ศพ – ตอนที่ 46 ป่าช้าเก่า

พูดแล้วก็แปลก หลังจากเฟิงเฉว่หานกินยาเม็ดนั้น ผลลัพธ์กลับรุนแรงยิ่งกว่ายาทั่วไป

แค่กินเข้าไปเท่านั้น อาการของเฟิงเฉว่หานก็บรรเทาลงทันที

ไม่เพียงแค่นี้ ช่วงเวลาต่อมาสีหน้าของเขายังดีขึ้นไม่น้อย

ผ่านไปประมาณ 10 วินาที ดวงตาของเฟิงเฉว่หานก็กลับมาเป็นปกติ ฟันก็ไม่กระทบกัน แต่เขายังคงสั่นอยู่เล็กน้อย

เมื่อผมเห็นอาการของเฟิงเฉว่หานดีขึ้น ก็รีบส่งแก้วน้ำไปให้เฟิงเว่หานทันที

 

“เหล่าเฟิง นายป่วยเป็นอะไร ทำไมจู่ๆอาการก็กำเริบขึ้นมาละ เมื่อกี้ทำฉันตกใจแทบแย่เลยนะ!” ผมตกใจจริงๆ ตอนนั้นจึงยังพูดด้วยความรู้สึกหวาดกลัว

ตอนนี้เฟิงเฉว่หานฟื้นตัวขึ้นมาก จนสามารถลุกขึ้นมานั่งบนเตียงได้

เขารับแก้วน้ำจากมือผม ด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น

เขาดื่มน้ำก่อนหนึ่งอึด จากนั้นก็พูดว่า “ปัญหาเก่าน่ะ แต่มันไม่ใช่โรคนะ!”

เมื่อได้ยินเฟิงเฉว่หานบอกว่ามันไม่ใช่โรค ผมต้องไม่เชื่ออย่างแน่นอน

ชั่งเถอะ! เมื่อกี้ยังสั่นอย่างกับเต้นในผับ แล้วตอนนี้จะมาบอกฉันว่าไม่ใช่โรคเนี่ยนะ ผีนะซิจะเชื่อนาย

 

เฟิงเฉ่วหานเห็นผมทำหน้าแปลกๆ แต่ก็ไม่อธิบายอะไรมาก “นายคิดว่ามันแปลกมากซินะ แต่มันไม่ใช่โรคจริงๆ แค่ตอนที่อาการกำเริบ จะเกิดท่าทางเหมือนเมื่อกี้น่ะ”

เฟิงเฉ่วหานพูดออกมาเบาๆ แต่ผมก็ยังไม่เชื่อเขาอยู่ดี

คิดซิ! นี่อาจเป็นความในใจของเฟิงเฉว่หาน ปฏิเสธอาการป่วยของเขาเอง คนที่เชื่อมั่นว่าตัวเองแข็งแกร่งมากอย่างเขา คงไม่อยากยอมรับเรื่องแบบนี้

ผมคิดว่าอาจเป็นแบบนี้ ดังนั้นจึงพูดกับเฟิงเฉว่หานว่า “อือ ฉันเชื่อนาย แต่นายอย่ายอมแพ้แล้วล้มเลิกการรักษา ชีวิตของคนเรายังเต็มไปด้วยความหวังนะ!”

 

ผมพูดคำพูดนี้ด้วยความจริงใจ แต่หลังจากเฟิงเฉว่หานได้ยิน เขาก็แทบจะกระอักเลือดออกมาทันที

แต่เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่พิเศษ ดังนั้นตอนนั้นเขาจึงยังไม่บอกเหตุผลที่แท้จริงกับผมทั้งหมด

เนื่องจากตอนนี้ผมนอนไม่หลับแล้ว จึงนั่งดูทีวีและคุยกับเฟิงเฉว่หานอยู่ในห้อง

ประมาณ 5 โมงครึ่ง อาจารย์ นักพรตตู๋ และเหล่าฉินก็เดินมาเคาะประตู

หลังออกจากโรงแรม พวกเราก็ไปร้านอาหารหาอะไรกินกันอีกหน่อย จากนั้นก็รีบออกเดินทางไปป่าช้าเก่าทันที

ป่าช้าเก่าอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 30 กิโลเมตร เพราะมันอยู่ห่างไกล จึงเดินไปไม่ค่อยสะดวก พวกเราจึงนั่งรถมาประมาณ 2 ชั่วโมง

 

หลังจากพวกเรามาถึงเชิงเขาของป่าช้าเก่า ก็เป็นเวลา 2 ทุ่มครึ่งแล้ว

ตอนนี้ท้องฟ้ามืดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ป่าช้าเก่าจึงเต็มไปด้วยความมืดมิด ประมาณว่าไม่สามารถมองเห็นรูปร่างที่ปรักหักพังของป่าช้าเก่า ผ้าขาวที่แขวนไว้อาลัยวิญญาณทั้งทางด้านซ้ายและขวา หรือเศษขี้เถ้าสีดำที่เกิดจากการเผากระดาษเงินกระดาษทอง และยังพวกกระถางที่ใช้เผาได้อย่างทันที

สรุปก็คือ สถานที่แห่งนี้มีพลังหยินแรงมาก เป็นความมืดมิดที่แปลกมากนั้นเอง

ผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัวจนตัวสั่น จากนั้นผมก็หันไปพูดกับอาจารย์ “อาจารย์ พลังหยินของที่นี่แรงมาก วิญญาณเร่ร่อนที่อยู่ที่นี่ต้องเยอะมากแน่ๆ!”

แต่อาจารย์กลับยิ้มออกมาเล็กน้อย “ใช่มีเยอะเลยละ เมื่อกี้ทางเล็กๆที่พวกเราเดินผ่านมาก็มีผีเต็มไปหมด! มีทั้งคนแก่และเด็กวนอยู่รอบๆ พวกมันต่างมองมาที่พวกเรา!”

 

หลังจากอาจารย์พูดจบ อากาศที่อยู่รอบๆ ก็มีลมกระโชกเกิดขึ้นอย่างฉับพรัน

ไม่เพียงเท่านั้น ดูเหมือนจะมีใครบางคนหายใจรดต้นคอผมจากทางด้านหลังด้วย

สิ่งนี้ทำให้ผมตกใจ จนขนลุกแล้วลุกอีก

กลับกันเหล่าฉิน นักพรตตู๋และคนอื่นๆ ที่ทำงานในสายงานเดียวกัน ต่างเคยเห็นลมกระโชกมาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงสงบมาก

แน่นอนว่าผมไม่สามารถพูดออกมาได้ แม้ว่าในใจจะหลอนจนสุดขีด แต่ก็ยังคงแกล้งทำเป็นสงบเหมือนเดิม

แม้ว่าพวกเราจะเคยได้ยินชื่อป่าช้าเก่าแห่งนี้ แต่ก็ยังไม่เคยมาเลยสักครั้ง

สำหรับวัดร้างที่อยู่ในป่าช้าตั้งอยู่ไหน พวกเราเองก็ยังไม่รู้

 

ดังนั้นหลังจากมาถึงที่นี่ พวกเราจึงต้องค้นหามันด้วยตัวเอง

แต่สิ่งที่แปลกคือ พวกเขาค้นหาในป่าช้ามาประมาณ 2 ชั่วโมง ก็ยังไม่พบร่องรอยของวัดร้างเลยสักนิด

ทุกคนต่างรู้สึกมึนงง สถานที่แห่งนี้ใหญ่ขนาด ที่ทำให้พวกเราหาวัดร้างไม่เจอเชียวเหรอ

ตอนนี้ ทุกคนเริ่มสงสัย ว่าเหวินจ้งโกหกรึเปล่า

“อาจารย์ ดูเหมือนเจ้าเหวินจ้งจะโกหกพวกเรานะครับ ที่นี่ไม่มีวัดร้างตั้งแต่แรกแล้ว!” จู่ๆเฟิงเฉ่วหานก็พูดออกมา กำลังบอกว่าพวกเราเข้ามาติดกับดัก

นักพรตตู๋ อาจารย์ และเหล่าฉิน ต่างขมวดคิ้ว เผยสีหน้าที่หดหู่ออกมา

 

“เหมือนจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ที่นี่ไม่มีวัดร้างอะไรนั้นตั้งแต่แรกแล้ว พวกเราต้องถูกหลอกแน่!” นักพรตตู๋พูด

เมื่อได้ยินแบบนี้ ทุกคนก็รู้สึกเสียใจนิดหน่อย จึงคิดจะหาทางกลับที่พัก

เพราะตอนนี้ถึงพวกเราจะอยู่ที่นี่ต่อ ก็ไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว

แต่ตอนนั้นเอง จู่ๆผมก็มองเห็นแผ่นหินที่อยู่ห่างออกไป ด้านบนนั้นยังมีแมวป่าตัวอ้วนสีดำนอนอยู่ด้วย

ตอนที่ผมเห็นแมวดำตัวนั้น สติของผมก็หลุดทันที ผมเผยท่าทางตกตะลึงออกมา

เพราะแมวดำตัวนั้นคุ้นตามาก ถ้าผมเดาไม่ผิด แมวดำตัวนี้จะต้องเป็นตัวที่ไปทำให้ศพของคุณหนูเหวินเปลี่ยนไปแน่ จู่ๆแมวป่าเรียกศพตัวนั้นก็ปรากฎตัวขึ้น

 

ถ้าเป็นแบบนั้น เรื่องนี้มันก็ดูแปลกๆไปหน่อยนะ

บ้านของคุณหนูเหวินอยู่ห่างจากป่าช้านี้มาก นี่มันถึงผ่านไปไม่กี่วัน เจ้าแมวป่าตัวนี้กลับวิ่งมาอยู่ที่นี่เนี่ยนะ

เรื่องนี้มันผิดปกติชัดๆ เมื่อคิดถึงจุดนี้ ผมก็รีบตะโกนบอกเฟิงเฉว่หานทันที “เหล่าเฟิง นายมามองไปที่นั้นซิ!”

เฟิงเฉว่หานทำหน้าสงสัย เขาจึงมองไปตามนิ้วของผม

ทันใดนั้นเมื่อเขาได้เห็นภาพตรงหน้า ก็เผยสีหน้าที่ตกตะลึงออกมา “ใช่ ใช่แมวป่าตัวนั้น!”

“แมวป่าอะไร” อาจารย์ไม่เข้าใจ

ผมรีบอธิบาย “ก็คืนนั้นที่ศพของคุณหนูเหวินเปลี่ยนแปลง ก็เป็นเพราะแมวป่าตัวนั้นไปอยู่บนโลงแล้วร้องออกมาไงครับ!”

 

“แมวตัวนี้มาอยู่ที่นี่งั้นเหรอ มันจะต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่! เจ้าหมอผีกุ๋ยและผีชั่ว อาจอยู่ที่นี่ก็ได้ และเจ้าแมว เจ้าแมวตัวนี้ยังมีกลิ่นของศพแรงมาก มันต้องไม่ใช่แมวป่า แต่เป็นแมวศพที่คนเลี้ยงขึ้นมา” อาจารย์พูดออกมาอีกครั้ง

ผมเคยได้ยินเรื่องแมวศพมาเช่นกัน บอกว่าคือการนำเนื้อของศพมาให้แมวชนิดหนึ่งกิน

หลังจากเลี้ยงแมวชนิดนี้จนโต รูปร่างของมันจะใหญ่กว่าแมวธรรมดาถึงหนึ่งเท่า และยังมีนิสัยดุร้ายมากด้วย

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ แมวศพชนิดนี้จะมีพลังเยอะมาก จนเสียงร้องของมันดูดวิญญาณได้  มันสามารถทำให้คนช็อกจนเสียชีวิตได้เลยทีเดียว

 

“ใช่แล้ว มันคือแมวศพ เจ้าแมวศพตัวนี้มีพลังมหาศาลมาก มันจะต้องถูกคนเลี้ยงไว้แน่ ถ้าพวกเราตามมันไป! อาจหานายของเจ้าแมวศพตัวนี้เจอก็ได้!” นักพรตตู๋ก็พูดออกมาเช่นกัน

แต่เสียงพึ่งจางหาย ดูเหมือนเหล่าฉินจะค่อนข้างใจร้อน “ถ้าเป็นแบบนั้น แล้วจะรออะไรอยู่ละ!”

หลังจากพูดจบ เหล่าฉินก็หยิบก้อนหินขึ้นมาก้อนหนึ่งจากนั้นก็โยนใส่แมวดำทันที “ไอ้สัตว์เดรัจฉาน!”

เดิมทีแมวตัวนั้นนอนหลับตาอยู่บนแผ่นหิน ทันใดนั้นเหมือนมันจะรู้ถึงอันตรายที่กำลังมาถึง จึงลืมตาขึ้น และรีบกระโดด หลบหินก้อนนั้นได้อย่างฉิวเฉียด

ปากของมันยังร้อง “เมี๊ยว” ออกมา เสียงดังมาก มันเสียงหนามากและทุ้มมาก

ดวงตาที่เปล่งประกายของมัน หันมาจ้องพวกเรา ดูเหมือนมันจะไม่กลัวเลยสักนิด

 

“ไอ้สัตว์เดรัจฉาน ยังร้องอีกนะ!” เหล่าฉินยังพูดต่อ

ขณะที่พูด เอาก็หยิบหินขึ้นมาโยนอีก

หลังจากแมวตัวนั้นหลบได้สองสามครั้ง มันก็หมุนตัว และวิ่งหนีไปอีกทางหนึ่ง

เมื่ออาจารย์และนักพรตตู๋เห็นสิ่งนี้ พวกเราก็ตะโกนออกมาทันที “ตามไป!”

ขณะที่พูด พวกเราก็เริ่มวิ่งตามแมวป่าตัวนี้

เจ้าแมวป่าตัวนี้วิ่งเร็วมาก แต่ถึงอย่างนั้นตั้งแต่ต้นจนจบพวกเราก็ไม่คาดสายตาจากมันสักครั้ง

หลังจากนั้นประมาณ 5 นาที พวกเราก็เข้ามาสู่ทุ่งหญ้าหนาทึบแห่งหนึ่ง

หลังพวกเราวิ่งออกมาจากทุ่งหญ้า ทันใดนั้นก็พบว่า วัดเก่าๆที่หามาตั้งนาน กลับปรากฎขึ้นตรงหน้าของพวกเรา……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset