ศพ – ตอนที่ 461 คุณหวงเลือก

ตอนที่ 461 คุณหวงเลือก

เหมือนคนสัมภาษณ์จะรู้เรื่องของคุณหวง รู้ว่าเขาป่วย รู้ว่าบ้านเขายากจน

เพียงคําถามธรรมดาสองคําถาม ข้อแรกคือไม่อยากมีชีวิตต่อเหรอ ข้อสอง คือไม่อยากให้ครอบครัวมีชีวิตที่ดีขึ้นเหรอ

สําหรับคุณหวง เขาอยากมีชีวิตอยู่ยิ่งกว่าอะไรดี

ในร่างกายของเขามีเนื้องอก ไม่ตายในเวลาอันสั้น แต่หลังจากสามปีห้าปีต่อจากนั้น มันก็พูดยากแล้ว

ในสายตาของคุณหวง ถ้าเขาตาย ครอบครัวของเขาก็จะจบตามไปด้วย คุณหวงเองก็ไม่อยากจากครอบครัวไป

สําหรับเรื่องนี้ คุณหวงไม่มีทางบอกปัดค่าถามข้อแรกได้เลย

ส่วนข้อสอง อยากมีชีวิตดีขึ้นไหม

ในส่วนนี้ คุณหวงไม่เคยยอมแพ้มาก่อน เขาพยายามทํางานหนัก ทุกข์ทรมานอยู่ในเมืองเรื่อยมา

น่าเสียดายโชคไม่ได้เข้าข้างทุกคน แม้ว่าบางครั้งจะทํางานหนัก แต่ก็ไม่อาจได้รับรางวัลทุกครั้ง

หรือแม้แต่อาจยิ่งแย่ลงด้วยซ้ํา

ดังนั้น คุณหวงจึงหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดกับคนสัมภาษณ์คนนั้นว่า เขาคิดว่า เขาเลือกตกลง

ต่อจากนั้น คนสัมภาษณ์คนนั้นก็หยิบยาเม็ดสีแดงออกมา

และบอกกับคุณหวงว่า ขอแค่กินยาเม็ดนี้เข้าไป ร่างกายของเขาก็จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง

แต่มันจะทําให้เขาหลุดพ้นจากโรคร้าย ไม่ต้องตาย มีชีวิตอยู่ต่อได้อย่างแข็งแรง

เงื่อนไขแรกคือเขาต้องกินเป็นประจํา ถ้าหยุดกิน จะเจ็บปวดทรมานมาก กลายเป็นสัตว์ร้ายไร้สติปัญญา หรือแม้แต่ทําให้ร่างกายระเบิดออกเป็นชิ้นๆ

จากนั้น คนสัมภาษณ์คนนั้นยังหยิบเงินออกมาจํานวนหนึ่ง มันเป็นเงินมากกว่าหนึ่งหมื่น

บอกว่าขอแค่คุณหวงตอบตกลง เขาจะได้เงินจํานวนเท่านี้ทุกเดือน

คุณหวงทํางานหนักมานานขนาดนี้ ในแต่ละเดือนกลับได้เงินเดือนแค่ 4,000 หยวน

เงินเดือนที่สูงแบบนี้ และยังมีความเย้ายวนในการเป็นอมตะ คุณหวงไม่มีเหตุผลใดๆจะปฏิเสธ แม้แต่นิดเดียวก็ไม่มี

เรื่องก็เป็นแบบนี้ หลังคุณหวงกินยาเม็ดนั้นแล้ว และรับเงินก้อนนั้นมาแล้ว เขาก็ทิ้งวันเดือนปีเกิด

และยังมีเลือดสดๆกับผมไว้บางส่วน

คุณหวงไม่รู้ว่าพวกเขาเอาไปทําอะไร แต่เขาก็ยังทําตาม

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ชีวิตของคุณหวงก็เริ่มเปลี่ยนไป

เขามีงานที่ได้ค่าตอบแทนสูง ชีวิตของครอบครัวก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ

ลูกทั้งสองคนสามารถเข้าโรงเรียนอนุบาลได้อย่างราบรื่น ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเล่าเรียนระดับอนุบาลของแต่ละเดือนแล้ว

พ่อแม่ต้องใช้เงินซื้อยา เมียของเขาเองก็ต้องมีเงินสํารองไว้ซื้อเสื้อผ้าใหม่สักสองชุด

หรือแม้แต่ พวกเขาวางแผนอีกสองสามปีข้างหน้า พวกเขาอาจจะจ่ายเงินดาวน์ซื้อบ้านหลังเล็กๆในเขตตัวเมือง

แม้สภาพชีวิตของคุณหวงจะดีขึ้น แต่เขากลับพบว่า ร่างกายของตัวเองค่อยๆเปลี่ยนไปทีละนิด

เปลี่ยนเป็นสภาพคล้ายสัตว์

เขี้ยวและเล็บเริ่มยาว ร่างกายเริ่มมีขนสัตว์ออกมา

ตัวเขาเองรู้ดีแก่ใจ ในสํานักสื่อเย่เฉิน เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ

หลังทุกคนกินยาที่ทําให้เปลี่ยนเป็นปีศาจตนต่างๆแล้ว ร่างกายของพวกเขาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสัตว์ชนิดต่างๆ

คุณหวงกินยาปีศาจหนูเข้าไป ร่างที่เปลี่ยนไปของเขาเลยเป็นหนู

การเปลี่ยนแปลงทั้งสามขั้น ทําให้คนปกติคนหนึ่ง ค่อยๆเปลี่ยนเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์ เป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่ใช่คนและปีศาจ

แต่เพื่อมีชีวิตรอดต่อไป เพื่อลูกเมียและพ่อแม่ คุณหวงจึงยอมแบกรับการเปลี่ยนแปลงนี้

หลังจากพูดถึงตรงนี้ คุณหวงก็ค่อยๆยกมือตัวเองขึ้น และควบคุมการเจริญเติบโตของขนและเล็บ

“ นายคิดว่าฉันอยากเปลี่ยนเป็นแบบนี้เหรอ ? ไม่ใช่ทั้งคนและปีศาจ ฉันอยากเป็นหรือไง ? ฉันไม่อยาก

ฉันต้องเสียเวลาโกนขนสัตว์ ตัดเล็บพวกนั้นทุกวัน เพราะฉันไม่อยากให้ครอบครัวเห็นฉันในสภาพนั้น”

“แต่ผมฉันมีทางเลือกเหรอ ? ไม่มี ฉันไม่อยากตาย ฉันตายแล้วครอบครัวก็จะพังทลาย พ่อแม่ของฉันจะทํายังไง ? เมียฉันจะเป็นยังไง ? แล้วยังลูก
อีกสองคนของฉันอีก ฉันต้องเลือกได้แต่เลือกเข้าสํานักสื่อเย่เฉิน กลายเป็นคนในสํานัก เปลี่ยนตัวเองเป็นปีศาจทํางานให้พวกเขา….”

พอพูดถึงตรงนี้ คุณหวงก็ได้ร้องไห้ออกมา

ผมเองก็รับรู้ได้ แม้ผมจะไม่มีพ่อแม่หรือลูก แต่จากคําพูดและท่าทีของอีกฝ่าย ผมสัมผัสได้ถึงภาระและความรับผิดชอบอันหนักอึ้งบนบ่า และความห่วงใยที่ไม่อยากจากครอบครัวไปของอีกฝ่าย

เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป คุณหวงทําทุกอย่างเพื่อครอบครัวของเขา

ระหว่างนั้น ผมรู้สึกแปลกๆ คิดว่าควรปล่อยคุณหวงไปหรือเปล่า

ถ้าเราฝืนเข้าไปแทรก ถึงตอนนั้นคุณหวงอาจไม่ได้รับยาเป็นประจํา ล้มเหลวในการกลายร่าง และสุดท้ายก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่ขาดสติหรือแม้กระทั่งตาย

พอถึงเวลานั้น คนแก่และเด็กในบ้านของเขาจะทํายังไง ?

ในขณะที่ผมกําลังไม่สบายใจ ไม่รู้ควรพูดอะไรออกมาดี ทันใดนั้นเองจู่ๆอาจารย์ก็ยืนขึ้น

จากนั้นก็พูดกับคุณหวงว่า “คุณหวง ข้าเห็นใจกับสิ่งที่คุณต้องเผชิญนะ แต่ก็ไม่ได้สงสารคุณ และก็ไม่ได้ว่าการที่คุณทําแบบนี้ จะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และข้าเชื่อว่าบนโลกนี้ไม่มีของฟรี”

เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น คุณหวงก็ถอนหายใจออกมายาวๆ “ใช่ พอเข้าสํานักสื่อเย่เฉินแล้ว ฉันทําเรื่องที่ตัวเองไม่อยากทําตั้งมากมาย เช่น ฆ่าคน”

พอพูดมาถึงตรงนี้ คุณหวงก็มองที่มือตัวเอง “ไม่ถึงสามเดือน ฉันก็จบชีวิตคนอื่นด้วยมือตัวเองไปแล้วถึงสามคน

“ทําไมคุณต้องฆ่าพวกเขาด้วย เอาไปปรุงยาเหรอ ?” ผมขมวดคิ้ว พูดขึ้นมาตรงๆ

แต่เสียงเพิ่งเงียบลง คุณหวงกลับหันมามองหน้าผมทันที “นาย นายรู้ได้ยังไง ?”

“ผมไม่ได้แค่รู้ แต่ยังรู้ว่าวัตถุดิบที่ใช้คือคนเป็นๆด้วย ต้องใช้คนที่เกิดปีหยินเดือนหยิน” ผมพูดต่อ

พอคุณหวงได้ยินคําพูดนี้ เขาก็นึกถึงเรื่องในคืนนี้ได้ในทันที จากนั้นก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา

“หรือ หรือว่า หรือว่าคนที่คนที่บุกรุกในคืนนี้ ก็ ก็คือพวกนาย ?”

คุณหวงค่อนข้างตกใจ แต่ผมกลับตอบตามตรง “เป็นพวกเราจริงๆนั่นแหละ แต่โอสถโลหิต ศพที่พวกคุณปรุงขึ้นมา มีประโยชน์อะไรกันแน่ ? และยังมีเรื่องบ้านเหมียวหนานเหยียนอีก มันเกิดอะไรขึ้น ?”

คุณหวงเผยแววตาตกใจและสงสัย พอได้ยินผมถามแบบนั้น เขากลับส่ายหัว “ ตําแหน่งของฉันไม่สูงพอ และไม่แน่ใจด้วย รู้แค่ว่าสํานักของพวกเขายิ่งใหญ่มาก อยากจะเป็นใหญ่ในใต้หล้า แต่ต้องใช้โอสถโลหิตศพนี้กับการร่วมมือของตระกลูเหยียน จากนั้นต้องไปสู้กับองค์กรที่ชื่อองค์กรตาผี นอกเหนือจากนั้น

ฉันเองก็ไม่รู้แล้ว ”

จากท่าทางของคุณหวง เหมือนเขาจะไม่ได้พูดโกหก

ผมและอาจารย์หันมามองตากัน จากนั้นก็ได้ยินเสียงอาจารย์ถามขึ้นมาอีกครั้ง “คุณหวง หลงทางแล้วยังรู้จักกลับตัว เส้นทางนี้ไม่มีวันหวนกลับ ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป คุณจะยิ่งเดินไกลออกไปเรื่อยๆ ยิ่งดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ ถ้าคุณยินดี ข้าสามารถหาวิธี ขับพลังปีศาจในตัวคุณได้ ทําให้คุณกลับมาเป็นคนเหมือนเดิม”

คุณหวงยิ้มอย่างขมขึ้น “ท่านนักพรต ตอนนี้กลับใจทันด้วยเหรอ ? ตอนนี้นอกจากผมแล้ว ผมยังให้แม่กินยานั่นเข้าไป แบบนี้แม่ผมก็จะกลับมาเดินได้อีกครั้ง ไม่ต้องนอนอยู่บนเตียงตลอดชีวิต”

“ถ้าออกจากสํานักสื่อเย่เฉิน ไม่เพียงต้องตาย แต่แม่ผมก็ต้องตายด้วย สุดท้ายครอบครัวของผมก็จะแตกสลาย ใช่แล้ว ตอนนี้ผมยังมีทางเลือกอยู่เหรอ ? ผมมีเพียงทางเลือกที่ด่ามืดเท่านั้น…”

พอพูดถึงประโยคสุดท้าย ท่าทีของคุณหวง ก็ดูเคร่งขรึมขึ้นมาพอสมควร หรือแม้แต่มีคําว่าแน่วแน่เขียนไว้ที่ดวงตาทั้งสองข้าง

เมื่ออาจารย์เห็นอีกฝ่ายเป็นแบบนี้ ก็ทําเสียงเย็นชาขึ้นมาพอสมควร “คุณหวง ถ้าคุณมั่นใจแบบนั้น งั้นข้าก็ได้แต่ทําคุณแทนสวรรค์เท่านั้น”

พอพูดถึงตรงนี้ อาจารย์ก็ปล่อยจิตสังหารออกมา

แม้เรื่องของคุณหวงจะน่าเศร้ามาก ทําให้ผมรู้สึกเห็นใจ แต่ผิดก็คือผิด ไม่มีเหตุผลใดๆทั้งสิ้น

แต่เมื่อคุณหวงได้ยินคําพูดนี้ เขากลับหัวเราะ “ฮ่าๆๆ” “ตอนนี้ท่านนักพรตคิดจะฆ่าผมเหรอ ? มันสายไปแล้ว”

“สายไป ? ข้าไม่คิดอย่างงั้นนะ !” อาจารย์พูดเบาๆ

แต่ทันใดนั้นเองคุณหวงกลับทําตัวสงบลง ต่างจากผู้ชายที่มีน้ําตาไหลอาบหน้า สีหน้าน่าสงสาร

เขากลายเป็นคนละคน

เขาจ้องผมกับอาจารย์ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ท่านหัวหน้าใหญ่ ออกมาเถอะ !”

หลังจากพูดจบ คุณหวงก็รีบถอยไปข้างหลัง เว้นระยะห่างจากพวกเราทันที

ในเวลาเดียวกัน ป่ารอบๆที่มืดมิดและเงียบสงบ กลับมีสายลมแปลกๆปรากฏขึ้น

ต่อจากนั้น เสียงคํารามของบางอย่างก็ดังขึ้นท่ามกลางค่ําคืนอันมืดมิด

ยังไม่รอให้ผมและอาจารย์หันไปมอง เราก็เห็นเงาดํานับสิบปรากฏขึ้นกลางอากาศ พวกนั้นรีบพุ่งออกมาจากความมืด แล้วเข้ามาล้อมรอบผมกับอาจารย์เอาไว้……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset