ศพ – ตอนที่ 459 แจ้งตํารวจ

ตอนที่ 459 แจ้งตํารวจ

สถานการณ์แบบนี้จะบอกว่าไม่อันตรายก็เป็นไปไม่ได้ พวกเราคนไหนจะกล้าหยุดอยู่ตรงนี้

เพราะไม่มีคนขวาง ดังนั้นพวกเราเลยรีบวิ่งไปทางที่รถตู้จอดอยู่ทันที

และปีศาจพวกนั้น ต่างออกมาไล่ตาม พวกเขาอยู่ห่างจากพวกเราไม่ถึง 50 เมตรแล้ว

“จับพวกมันเอาไว้ !”

“เร็วหน่อย !”

“จะให้พวกมันหนีรอดออกไปไม่ได้เด็ดขาด !”

“ฆ่าพวกมันซะ !”

เสียงทั้งหมดดังขึ้นพร้อมกัน แค่โดนจับได้ ต้องตายแน่ๆ

“เร็วเข้าเสียวฝาน !” อาจารย์เตือน และจองพวกปีศาจที่ตามมาด้วยความประหม่า

ผมรีบหยิบกุญแจรถออกมาจากเสื้อ แล้วกดเปิดรถทันที จากนั้นก็พูดกับอาจารย์ว่า “อาจารย์ขึ้นรถ !”

หลังจากพูดจบ ผมก็เข้าไปนั่งตรงที่นั่งคนขับ แล้วรีบสตาร์ทรถทันที

เมื่อเห็นอาจารย์ขึ้นรถแล้ว ผมก็ไม่ลังเลเลยสักนิด รีบเหยียบคันเร่ง ได้ยินเพียงเสียงเครื่องยนต์ดัง “บรื้น” จากนั้นรถก็แล่นออกไปจากที่นี่ด้วยความรวดเร็ว

ผมมองผ่านกระจกหลัง หลังจากพวกเราออกมาไม่นาน ปีศาจพวกนั้นก็วิ่งออกมาบนถนน

แต่คนพวกนั้นจะเร็วกว่ารถเหรอ หลังตามมาระยะนึ่ง ก็ได้แต่ยืนจ้องพวกเราจากไปเท่านั้น

แต่ผมไม่ได้ประมาท ยังเพิ่มความเร็วอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ผมเพิ่มความเร็วรถต้อย่างกับขับเฟอร์รารี

หลังจากขับออกมาได้สักพัก เมื่อเห็นด้านหลังไม่มีการเคลื่อนไหวแปลกๆแล้ว และไม่มีรถตามมา

ผมถึงได้ถอนหายใจออกมา และขับช้าลงมาหน่อย

“อาจารย์ ตอนนี้พวกเราน่าจะปลอดภัยแล้ว !” ผมมองกระจกมองหลัง แต่ก็ยังพูดด้วยความกลัว

คราวนี้ถือว่าเซอร์ไพรส์อย่างหนึ่ง เราถึงกับได้แอบเข้าไปในฐานที่มั่นของสํานักชั่วแห่งหนึ่ง

แม้จะโดนจับได้แต่สุดท้ายก็หนีออกมาได้

เพียงแต่ไม่รู้ว่าทั้งแปดคนที่ผมช่วยออกมา จะเป็นเหมือนพวกเราไหม ทุกคนจะหนี้ได้หรือเปล่า
แต่เรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะควบคุมได้แล้ว

พวกเราทําเรื่องที่พวกเราทําได้แล้ว

เป็นตายล้วนมีชะตากําหนด ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับโชคของพวกเขา

อาจารย์เอนตัวพิงเบาะ เหล่ตามอง แล้วก็ถอนหายใจออกมาแรงๆเช่นกัน “ เฮ้อ ! คิดไม่ถึงเบื้องหลังเรื่องนี้

จะเกี่ยวข้องกับสํานักชั่ว ตอนนี้ก็ดีจริงๆ มีองค์กรตาผีแล้ว ยังจะมีสํานักสื่อเย่ขึ้นมาอีก ต่อไป โลกคงต้องวุ่นวายขึ้นแน่ๆ…..

อาจารย์พูดด้วยความท้อแท้ เต็มไปด้วยความรู้สึกจนปัญญา

ผมขับรถไป พูดกับอาจารย์ไป “อาจารย์ ตอนนี้เราจะทําอะไรต่อ ?”

อาจารย์ได้ยินผมพูดออกมาอีกครั้ง กลับทําตาเบิกกว้าง และหันมามองผมทันที “ถึงพวกเราไม่เข้าไปจัดการเรื่องนี้ และช่วยคนไม่ได้ขนาดนั้น แต่ก็มีคนนึงที่จัดการได้

“ใครเหรอครับ ?” ผมงงนิดหน่อย

อาจารย์กลับดวงตาเป็นประกาย “ตํารวจ”

“ฮะ ? ตํารวจ ?” เห็นได้ชัดว่าผมค่อนข้างตกใจ คนปราบภูติผีอย่างพวกเรายังจัดการไม่ได้ แล้วตํารวจจะทําอะไรได้

“ใช่ ตํารวจนั่นแหละ เสี่ยวฝาน แกโทรไปแจ้งตํารวจเร็วเข้า” อาจารย์พูดต่อ

“อาจารย์ เรื่องแบบนี้ ตํารวจจะทําอะไรได้เหรอ ? นั่นคือสํานักชั่วนะ ถึงจะเป็นตํารวจ ก็คงทําอะไรไม่ได้” ตอนแรกผมยังไม่เข้าใจความคิดของอาจารย์

แต่อาจารย์กลับยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ เสี่ยวฝาน แกลองคิดดูดีๆ ตํารวจจัดการปีศาจชั่วพวกนี้ไม่ได้

แต่อย่างน้อยก็สร้างความวุ่นวายเล็กๆน้อยให้สํานักชั่วนั่นได้นะ หรือว่าช่วงเวลาที่พวกเราออกมา

จะปล่อยให้พวกมันหลอมยาที่ใช้ชีวิตคนอะไรนั่นสําเร็จหรือไง ? ”

จู่ๆก็ได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ผมเลยเข้าใจความคิดของอาจารย์ขึ้นมาทันที

อีกฝ่ายเป็นสํานักปีศาจชั่วแน่นอน แต่พวกเราก็สามารถใช้วิธีพูดอีกอย่างนึ่งได้ คือบอกว่าอีกฝ่ายคือแก๊งค้ามนุษย์

ขอแค่พวกตํารวจแทรกซึมเข้าไปข้างใน แบบนั้นก็อาจเข้าไปขัดขวางการหลอมยาของอีกฝ่ายได้

ไม่แน่ อาจช่วยชีวิตคนมากกว่าสิบชีวิต สร้างความวุ่นวายให้สํานักสื่อเย่นั่นได้

แน่นอน ต่อหน้าปีศาจที่รู้วิชามารหลากหลายรูปแบบเช่นนี้ อยากให้ตํารวจช่วยชีวิตคนเป็นโห

ความเป็นไปได้แบบนี้มีเพียงแค่น้อยนิดเท่านั้น

เพราะสําหรับคนทั่วไป มี “วิธีปิดบัง” ตั้งมากมาย เช่นสามารถหลอกตา หรือแม้แต่ใช้คาถาทําให้จิตใจคนสับสนก็ยังทําได้

แต่ ผมก็ยังหยุดรถข้างทาง จากนั้นก็โทรแจ้งตํารวจอยู่ดี

โทรศัพท์ถูกรับสายเร็วมาก ผมเองก็ไม่ลังเล อธิบายเหตุผลที่โทรมาทันที และบอกว่าอาจมีการค้ามนุษย์เกิดขึ้นที่บริษัทหมิงโลจิสติกส์ ให้พวกตํารวจเข้าไปตรวจสอบ

หลังจากพูดจบ ผมก็รีบวางสายทันที

พอวางสายแล้ว อาจารย์ก็พูดกับผมอีกครั้ง “ วิธีนี้กําจัดปีศาจพวกนี้ไม่ได้จริงๆ ถ้าปีศาจพวกนี้ อยากเอาตัวรอด ยังไงก็ต้องใช้คาถาสารพัดรูปแบบแน่ๆ ดังนั้น เรื่องสําานักสื่อเย่เฉินนี่ ยังเป็นเรื่องของลัทธิเรา

ยังไงก็ต้องเอาเรื่องนี้ไปบอกกับพวกสํานักใหญ่ๆต่างๆ ให้พวกนั้นส่งคน มาจัดการแทนพวก เรา ”

“คือ อาจารย์วางใจได้ พรุ่งนี้เช้าผมจะไปบอกหยางเฉวกับจุ่ยเฉิงจิง ให้พวกเธอเอาเรื่องนี้ไปบอกสํานักของพวกเธอ” ผมพูดด้วยน้ําเสียงจริงจัง

เมื่ออาจารย์ได้ยินถึงตรงนี้ ก็พยักหน้าเบาๆ แล้วถอนหายใจออกมา “เสี่ยวฝาน ! พวกสํานักองค์กรชั่วพวกนี้ออกมาปรากฏตัวขึ้นเรื่อยๆ ทางลัทธิก็ต้องออกมาบรรเลงเลือดกันอีกแล้ว ! ทางเดินของแกในวันข้างหน้า คงต้องระวังให้มากแล้วละ

อาจารย์ดูท้อใจ แต่ผมกลับตื่นเต้น

แต่ไม่รอให้ผมได้พูดบ้าง อาจารย์ก็พูดกับผมอีก “ เสี่ยวฝาน พลังอํานาจของสานักชั่วพวกนี้มีเยอะเกินไป ไม่ใช่สิ่งที่คนอย่างพวกเราจะเข้าไปยุ่งได้ แต่ในเมื่อเรารับเรื่องของคุณโจวแล้ว ยังไงเราก็ทําให้ถึงที่สุด

อีกเดี๋ยวพวกเราก็กลับไปซุ่มอยู่ที่บ้านคุณโจว แล้วรอให้คุณหวงกลับมา จากนั้นพวกเราก็จับเขาเค้นถามวิธีแก้……”

สําหรับเรื่องนี้ ผมเห็นด้วยสุดๆ

ในเมื่อรับปากคุณโจวแล้ว เราก็ต้องจัดการให้เรียบร้อย

แม้จะมีสํานักขนาดใหญ่มากเกี่ยวข้อง แต่ไม่ว่ายังไงเราก็ต้องทําเรื่องของบ้านคุณโจวให้เรียบร้อย

หลังจากนั้นผมก็สตาร์ทรถอีกครั้ง แล้วเริ่มขับไปยังหน้าหมู่บ้านของคุณโจว และคอยจับตามองรอบๆตลอด

ถ้าคุณหวงกลับมา พวกเราก็จะลงมือทันที

พอเหลือบมองดูเวลา ตอนนี้เพิ่งสี่ทุ่มกว่า

ผมกับอาจารย์ เฝ้ากันแบบเงียบๆแบบนี้ จนกระทั่งเวลาค่อยๆดึกขึ้นเรื่อยๆ คนบนถนนก็ค่อยๆน้อยลง

ต่อจากนั้นประมาณตีหนึ่ง รอบๆก็ไม่มีคนเดินผ่านอีก

ภายใต้แสงไฟสลัวๆถนนโทรมๆปรากฏสู่สายตา มันทําให้สัมผัสถึงบรรยายเงียบสงบจนถึงกับวังเวง
แต่ผมและอาจารย์กลับเบิกตากว้าง มองไปรอบๆอย่างไม่วางตา

ทันใดนั้นเอง ผมก็เห็นในความมืดที่ห่างออกไปมีร่างสีด่าของใครบางคนปรากฏขึ้น ผมเลยเริ่มตื่นตัวทันที

หลังรอให้ร่างสีดํานั้นเข้ามาใกล์ และได้ความช่วยเหลือของไฟบนถนน ทําให้ผมเห็นหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน

เขาไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือคุณหวงที่พวกเรากําลังรออยู่

เห็นได้ชัดว่าคุณหวงค่อนข้างกระวนกระวาย เขาเดินเร็วมาก

เมื่อเห็นภาพนี้ ผมก็รีบบอกอาจารย์ที่อยู่ข้างๆทันที “อาจารย์ คุณหวงมาแล้ว !”

อาจารย์เด้งตัวจากที่นั่งข้างคนขับ พร้อมบีบก้นบุหรี่ในมือทันที “มาได้เวลาพอดี ไป !”

เมื่อได้ยินคําพูดนี้ ผมกับอาจารย์ก็ไม่ลังเล เปิดประตูเบาๆ จากนั้นก็ออกมาจากซอยมืดๆแห่งหนึ่ง

ค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ตัวคุณหวงที่กําลังกลับบ้าน

แต่ในขณะที่คุณหวงกําลังเดินเข้ามาในหมู่บ้าน ผมกับอาจารย์ก็ปรากฏตัวตรงหน้าเขา เราขวางทางเดินของเขาเอาไว้

พอคุณหวงเห็นผมกับอาจารย์ เขาก็อดอึ้งไปพักหนึ่งไม่ได้

แต่ต่อจากนั้นก็เผยแววตาที่ดุร้ายออกมาเล็กน้อย และเปิดปากให้เห็นเขี้ยวในปากอันน้อยนิดนั่น เล็บพวกนั้นก็เริ่มยาวออกมาเช่นกัน “ถ้าคิดจะปล้น พวกแกหาเรื่องคนผิดแล้ว !”

ผมอดยิ้มอย่างขมขึ้นในใจไม่ได้ เจ้าหมอนี่เห็นผมกับอาจารย์เป็นพวกโจร

แต่ผมก็ไม่สนท่าทีของเขา เพียงจ้องคุณหวง แล้วพูดออกมาเบาๆ “สํานักสื่อเย่เฉิน คุณคงเพิ่งกลายร่างในขั้นแรกซินะ ?”

เมื่อคําพูดนี้ดังขึ้น คุณหวงที่ดูจะโหดหน่อยๆ ก็ทําหน้าตกใจ อดไม่ได้ที่จะถอยไปข้างหลังสองก้าว

พร้อมมองผมกับอาจารย์ด้วยสีหน้าตกตะลึง “พวก พวกแกเป็นใคร ?”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset