ศพ – ตอนที่ 460 สอบสวนคุณหวง

ตอนที่ 460 สอบสวนคุณหวง

คุณหวงเห็นพวกเราพูดถึง “ความลับ” ของเขาเลยอดไม่ได้ที่จะตื่นกลัว

ตามที่คุณโจวพูด คุณหวงน่าจะเข้ามาอยู่ในสํานักสื่อเย่เฉินได้ไม่นาน

และตอนเขาอยู่บ้านก็น่าจะพยายามปิดการกลายร่างเป็นปีศาจอย่างสุดฤทธิ์

ตอนนี้พอโดนคนแปลกหน้าอย่างพวกเราสองคนเปิดโปงต่อหน้า เขาก็รู้สึกหวาดระแวงพอสมควร

ขณะมองท่าทางประหม่าของเขา ผมก็ยังทําหน้านิ่งเหมือนเดิม “ไม่ต้องเครียดขนาดนั้นคุณหวง พวกเราเป็นนักพรตที่คุณโจวเป็นคนเชิญมา เราแค่อยากถามอะไรบางอย่างจากคุณเท่านั้น ! และอยากทําความเข้าใจกับการเปลี่ยนไปในปัจจุบันของคุณและที่อยู่ของสํานักสื่อเย่เฉินของ

คุณ”

“เมียฉันเชิญนักพรตมางั้นเหรอ ?” คุณหวงขมวดคิ้ว

“ใช่”

“ เชิญพวกแกมางั้นเหรอ ? ฉันมีอะไรเปลี่ยนไปละ ? ฉันสบายดีทุกอย่าง และสํานักสื่อเย่เฉนอะไรนั่น

แกคงดูหนังกําลังภายในมากไปละมั้ง ? ” เห็นได้ชัดว่าคุณหวงกําลังเล่นลิ้น ไม่อยากยอมรับ

แต่ผมกับอาจารย์กลับเริ่มเดินเข้าไปใกล้เขา “คุณหวง ทางที่ดีคุณหวงควรร่วมมือจะดีกว่า ! พวกเราไม่อยากทําร้ายคุณ”

“พวก พวกแก พวกแกคิดจะทําอะไร อย่า อย่าเข้ามานะ !” คุณหวงดูกลัวมาก แม้ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นปีศาจแล้วบางส่วน แต่พลังต่อสู้ก็งั้นๆ ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของผมกับอาจารย์ได้แน่นอน

ดังนั้น ผมกับอาจารย์เลยไม่เห็นผู้ชายคนนี้อยู่ในสายตาเลยสักนิด

“อย่า อย่าเข้ามา ถ้าเข้ามาอีก ฉันจะไม่เกรงใจแล้วนะ !” คุณหวงข่พวกเราต่อ

“โห ! ผมจะรอดูว่าคุณไม่เกรงใจยังไง” ผมพูดเบาๆ และเข้าไปใกล้เรื่อยๆ

แต่ทันใดนั้นเอง คุณหวงก็อ้าปากขึ้น เผยให้เห็นเขี้ยวด้านใน เขาคํารามออกมาทันที “โฮก”

ไม่ใช่แค่นั้น ขณะที่เสียงคํารามของเขาดังขึ้น เล็บตรงมือ ก็ตวัดมาที่คอของผม

เจ้าหมอนี่ดูดร้ายมาก แต่แท้จริงแล้วกลับเต็มไปด้วยช่องโหว่

วินาทีที่เขาตวัดเล็บมา ผมก็มองวิถีการโจมตีของคู่ต่อสู้ออก

ผมไม่ได้หลบแต่อย่างใด รีบพุ่งไปข้างหน้า แล้วจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้ทันที

จากนั้นบิดมือเจ้าหมอนี่ไปข้างหลัง แล้วกดเอาไว้

พออาจารย์เห็นแบบนั้น ก็รีบพุ่งเข้ามาช่วยทันที

“พวก พวกแกจะทําอะไร…..” คุณหวงพยายามดิ้น และตะโกนออกมาเสียงดังลั่น

ผมกลัวเจ้าหมอนี่จะทําให้ชาวบ้านแถวนี้แตกตื่น เลยฟาดไปที่ท้ายทอยของเจ้าหมอนหนึ่งครั้ง

ได้ยินเพียงเสียงร้องดัง “อ้า” จากนั้นเจ้าหมอนี่ก็ไม่ขยับตัวอีกเลย เขาสลบไปในทันที

ต่อจากนั้น ผมกับอาจารย์ก็รีบพาเจ้าหมอนขึ้นรถ

สถานที่แห่งนี้โล่งเกินไปไม่เหมาะจะใช้เป็นที่สอบสวน

ดังนั้น ผมเลยขับรถออกจากที่นี่อีกครั้ง

เพราะเดิมที่ที่นี่ก็อยู่ในเขตชานเมือง รอบๆจึงมีสถานที่รกร้างอยู่จํานวนมาก

ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงป่ารกๆริมถนนแห่งหนึ่ง

หลังจากนั้นผมกับอาจารย์ทําเหมือนลากหมาตายซาก ตรงเข้าไปในป่าผืนนั้น

เมื่ออยู่ที่นี่ เราไม่กลัวว่าเจ้าหมอนี่จะไม่ให้ความร่วมมือ จะทรมานเขายังไงก็ได้ และยังไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาเจอด้วย

คุณหวงยังไม่ตื่น ผมเลยเดินกลับไปที่รถแล้วหยิบน้ํามาขวดหนึ่ง จากนั้นก็สาดใส่หน้าเขาทันที

เมื่อคุณหวงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็พบว่าตัวเองมาอยู่ในสถานที่แปลกตา เลยอดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน

โดยเฉพาะเมื่อเห็นผมกับอาจารย์ เขาทําหน้าอย่างกับตัวเองเห็นผี ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“พวก พวกแก พวกแกคิดจะทําอะไร ?”

ขณะพูด คุณหวงยังขยับตัวถอยไปข้างหลัง

ผมไม่ได้ตอบกลับทันที แต่หยิบไฟแช็คออกมา “แก๊กๆๆ” ผมพยายามจุดบุหรี่ จากนั้นถึงพูดว่า

“ไม่ได้ทําอะไร ! แค่อยากถามคุณสองสามคําถาม”

“ถาม ? ถามอะไร ?” คุณหวงเองก็ไม่ได้เป็นเหมือนตอนแรก ที่กางกรงเล็บและแยกเขี้ยวออกมา

เพราะเขาพบว่าการกระทําพวกนั้นมันไร้ประโยชน์

“เอาแบบนี้แล้วกัน ! พูดมาก่อน ว่าคุณเข้าร่วมสํานักสื้อเย่เฉินอะไรนั่นตั้งแต่เมื่อไหร่ ? แล้ว เข้าไปได้ยังไง” ผมทําหน้านิ่ง

แต่หลังจากคําถามของผมดังขึ้น คุณหวงกลับดูอําๆอึ้งๆ ท่าทางเหมือนไม่อยากพูด

ท้ายที่สุดเขาก็พูดว่า “สา สํานักสื่อเย่เฉินอะไร ? ฉัน ฉันไม่รู้จักจริงๆ !”

ผมเห็นอีกฝ่ายปากแข็ง เลยกะจะทําให้เขาเห็นดีสักหน่อย เจ้าหมอนี่คงไม่ใจเด็ดจนไม่ยอมพูดหรอกมั้ง

ผมไม่ลังเล เตะไปที่ท้องของเขาทันที

“โอ๊ย !” คุณหวงร้อง พร้อมกับเอามือกุมท้อง

แต่ผมยังไม่หยุด “ไม่พูดใช่ไหมฮะ ! ไม่พูดใช่ไหม !”

ผมเตะคณหวงครั้งแล้วครั้งเล่า ความตั้งใจแรกของพวกเราคือช่วยคุณหวง แต่สุดท้ายหลังพบว่าเจ้าหมอนี่

เข้าร่วมสํานักชั่ว และยังกล้าปากแข็งขนาดนี้ งั้นสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปแล้ว

ในฐานะคนปราบภูติผีฝ่ายธรรมะ ถึงพวกเราจะฆ่าเจ้าหมอน คนที่ยอมตกต่ําเอง คุณหวงผู้ที่กลายเป็นสาวกของสํานักชั่ว พวกเราก็จะไม่ได้รับผลกรรมใดๆ

ดังนั้น ผมเลยลงมืออย่างไม่ปราณี

จนกระทั่งคุณหวงกระอักเลือดแล้ว ผมก็ยังไม่หยุด

พอเห็นว่าอัดไปก็ไร้ประโยชน์ ผมเลยดึงดาบไม้ออกมา แล้วเอาไปจ่อที่คอเขา “คุณหวง พวกเราเป็นคนที่เมียคุณเรียกมาช่วย ถึงมันจะเกินคาดมาก คิดไม่ถึงว่าคุณจะเป็นสาวกของสํานักชั่ว แต่ทางที่ดีที่สุดคุณควรคิดให้ดี ถ้าคุณไม่ยอมร่วมมือผมสามารถฆ่าคุณได้เดี๋ยวนี้เลย !”

เมื่อคุณหวงได้ยินคําพูดนี้ และเห็นดาบจ่ออยู่ที่คอตัวเอง เขาก็อาจจะเริ่มกลัวขึ้นมา หรือ แม้แต่มีเหงื่อออกเต็มหัว

เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อแขวนอยู่บนความเป็นความตาย สุดท้ายเขาก็พูดออกมา “อย่า อย่า ฆ่าฉัน ฉัน ฉันจะพูดแล้ว……”

“ดีมาก !” ผมเลยคลี่ยิ้มออกมาอีกครั้ง พร้อมกันนั้นก็เก็บดาบ

พอคุณหวงเห็นผมเก็บดาบ เขาก็หอบหายใจสองสามครั้ง จากนั้นถึงค่อยๆลกขึ้นนั่ง เผยแววตาค่อนข้างสับสน และเศร้าโศก

ท้ายที่สุดเขาก็ยืดตัวขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดด้วยน้ําเสียงที่ฟังดูเศร้าหน่อยๆ “ฉัน ฉันน่าจะเข้าสู่นักลื่อเย่เฉินได้สามเดือนกว่าๆ ที่จริงที่จริงฉันเองก็ไม่อยาก แต่นายรู้ไหม ?”

พอพูดถึงตรงนี้ คุณหวงก็เงยหน้ามามองผม ดวงตาของเขาแดงก่ํา “ฉันตกงาน ไม่มีงานทํา ที่บ้านแทบจะไม่มีข้าวกินแล้ว ฉันจําเป็นต้องหางานสักอย่าง ฉันต้องการเงิน และ และฉันก็ป่วย ฉันจะต้องตาย……”

ตอนนี้ น้ําเสียงของคุณหวงฟังดูสิ้นหวังมาก หรือแม้แต่มีน้ําตาคลอเบ้า

ผมมองอารมณ์ที่ขึ้นๆลงๆของเขา มันเปลี่ยนไปค่อนข้างเยอะ แต่ก็ไม่ได้ขัดจังหวะ เพียงฟังเขาพูดต่อไปอย่างเงียบๆ

หลังจากหยุดไปพักหนึ่ง คุณหวงก็เริ่มพูดอีกครั้ง “ แต่ฉันไม่กล้าเอาเรื่องนี้ไปบอกครอบครัวพ่อแม่ต้องการฉัน เมียต้องการฉัน ลูกๆก็ต้องการฉัน ฉันเลยปิดเอาไว้ ฉันไม่อาจล้มลงมาได้ และ ในตอนนั้นเอง

ฉันก็ได้โอกาสกลับไปสัมภาษณ์ใหม่ ที่บริษัทหมิงโลจิสติกส์……”

ต่อจากนั้น คุณหวงก็เล่าเรื่องที่เขาได้ไปสัมภาษณ์งานใหม่ และเรื่องต่อจากนั้น ให้เราฟังทั้งหมด

หลังฟังจบ ผมก็มีความรู้สึกแปลกๆ

หรือแม้แต่สงสัย ว่าการปรากฏตัวของพวกเรา เป็นสิ่งที่ไม่จําเป็นสําหรับคุณหวง และ ครอบครัวคุณโจวหรือเปล่า !

เพราะก้าวนี้ของคุณหวง ล้วนเกิดจากการบีบบังคับของชะตาชีวิต และภาระอันหนักอึ้งที่แบกเอาไว้

คุณหวงบอกเราว่า หลังเขาเข้ามาทํางานที่บริษัทหมิงโลจิสติกส์อย่างมีความสุขแล้ว

เขากลับพบว่าที่นี่ไม่ใช่บริษัทขนส่งใดๆ แต่เป็นองค์กรของลัทธิลัทธิหนึ่ง

อีกฝ่ายให้คุณหวงเข้าร่วมกับพวกเขา และไม่ละทิ้งความเชื่อตลอดไป

เดิมที่คุณหวงอยากจะปฏิเสธ แต่คนสัมภาษณ์กลับพูดตรงๆ ถามเขาสองคําถามคือ อยากมีชีวิตอยู่ต่อไหม ?อยากเปลี่ยนชีวิตในปัจจุบันไหม ? ทําให้ครอบครัวมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเดิม

เป็นสองคําถามที่ง่ายมากและธรรมดามาก แต่มันกลับทําให้คุณหวงไม่อาจปฏิเสธได้ทันที

หรือแม้แต่ทําให้คุณหวงต้องยอมทิ้งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เข้าสํานักนี้อย่างช่วยไม่ได้ยอม เป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่ใช่ทั้งคนและปีศาจ ทําตามทุกอย่าง……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset