ศพ – ตอนที่ 464 ตะลึง

ตอนที่ 464 ตะลึง

สาวกสํานักสื่อเย่เฉินช็อกเป็นที่เรียบร้อย พวกเขาเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายมีพลังเหนือกว่า เห็นแล้วว่าพลังของตัวเองไม่อาจเทียบหรือแม้แต่คิดจะเอาชนะได้เลย

ระหว่างยกมือ ก็ฆ่าตายไปหลายสิบคนแล้ว

แต่ละคนเลยรู้สึกเหมือนเห็นภาพหลอน ไม่รู้ว่าเรื่องตรงหน้าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า

แต่หลังจากพวกเขาได้สติแล้ว ทุกคนก็ตัวสันในทันที

นี่จะยังสู้ต่อได้งั้นเหรอ ? แค่พริบตาเดียวก็ฆ่าไปถึงหลายสิบคน แถมยังแค่ยกมือ ถ้าลงมือจริงๆ พวกเขาจะยังสู้ได้กับผนะซิ

ในใจของแต่ละคนมีความหวาดกลัวเกิดขึ้น ระหว่างนั้นไม่มีใครกล้าเดินมาข้างหน้า หรือแม้แต่ถอยหลังตามสัญชาตญาณ

“นี่ นี่…”

“แข็ง แข็งแกร่งมาก……”

ทุกคนตาโต มองมาทางพวกเราด้วยสีหน้าหวาดกลัว

ผมละไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง นี่ถึงจะเป็นความแตกต่างที่แท้จริง

เมื่อกี้พวกเรายังโดนรุมอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบแล้ว

ตอนนี้ ไม่มีใครกล้าเข้ามา เนื่องจากแตกต่างกันเกินไป ไม่มีโอกาสที่พวกเขาจะชนะได้เลยสักนิด

ถ้ายังเข้ามาอีก งั้นก็เป็นการรนหาที่ตายของจริงแล้ว

นอกจากความแข็งแกร่งของนางพญา จะทําให้สาวกสํานักสื่อเย่เฉินทุกคนช็อกแล้ว

สิ่งที่ทําให้ผมคิดไม่ถึงที่สุด คือฉากต่อไปนี้

ไฝดําที่ผมหยุดกระตุ้นไปก่อนหน้านี้ กลับไม่รู้เริ่มทํางานเองตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนนี้มันกลายร่างเป็นรูปปลาหยินหยางแล้ว

และในเวลาเดียวกันนั้น ก็มีพลังหยินระเบิดออกมา

ในช่วงที่พลังหยินปรากฏขึ้น ร่างสีขาวของใครบางคนก็ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน ความหนาวเย็นจนเข้ากระดูกก็เริ่มแพร่ไปรอบๆ

พอพวกสาวกสํานักสื่อเย่เฉินรับรู้ได้ถึงสิ่งนี้ ก็ทําหน้าหวาดกลัวขึ้นมาอีกครั้ง และอดไม่ได้ที่จะหันไปมองรอบๆ

“หนาว หนาวมาก !”

“เกิด เกิดอะไรขึ้น หิมะจะตกแล้วเหรอ ?”

ผมที่มองอยู่ ก็ตกใจสุดๆเช่นกัน

ขั้นตอนนี้ พลังแบบนี้

มัน มันคือ มันคือตอนที่มู่หลงเหยียนออกมาน

เห็นอยู่ชัดๆว่าผมไม่ได้เปิดใช้งานไฝดําสองเม็ดนั้นแล้ว แต่มู่หลงเหยียนจะออกมาได้อีกงั้นเหรอ ?

ในขณะที่ผมกําลังตกใจ ร่างนั้นก็รวมตัวเสร็จแล้ว

มู่หลงเหยียนเป็นเธอ เธอยังสวย ราวกับนางฟ้า สาวงามล่มเมืองเหมือนเดิม ทําให้คนที่เห็นลืมทุกอย่าง

ผมจะตะโกนเรียกมู่หลงเหยียนตามสัญชาตญาณหนึ่งรอบ แต่กลับพบว่าร่างกายไม่ทําตามที่ผมสั่ง

ไม่อาจส่งเสียงได้เลยสักนิด

หลังมู่หลงเหยียนออกมาปรากฏตัว เธอก็หันมามองแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองอาจารย์ที่กําลังหอบหายใจอยู่ “อาจารย์ ไอ้สถุลพวกนี้มันทําร้ายอาจารย์เหรอ ?”

อาจารย์จมู่หลงเหยียนได้ เลยพยักหน้าให้เบาๆ

ผลลัพธ์พออาจารย์พยักหน้า มู่หลงเหยียนก็หัวร้อนขึ้นมาทันที เธอหันหน้ามาอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้นเอง ลมกระโชกแรงอันหนาวเหน็บ ก็พัดผ่านเส้นผมมู่หลงเหยียน และใบไม้ที่อยู่รอบๆ

และแล้วผู้รอดชีวิตอีกสิบคนที่อยู่รอบๆ ก็โดนยึดร่างให้อยู่กับที่ ไม่อาจขยับตัวได้ง่ายๆ

ไม่ใช่แค่นั้น มู่หลงเหยียนก็ลงมือในวินาทีนี้เช่นกัน

เธอระเบิดพลังหยินที่รุนแรงออกมา เหมือนระลอกคลื่น ทันใดนั้นคนที่เหลืออีกสิบคนก็รู้สึกเจ็บท้อง

จนกระอักเลือดออกมา แล้วแยกย้ายล้มลงไปกับพื้น หลังกระตุกประมาณสองครั้ง พวกเขาแต่ละคนก็ไม่ขยับอีกเลย

เพราะนางพญาและมู่หลงเหยียนปรากฏตัว วิกฤตตรงหน้าเลยโดนการาบทันที

นี่ก็คือความแข็งแกร่ง นี่ก็คือความทรงพลัง

และในตอนนี้เองนางพญาก็พูดกับผมว่า “จินถง เหยียนเอ่อร์มาแล้ว งั้นขากลับเลยแล้วกัน ไม่อย่างงั้นจะกินพลังเจ้ามากเกินไป”

พอได้ยินนางพญาพูดแบบนั้น ผมก็ตอบกลับด้วยถ้อยคําที่ฟังดูเคารพสุดๆ “น้อมส่งนางพญา

ขณะที่ผมพูด นางพญาก็พูดกับมู่หลงเหยียนและอาจารย์ของผมอีกครั้ง “ ท่านนักพรตติง เหยียนเอ๋อร์

จบเรื่องแล้ว ขากลับก่อนนะ ! ”

อาจารย์ทํามือคํานับนางพญา ส่วนมู่หลงเหยียนกลับพูดกับนางพญาว่า “เซียนจิ้งจอก ท่านกลับไปรอก่อนนะ เดี๋ยวข้าก็กลับไปแล้ว !”

พอนางพญาได้ยินมู่หลงเหยียนพูดแบบนั้น เธอก็พยักหน้าเบาๆ ต่อจากนั้นผมก็รู้สึกว่าพลังในร่างหายไป

แล้วเสี้ยววินาทีต่อมา ผมก็รู้สึกว่าร่างกายไม่มีแรงเหลือเลย เหมือนกับพลังในร่างโดดดูดไปหมด

ผมเลยล้มตัวลงพื้นทันที

นี่คือผลที่ตามมาหลังนางพญาสถิตร่าง แต่เพราะคราวนี้เธอไม่ได้อยู่นาน ผลที่ตามมาเลยไม่ร้ายแรงมากนัก

พอมู่หลงเหยียนและอาจารย์เห็นภาพนี้ ก็รีบเข้ามาประคองผมเอาไว้ทันที

ต่อจากนั้นผมก็ค่อยๆกลับมาควบคุมร่างตัวเองได้อีกครั้ง ผมเลยยิ้มให้มู่หลงเหยียนทันที

“น้อง น้องศพ เธอมาได้ยังไง ?”

พอมู่หลงเหยียนได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็มองผมด้วยสายตาเย็นชาทันที “ยังต้องพูดอีกเหรอยะ ! เมื่อกฉันสัมผัสได้ถึงวงเวทย์ แต่จู่ๆนายก็ตัดไปดื้อๆ ทําให้ฉันต้องใช้วิธีของตัวเองมาที่นี่ และ ตอนนั้นพี่เซียนจิ้งจอกก็อยู่ที่นั้น ขนาดพี่เซียนจิ้งจอกยังมาแล้ว แล้วนายว่าฉันจะไม่มาดูบ้างหรือไง ?”

พอได้ยินถึงตรงนี้ ผมก็ไล่ถามต่อทันที “เธอหายดีแล้วเหรอ ?”

มู่หลงเหยียนกลับขมวดคิ้ว “หรือว่าที่นายตัดเวทย์เมื่อครู่ดื้อๆ เพราะกังวลเรื่องอาการบาดเจ็บของฉันเหรอ ?”

ผมยิ้มอ่อน ถือเป็นการเงียบยอมรับ

มู่หลงเหยียนกระพริบตา หรือค่อนข้างซาบซึ้ง “งี่เง่าเอ๊ย ถ้าพี่เซียนจิ้งจอกไม่อยู่ และอีกฝ่ายร้ายกาจมากละ ?จะทํายังไง นายกับอาจารย์จะตายเอานะ”

“ตอน ตอนนี้ก็ไม่เป็นไรแล้วไม่ใช่เหรอ !” ผมพูดด้วยรอยยิ้ม

อาจารย์เองก็ไอออกมาสองครั้ง เหมือนเขาจะกระอักกระอ่วนที่อยู่ข้างๆพวกเรา โชคดีที่เขาก้าวออกไปทางด้านหนึ่งโดยไม่พูดอะไรออกมา

ในเวลาเดียวกัน ร่างกายผมเองก็ฟื้นกลับมาพอสมควร ผมเลยเริ่มกลับมายืนได้เองอีกครั้ง

มู่หลงเหยียนกลอกตาให้ผม แล้วพูดออกมาอีกรอบ “ ฉันเพิ่งเลิกเก็บตัวเมื่อวาน แต่คนพวกนี้คือใคร ?

ทําไมถึงเป็นครึ่งคนปีศาจ ? ”

พอได้ยินมู่หลงเหยียนพูดแบบนั้น ผมก็ทําตัวเคร่งขรึมขึ้นมา “ คนพวกนี้เป็นสาวกของสํานักลือเย่เฉิน

กินยาที่ทําให้กลายร่างเป็นปีศาจเข้าไป ทําให้ตัวเองกลายเป็นครึ่งคนครึ่งปีศาจ ”

“สานักลือเย่เฉิน” มู่หลงเหยียนทําท่าสงสัย

มันชัดเจน มู่หลงเหยียนเองก็ไม่เคยได้ยินชื่อสานักนี้มาก่อน

ส่วนผมกลับรีบเล่าเรื่องที่ผมรู้และข้อมูลที่มีทั้งหมดให้มู่หลงเหยียนฟังทันที พอมู่หลงเหยียนได้ยินว่าสํานักนี้จะสู้กับองค์กรตาผี เธอก็อดเผยสีหน้าตกใจออกมาเล็กน้อยไม่ได้

แต่ผมกลับพูดว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องดีเหรอ ? ตาผีกับเจ้าสํานักสื่อเย่เฉินนั้น ไม่มีอันดีสักอัน ให้เสือสองตัวสู้กันเอง พวกเราก็จะได้รอรับผลประโยชน์ไง !”

มู่หลงเหยียนพยักหน้าเบาๆ “ถือกลับไปแล้ว ฉันจะให้คนไปสืบเรื่องพวกเขา !”

เสียงของมู่หลงเหยียนเพิ่งเงียบลง เสียงไอสองสามครั้งก็ดังขึ้นจากที่ห่างออกไป

“แคกๆๆ !”

เมื่อได้ยินเสียงนี้ พวกเราก็หันไปมองทันที

“ยังไม่ตายงั้นเหรอ !” มู่หลงเหยียนพูดอย่างเย็นชา และจะลงมือทันที

แต่ผมกับอาจารย์กลับเห็นว่าคนที่กําลังไออยู่คือคุณหวง

อาจารย์รีบพูดขึ้นมาทันที “ช้าก่อน”

“ทําไมละอาจารย์ ?” มู่หลงเหยียนไม่เข้าใจ

ผมกลับอธิบายอยู่ข้างๆเธอ “เป็นแบบนี้ เมียของชายคนนี้เชิญพวกเรามาช่วยเขา แต่เราดันไปเจอกับสํานักสื่อเย่เฉินนี่เข้า”

พอพูดมาถึงตรงนี้ ผมก็เดินตามอาจารย์ และพามู่หลงเหยียนมาหาคุณหวง

ตอนพวกเรามาถึงตรงหน้าคุณหวง เราพบว่ามุมปากของคุณหวงมีคราบเลือดติดอยู่ และ สภาพเหมือนคนกําลังจะตาย

เขาจ้องพวกเรา “ตอน ตอนนี้ จะ จะฆ่าฉันแล้วซินะ ?”

ผมเห็นท่าทางที่ใกล้หมดลมหายใจของเขา ที่จริงไม่ต้องทําอะไร เจ้าหมอนี่ก็โดนพลังหยินของมู่หลงเหยียนทําให้บาดเจ็บสาหัสแล้ว และก็คงรอดไม่ถึงพรุ่งนี้เช้า

ดังนั้น ผมเลยไม่ได้พูดอะไร

เพียงแต่อาจารย์ที่อยู่ข้างๆกลับถามว่า “คุณหวง ข้าเคยบอกว่า เราเห็นใจคุณแต่ไม่ได้สงสารคุณ ตอนนี้มาถึงขั้นนี้แล้ว คุณเสียใจไหม ? เสียใจที่ฆ่าคนพวกนั้น แล้วเอาชีวิตคนมาหลอมยา”

พอคุณหวงได้ยินถึงตรงนี้ เขากลับหัวเราะออกมา “ฮ่าๆๆๆ เสีย เสียใจงั้นเหรอ ? ฉัน ฉันมีทางเลือกด้วยเหรอ ? ฉันไม่มีทางเลือก ฉันโดนบังคับทั้งนั้น….”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset