ศพ – ตอนที่ 458 ต่างคนต่างหนี

ตอนที่ 458 ต่างคนต่างหนี

เดิมที่สถานการณ์ก็อันตรายมากอยู่แล้ว ตอนนี้ยังมีปีศาจจากสํานักชั่วโผล่มาเยอะถึงขนาดนั้น

แล้วลําพังอาจารย์คนเดียวจะรับมือได้ยังไง

ภายใต้ความร้อนรน ผมตะโกนออกมา ออกแรงดันเจ้าอ้วนที่หนักกว่า 170-180 โลขึ้นไปอยู่บนกําแพงทันที

เจ้าหมอนั้นเพิ่งขึ้นถึงกําแพง ผมก็ตะโกนไปทางอาจารย์ทันที “อาจารย์ ไป !”

อาจารย์กวาดตามองมาทางผม เห็นทุกคนหนีออกไปหมดแล้ว หลังตวัดดาบใส่สาวกสองคนนั้นแล้ว

เขาก็รีบวิ่งมาทางผมทันที

ผมเองก็ไม่ลังเลรับปีนขึ้นไปบนกําแพง และยื่นมือลงมา

“เร็วหน่อยอาจารย์……” ผมตะโกนเสียงดัง

เพราะในเวลานี้ ผมเห็นคนสิบกว่าคนที่อยู่ด้านหลัง มีพวกที่กลายร่างเป็นปีศาจแล้ว 5-6 พวกนั้นเปลี่ยนไปไม่เหมือนทั้งคนและสัตว์ ผู้นําคนนั้นมือเท้าติดดิน มีสภาพไม่ต่างจากสัตว์ เขากําลังวิ่งมาทางพวกเรา

อาจารย์เป็นคนแข็งแรง การเคลื่อนไหวเร็วใช้ได้เหมือนกัน

ก่อนที่อีกฝ่ายจะตามอาจารย์ทัน อาจารย์ก็มาถึงตรงก่าแพงแล้ว

เขาออกแรงกระโดด จับมือผมอย่างรวดเร็ว

ผมเองก็ออกแรง ดึงอาจารย์ขึ้นมาทันที

อาจารย์เพิ่งขึ้นมาบนกําแพง ผมและอาจารย์ก็กระโดดลงไปทันที

ในเวลาเดียวกัน ด้านหลังพวกเราก็มีเสียงตะโกนดังลั่น “เร็วเข้า ตามไป !”

“อย่าให้พวกมันหนีไปได้”

“จับพวกมันไว้ !”

“แม่งเอ้ย จะให้รอดกลับไปไม่ได้…..”

ด้านหลังมีเสียงแบบนี้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผมกับอาจารย์เพิ่งกระโดดลงกําแพง เราก็วิ่งต่อทันที

และห่างออกไปไม่ไกลจากตรงหน้าพวกเรา ก็คือเจ้าอ้วนคนนั้น

เจ้าหมอนั้นช้ามาก เวลานี้กาลังหายใจหอบเหนื่อย

“เจ้าอ้วน นายรีบวิ่งหน่อย !” ผมตะโกน

ส่วนด้านหลัง ก็มีสาวกสํานักชั่วหลายคน ปืนกําแพงออกมาแล้ว

แต่เจ้าอ้วนนั่นจะวิ่งเร็วกว่าเดิมได้ยังไง ? เขายังวิ่งได้ไม่เท่าคนธรรมดาเลยด้วยซ้ํา “ผม ผม ผมวิ่งไม่ไหวแล้ว พวกคุณ พวกคุณหนีไปเถอะ !”

“เจ้าอ้วน ถ้านายตกอยู่ในเงื้อมมือพวกมันอีกครั้ง นายจะไม่รอดจริงๆนะ !” ผมรีบพูด และดึงตัวเจ้าอ้วน

เจ้าอ้วนเหนื่อยจนเหงื่อเต็มหน้าแล้ว แต่ก็ยังกัดฟันพยายามทําให้ตัวเองเร็วกว่าเดิม

แต่จากความเร็วในตอนนี้ การโดนไล่ตามทันเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

แต่การปล่อยให้ความอ้วน ทําลายตัวเอง ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างโหดร้ายพอสมควร

ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก อาจารย์กลับถามเจ้าอ้วนสั้นๆ “เจ้าอ้วน ว่ายน้ําเป็นไหนฮี ?”

เจ้าอ้วนหอบหายใจ “เป็น ว่ายเป็น ถึงจะตกลงไปในน้ํา ผม ผมก็ไม่มีทางจม……”

ผมกวาดตามองเจ้าอ้วน นี่คงเป็นเรื่องจริง

อ้วนขนาดนั้น ทั้งตัวเต็มไปด้วยไขมัน คงเหมือนใส่เสื้อชูชีพ

พออาจารย์ได้ยินแบบนั้น ก็ชี้ไปทางด้านข้าง “ ทางลาดตรงนั้น เจ้าวิ่งตรงไป จะมีแม่น้ําอยู่สายหนึ่ง

จากนั้นเจ้าก็ว่ายข้ามไปซะ ”

“ว่ายน้ํา ? ผมจะ ผมจะหนาวตายนะครับ” เจ้าอ้วนขมวดคิว ท่าทางไม่ค่อยเต็มใจ

อาจารย์ไม่พูดต่อ ยื่นเท้าไปถีบกันเจ้าอ้วนทันที

เจ้าอ้วนยังไม่ได้ตอบโต้ ก็โดนอาจารย์ถีบไปตรงทางลาดนั้นแล้ว

เจ้าอ้วนเหมือนลูกบอล กลิ้งลงไปอย่างต่อเนื่อง

แต่ทันใดนั้นเองอาจารย์กลับพูดกับผมว่า “ จะหนีได้หรือเปล่า ก็อยู่ที่ชะตาชีวิตเจ้าหมอนั้นแล้ว

พวกเรารีบหนีกันเถอะ !”

ขณะพูด อาจารย์ก็ออกตัววิ่งไปข้างหน้าทันที

หลังมองเจ้าอ้วนที่กลิ้งตัวออกไปแล้ว ผมก็อดสูดหายใจเข้าไม่ได้

เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว นี่ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว

หากวิ่งหนีไปพร้อมพวกเรา เจ้าอ้วนต้องโดนตามทันแน่ๆ หลังจากโดนจับกลับไป จุดจบก็มีเพียงถูกหลอมกลายเป็นโอสถ โลหิตศพอะไรนั่น

ถ้าเขาวิ่งไปทางแม่น้ํา ก็อาจกระโดดหนีไปตามแม่น้ําได้

พอคิดได้แบบนี้ ผมก็ไม่ได้หยุดพัก เริ่มวิ่งต่อไปข้างหน้าทันที

ด้านหน้าของพวกเรา สามารถมองเห็นร่างของใครหลายคนได้ลางๆ

พวกเขากําลังติดเกียร์หมาวิ่งหนี มีวัยรุ่นสองสามคน ที่วิ่งหนีไปจนไม่เห็นเงาแล้ว

ผมและอาจารย์รีบวิ่งไปข้างหน้า อย่างไม่คิดชีวิต และด้านหลังกลับมีปีศาจกลุ่มใหญ่กําลังไล่ตามมา

ฉากนี้ ทําให้ผมคิดถึงตอนที่โดนพวกทาสผีไล่ตาม

แต่ถ้าเอามาเทียบกันแล้ว ทาสผู้เร็วกว่าเยอะ

ส่วนพวกคนที่ไล่ตามพวกเรามา เป็นพวกที่เพิ่งกลายร่างเป็นปีศาจได้ครึ่งหนึ่ง การเคลื่อนไหวก็ไม่ได้จัดว่าเร็วขนาดนั้น

ระยะห่างระหว่างพวกเรากับพวกเขา ถือว่าปลอดภัยพอสมควร

ขอแค่พวกเราวิ่งไปถึงที่ที่จอดรถเอาไว้ ก่อนที่พวกเขาจะตามมาทัน เราจะหนีออกไปจากที่นี้ได้เร็วยิ่งกว่าเดิม

ตอนนี้ดูเหมือน ความเป็นไปได้จะมีมากเลยทีเดียว

เพียงแต่ปีศาจบางตัวที่วิ่งออกมาทางประตูหน้า กลับเริ่มวางตัวเป็นแนวทแยง เจ้าพวกนั้นคิดจะปิดกั้นทางหนีของผมกับอาจารย์

คนมีไม่เยอะ เพียงแค่หกคนเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ ผมและอาจารย์เลยไม่ได้คิดจะหลบ เราเตรียมพุ่งเข้าชนปีศาจทั้งหกตนที่ขวางทางอยู่

ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็เข้ามาปะทะกับพวกปีศาจที่ขวางทางอยู่

ผู้นําของเจ้าพวกนั้น คือปีศาจแมวตัวหนึ่ง

หน้าของเขา กลายสภาพเหมือนหน้าแมว

เพียงแต่แขนขาของเจ้าหมอนี่ กลับยังไม่เปลี่ยนเป็นเหมือนอุ้งเท้าแมวอย่างสมบูรณ์

ตามการแบ่งระดับของสํานักสื่อเย่เฉิน สภาพแบบนี้น่าจะอยู่ในขั้นสอง หรือไม่ก็ขั้นสาม

ผ่านร่างปีศาจร่างนั้นเขาปลดปล่อยไอปีศาจออกมาตลอดเวลา เจ้าหมอนี่ไม่ได้มีพลังอะไรมากนัก
เพียงแค่ร่างกายเปลี่ยนไปบ้างเท่านั้น

และในตอนนี้ ปีศาจตนนั้นกลับกําลังจ้องผมและอาจารย์

เขายกกรงเล็บขึ้นมาชี้พวกเรา พร้อมพูดอย่างเย็นชา “พวแกเป็นใครฮะ ? ถึงกล้าบุกรุกสํานักลื่อเย่เฉินของพวกเรา”
เราไม่มีอะไรจะพูดกับคนชั่วพวกนี้ พูดไปก็เสียเวลาเปล่าๆ

ผมดึงหน้าลง แล้วดึงดาบไม้ออกมาทันที “ลงไปถามยมบาลเถอะ !”

หลังจากพูดจบ ผมก็พุ่งออกไปคนแรก

อาจารย์เองก็ไม่ลังเล ปลดปล่อยพลังออกมาทั้งหมดทันที

พลังเต่าชื่อขั้นกลาง สามารถพูดได้ว่ามันสยบครึ่งคนครึ่งปีศาจพวกนี้ได้อย่างสมบูรณ์

ทันใดนั้น ผมก็เข้าปะทะกับเจ้าหมอนั้น

พอดาบในมือของผมพุ่งเข้าไป เจ้าหมอนั้นก็กางกรงเล็บเข้ามารับ ผมไม่มีท่าทีจะถอยเลยสักนิด ผมคิดจะสู้สุดชีวิตกับอีกฝ่าย

ส่วนปีศาจอีกห้าตน ก็แยกย้ายเข้ามาโจมตีผมและอาจารย์…..

เพียงชั่วพริบตา “ปัง” ผมก็ปะทะกับเจ้าปีศาจตนนั้นแล้ว

เพราะผมมีพลังเยอะกว่าเจ้าหมอนั้น

ดังนั้นด้วยพละกําลังทั้งหมดของผม เลยทําให้เจ้าหมอนั้นโดนแรงกระแทกถอยไปหลายก้าว

อาจารย์อยู่ข้างหลังผม เมื่อเห็นช่องโหว่นี้ เขาก็ไม่ลังเลเลยสักนิด

เวลาสู้กับเจ้าปีศาจพวกนี้ เขาไม่ออมมือเลยสักนิด ตวัดดาบออกไป ฟาดฟันอย่างเยือกเย็น

“บิ๊ก” เลือดสาดกระเซ็น

อาจารย์แทงทะลุคอของปีศาจตนนั้น แต่เจ้าปีศาจตนนั้นไม่ได้ตายในทันที เขายกมือขึ้นจับคอตามสัญชาตญาณ

ปากดูเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่มันกลับส่งเสียงออกมาไม่ได้แล้ว มีเพียงเลือดที่ไหลออกมาเท่านั้น

ผ่านไปไม่นาน แขนขาเขาก็ไม่มีแรง ร่างกายทรุดลง

“ปีก” เสียงล้มลงพื้น เขาไม่หายใจแล้ว

หลังอาจารย์จัดการปีศาจตัวนี้แล้ว ผมสองคนก็ไม่ได้หยุดแค่นั้น เราเริ่มโจมตีใส่ปีศาจที่เหลืออีกห้าตนทันที

ถึงอีกฝ่ายจะมีคนเยอะ แต่ด้านกําลังรบ ดูเหมือนจะไม่เท่าไหร่

หลังหนึ่งในนั้น เห็นผู้นําโดนฆ่า ก็ตกใจจนร้อง “อ้า” ออกมา แล้วหมุนตัววิ่งหนีออกไปทันที

ส่วนอีกสี่ตนที่เหลือ ระดับการกลายร่างยังไม่สูงเท่าปีศาจที่ตาย

ด้านพลังต่อสู้และพลังโจมตี อาจเรียกได้ว่าไม่ต่างอะไรจากผีร้ายชุดขาวธรรมดา

พลังระดับนี้ ถึงจะมีเยอะก็ไม่อาจทนต่อการโจมตีที่บ้าคลั่งของผมกับอาจารย์ได้

สู้ได้แค่ไม่กี่กระบวนท่า ก็มีปีศาจสองตนได้รับบาดเจ็บหนัก และกําลังจะตายอีกตัว

นอกจากคนที่หนีไปแล้ว อีกคนก็กลัวจนไม่กล้าเข้ามา ขาสันทั้งสองข้าง ขณะเดียวกันก็ถอยไปข้างหลังอย่างต่อเนื่อง

ผมและอาจารย์ไม่อยากเสียเวลาต่อ เลยไม่สนใจเจ้าพวกนั้นอีก

เพราะพวกเรารู้ว่า ตอนนี้มีแค่พวกลูกกระจ๊อก

พวกที่ร้ายกาจจริงๆ น่าจะเป็นพวกชายชุดดําที่เห็นในวันนี้ และพวกคนที่กลายเป็นปีศาจถึงขั้นสามแล้ว สาวกที่สามารถเปลี่ยนร่างเป็นปีศาจได้ตามใจชอบ และยังมีคนกลุ่มใหญ่ที่ไล่ตามมาข้างหลัง

ถ้าไม่หนีตอนนี้ แล้วมัวเสียเวลาอยู่ที่นี่

ถึงตอนนั้นคนชุดดําพวกนั้นหรือไม่ก็คนกลุ่มใหญ่ไล่ตามมาทัน พวกเราก็จะหนีได้ยากแล้ว

ดังนั้น ผมกับอาจารย์เลยไม่ลังเลที่จะอยู่ต่อ เราพุ่งออกไปจากวงล้อม ถือดาบตรงไปที่จอดรถเอาไว้ทันที…

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset