่วนั่นอย่างสมบูรณ์ จากศรัทธากลายเป็นทาสรับใช้

แต่กฎสวรรค์ไม่อาจเปลี่ยน แต่ละคนย่อมมีอายุขัยของตัวเอง

ความทุกข์บนโลกมนุษย์ก็คือมีทุกข์มีสุขมีอยู่ก็ต้องมีวันจากลา เกิดแก่เจ็บตาย

ทุกคนต้องเผชิญทั้งนั้น แต่หากฝืนคิดจะทําลายกฎนี้ ใช้วิชามารยืดชีวิตตัวเอง

และทําร้ายคนอื่นแบบนี้ นั่นเป็นสิ่งที่จะปล่อยให้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด

ในความเชื่อของผมความทุกข์ในชีวิตนี้ เป็นเพราะเวรกรรมจากชาติที่แล้ว

ขอแค่มีจิตใจที่ดีงาม ถึงจะอายุสั้นหน่อย แต่ขอแค่สะสมบุญบารมีทําความดีแล้ว สร้างกรรมดเอาไว้

หลังจากโลกไปแล้วก็จะได้รับการตอบแทนที่ดี

อย่างปีศาจพวกนี้พวกมันได้ละเมิดกฎแล้ว

ทําตัวเองให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดไม่ใช่ทั้งคนและปีศาจ ทําร้ายคนอื่นเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอดต่อไป

เป็นสิ่งต้องห้ามที่ไม่แหกกฏโดยสิ้นเชิง

เพราะพวกเราโดนเรียกว่านักพรตเต๋ คนปราบภูติผี เป็นผู้พิทักษ์ที่คอยดูแลความสงบบนโลกมนุษย์

ผมค่อยๆขมวดคิ้ว จากนั้นก็พูดกับอาจารย์ที่อยู่ข้างๆว่า “อาจารย์ พวกเราเริ่มลงมือกันเถอะ !”

หลังฟังผมพูดจบ อาจารย์ก็พยักหน้ารับ

ตอนนี้รอบๆไม่มีคนเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการลงมือ

ต่อจากนั้น ผมและอาจารย์ก็แยกกันไปทางซ้ายและขวา เริ่มเข้าใกล้ปีศาจสองตัวนั้น
พวกมันทําหน้าสบายใจ และไม่มีพลังอะไรไม่สามารถรับรู้ได้ถึงอันตรายที่กําลังเข้ามาใกล้
เลย

ตอนอยู่ห่างจากปีศาจทั้งสองตนไม่มากแล้ว ผมก็เดินออกมาจากที่ซ่อนตรงๆ

ไม่ใช่แค่นั้น ผมยังทําหน้ายิ้มดีใจท่าทางสบายๆ เข้ามาใกล้พวกชั่วสองตัวอย่างเปิดเผย

ที่ผมทําแบบนี้ ไม่ใช่เพราะรนหาที่ตาย แต่เป็นแผนที่วางไว้ตั้งแต่แรกแล้ว

คนที่ทํางานอยู่ที่นี้คงมีหลายสิบคน และหากดูจากภายนอก พวกเขาก็เหมือนคนธรรมดาทุกอย่าง

ผมสามารถใช้จุดนี้ แกล้งปลอมตัวเป็นพวกเดียวกันกับพวกมัน

ภายในระยะเวลาสั้นๆ สามารถหลอกให้อีกฝ่ายสับสนหรือแม้แต่ดึงดูดความสนใจจากอีกฝ่าย

ด้วยเหตุนี้ อาจารย์ก็จะสามารถเข้าไปใกล้จากทางด้านหลังได้เงียบๆ และหาโอกาสลงมือได้

นี้ก็คือแผนของผมกับอาจารย์ตอนนี้ผมเดินออกมาแล้ว และยังเริ่มทักทายยานสองคนนั้นก่อน

“ฮ่าๆๆ สวัสดีพี่ชายทั้งสอง”

ผมทําตัวไร้เดียงสาในมือยังถือซองบุหรี่อีกหนึ่งซอง ทําท่าเตรียมจะยื่นมันให้พวกเขา

ปีศาจทั้งสองตนก็เห็นผมตั้งแต่วินาทีแรกเช่นกันทั้งสองคนอดหันมามองหน้ากันไม่ได้

จากนั้นผมก็เห็นคนที่กลายเป็นปีศาจครึ่งตัวพูดกับผมว่า “ แกเป็นใคร ? เมื่อก่อนไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน

แล้วก็ ที่นี่ห้ามสูบบุหรี่ แกไม่รู้หรือไง ?”

ผมโดนอีกฝ่ายดุในเวลาเดียวทั้งสองคนก็ทําท่าระวังผม

แต่ผมกลับยังทําหน้ายิ้มไม่เปลี่ยน และทําท่าทางไม่มีผิดภัยเหมือนเดิม “พี่ชายทั้งสอง เอ่อ คือผมเพิ่งเข้ามาใหม่ ขนของด้านนอกเสร็จแล้ว แต่ดันเดินหลงมาถึงที่นี่ พอเห็นพี่ชายทั้งสองดูฉลาดและทรงพลัง ก็เลยอยากเข้ามาทําความรู้จัก ต่อไปต้องฝากพี่ชายทั้งสองช่วยดูแลด้วยนะครับ”

ปีศาจทั้งสองตนก็ไม่ใช่คนโง่ พวกเขาไม่ได้โดนหลอกเพราะคําพูดไม่กี่ประโยคของผม

สําหรับผม พวกเขายังทําท่าทีระวังต่อไป

โดยเฉพาะคนที่กลายร่างเป็นปีศาจแล้วเขาเอาอุ้งมือออกมา เผยให้เห็นเล็บที่แผลมคม หากผมทําอะไรตุกติก ก็อาจโดนอีกฝ่ายโจมตีทันที

ไม่ใช่แค่นั้น ปีศาจอีกตนหนึ่งยังพูดกับผมว่า “มาใหม่ซินะ ? มาเมื่อไหร่ รหัสคืออะไร ?”

รหัส ? ผมจะไปรู้เรื่องรหัสบ้าบอนั่นได้ยังไง

แต่ผมก็ไม่ได้ลนลานเพราะผมพบว่าอาจารย์มาอยู่ข้างหลังทั้งสองคนแล้ว เขาห่างจากพวกนั้นไม่ถึงสามเมตร

ขอแค่ผมดึงดูดความสนใจจากพวกเขาต่อก้าวต่อไป ก็จะส่งพวกเขากลับบ้านเก่าได้แล้ว

ด้วยเหตุนี้ ผมยังฉีกยิ้มมีความสุขต่อไป “ใช่ใช่ใช่ มาใหม่ครับ เอ่อ เอ่อรหัสคืออะไร……”

พอพูดถึงตรงนี้ จ่ๆท่าทีของผมก็เปลี่ยนไป มุมปากยกยิ้มอย่างเย็นชา “รหัสก็คือ พวกแกสองคนมันโง่จริงๆไงละ……”

พอค่าพูดนี้ดังขึ้น สีหน้าของทั้งสองคนก็เปลี่ยนไป เป็นใบหน้าโกรธจัดทันที

เจ้าคนที่มีร่างปีศาจครึ่งตัว พูดขึ้นมาด้วยเสียงเย็นชา “กล้าด่าพวกเรางั้นเหรอ ? รอดูว่าฉันจะ……

ผลลัพธ์ยังไม่ทันพูดจบ อาจารย์ก็ได้เข้ามาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังเขาราวกับภูติผี เขาฟาดหมัดไปที่คอของอีกฝ่ายทันที

ได้ยินเพียงเสียงดัง “ปัก” ปีศาจที่ดูเหมือนจะดุร้ายตนนั้น โดนอาจารย์ต่อยจนลงไปนอนสลบกับพื้นทันที

พอคนที่อยู่ข้างๆเห็นเพื่อนตัวเองล้มลงไปแล้ว ก็ทําท่าตกใจ อยากจะตะโกนส่งสัญญาณให้พวกพ้องทันที

แต่มันสายไปแล้ว ในวินาทีที่เขาอ้าปากจะตะโกน ผมก็เปิดใช้พลังทั้งหมด พุ่งเข้าไปหาเขาทันที

ไม่รอให้เจ้าหมอนั้นได้ทําอะไรทั้งสิ้น หลังจากกระโจนเข้าไปแล้ว ผมก็เตะอัดคางเจ้าหมอนั้นทันที

“ปัก” อีกนิดเดียวก็เกือบทําฟันเขาร่วงหมดปากแล้ว

และชายคนนั้นก็ล้มลงไปพร้อมกับปากที่เต็มไปด้วยเลือด

อาจารย์พลิกฝ่ามือ เข้าไปบีบคอเจ้าหมอนั้นต่อ

ปกติอาจารย์ดูเหมือนเซียนเฒ่าเป็นเพียงแค่คนแก่คนหนึ่ง

แต่พอได้สู้กับพวกภูติผีแล้วเขาก็ไม่เคยปราณีเลยสักนิด

หลังจากบีบคอเจ้าหมอนั้นแล้ว เขาก็เคลื่อนพลัง ต่อยไปที่ขมับของเจ้าปีศาจตนนี้อีกหนึ่งหมัด

ไม่รอให้เจ้าหมอนี่ได้ส่งเสียงเลยสักแอะ เจ้าหมอนั้นก็ทรุดตัวนอนแนบกับพื้น เสียการควบคุมตัวเองไปทันที

ในเวลานี้พวกเรากําลังรีบจึงไม่สนความเป็นตายของเจ้าสองคนนั้น

เราหากุญแจเจอจากบนตัวปีศาจตนหนึ่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็นําร่างของเจ้าสองคนนี้ไปซ่อนไว้ด้านข้าง

โดยมีอาจารย์เป็นคนเฝ้า ส่วนผมไปเปิดประตู

แต่หลังเปิดประตูบานนี้ออก ผมกลับพบว่าด้านในเป็นห้องขนาดใหญ่ และในนั้นยังมีโลงวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบอยู่ทั้งหมด 23 โลง

ผมเองก็ไม่กล้าชักช้า รีบเข้าไปเปิดโลงใบหนึ่งดูทันที

วินาทีที่เปิดฝาโลงออกผมพบว่าด้านในมีผู้ชายคนหนึ่งนอนอยู่

ชายคนนั้นเหมือนกับคนกําลังนอนหลับนอนอยู่ในโลงอย่างสงบ

แต่ตรงหัวของเขากลับมียันต์แปะอยู่แผ่นหนึ่ง

แม้จะไม่รู้ว่านี่คือยันต์อะไร แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว มันน่าจะเอาไว้ใช้สะกดชายคนนี้

ผมไม่ลังเล รีบดึงยันต์แผ่นนั้นออกทันที

ในขณะที่ผมถึงยันต์แผ่นนั้นออกชายที่นอนหลับสนิท ก็ค่อยๆลืมตาขึ้น

ตอนลืมตามาเห็นผม เขาก็ทําหน้าหวาดกลัวหรือแม้แต่ยังร้องตะโกนออกมา

ผมเตรียมพร้อมไว้นานแล้ว ผมเอามือเข้าไปปิดปากเขาเอาไว้ทัน จากนั้นก็ทําท่าบอกให้เงียบๆ แล้วกดเสียงลงต่ํา “ผมมาช่วยคุณ ถ้าไม่อยากตายก็อย่าร้อง เข้าใจไหม ?”

ผมทําตาโต พูดด้วยสีหน้าจริงจัง

หลังผู้ชายที่โดนผมปิดปากเอาไว้ได้ยินอย่างงั้น ก็เผยสีหน้าตกใจ แต่ก็ยังพยักหน้าให้ผมรัวๆ

พอเห็นเขาพยักหน้าแล้ว ผมถึงได้ปล่อยมือ

ต่อจากนั้น ผมก็ประคองอีกฝ่ายออกมา เจ้าหมอนั้นก็เดินตามผม ทําท่าทางหวาดกลัว เดิมที่คิดจะเอ่ยปากถาม แต่กลับโดนผมห้ามเอาไว้

ตอนนี้ไม่ใช่เวลาพูด ผมเองก็ไม่ได้มีเวลามาอธิบายเยอะขนาดนั้น

และหลังจากห้ามอีกฝ่ายแล้วผมก็รีบเดินไปที่โลงอีกโลงหนึ่ง……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset