ศพ – ตอนที่ 466 ตายคู่

ตอนที่ 466 ตายคู่

จู่ๆก็มีหนอนโผล่ออกมาจากศพฉากนี้เป็นอะไรที่แปลกมาก

คุณโจวเองก็ตกใจตอนแรกเธอยังไล่ตีหนอนพวกนั้นอยู่

ผลลัพธ์พวกมันกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆผ่านไปไม่นานบนร่างของคุณหวง ก็เต็มไปด้วยหนอน

ฉากนี้ทําให้คุณโจวตกใจจนทําอะไรไม่ถูก ส่วนพวกเราก็ดึงตัวคุณโจวออกมาทางด้านหนึ่งป้องกันไม่ให้เธอเข้าไปแตะหนอนกินเนื้อศพพิเศษพวกนี้

ในเวลาเดียวกัน คุณโจวก็ถามเราว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ส่วนพวกเรา ก็เลือกเล่าเรื่องบางอย่างตอนคุณหวงยังมีชีวิตให้คุณโจวฟัง

สําหรับเรื่องที่สามีเธอมีเนื้องอก แต่ก็ทําเพื่อพวกเธอ และได้เข้าร่วมกับสํานักเฉินที่ทําให้คนกลายเป็นปีศาจด้วยความเต็มใจช่วยคนเลวทําชั่ว พวกเราไม่ได้พูดออกมา

เพียงเล่าสั้นๆเท่านั้น เราบอกคุณหวงโดนวิญญาณปีศาจสิงร่าง ดังนั้นถึงได้เปลี่ยนเป็นครึ่งคนครึ่งปีศาจแบบนี้

ตอนนี้ปีศาจโดนพวกเรากําจัดไปแล้วแต่โชคไม่ดีระหว่างนั้น ดันเกิดอุบัติเหตุขึ้น

เป็นเพราะร่างกายของคุณหวงเป็นครึ่งคนครึ่งปีศาจจนไม่อาจเปลี่ยนได้แล้ว และรวมกับสถานการณ์ที่ไม่ชัดเจนอื่นๆ ทําให้หลังตายแล้วเลยมีหนอนออกมาเร็วกว่าปกติ หลังจากนั้นเลือดและเนื้อของเขาก็จะโดน

ดูดกลืมจนหมด

ถึงจะเอาเรื่องนี้ไปแจ้งตํารวจ มันก็ไม่ได้มีประโยชน์ขึ้นมา

อีกอย่างหากตํารวจมาถึงแล้ว ที่นี่ก็เหลือแต่เพียงเศษซากกระดูกเท่านั้น

เมื่อเป็นแบบนี้ มันก็จะพลอยแต่เป็นการหาเรื่องให้ตัวเองเท่านั้น

พอคุณโจวฟังถึงตรงนี้ เธอก็หันไปมองสามีตัวเองที่กลายเป็นไม่ใช่ทั้งคนและปีศาจอีกครั้งบนตัวเขายังมีหนอนคืบคลานอยู่เต็มไปหมด เธอเลยได้แต่กอดลูกทั้งสองแล้วร้องไห้เงียบๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความจนปัญญา

ผมกับอาจารย์ก็ไม่ได้จากไปไหนเรายังอยู่ช่วยคุณโจวจัดการเรื่องงานศพต่อ

ในเวลาเดียวกันก็ให้มู่หลงเหยียนดู ว่าทํายังไงถึงจะแก้ปัญหาเรื่องหางที่งอกออกมาของยายแก่คนนั้นได้

ส่วนยายคนนั้นตอนนี้กําลังอยู่ในขั้นตอนกลายร่าง ง่วงนอนง่ายมาก แม้ข้างนอกจะมีเสียงดังขนาดนั้น

แต่ก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา

นอกจากหางแล้ว ตอนนี้บนใบหน้าของเธอยังมีขนงอกออกมา

มู่หลงเหยียนมองมันสองสามครั้ง ใช้มือสัมผัสพักหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ “ฉันสัมผัสได้แค่ว่าในร่างกายของเธอมีก้อนพลังปีศาจอยู่ แต่ถ้าคิดจะย้ายหรือกําจัดมันคงทําได้ยากมาก”

มู่หลงเหยียนพูดด้วยน้ําเสียงที่ค่อนข้างสิ้นหวัง ส่วนผมและอาจารย์ ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ และ ไม่เข้าใจว่าควรทํายังไงต่อดี

ผลลัพธ์ทันใดนั้นเอง ยายคนนั้นกลับลืมตาขึ้น และกรีดร้อง “อร้าย” ออกมา พร้อมกันนั้นยังลุกขึ้นมานั่งทันที

จู่ๆเธอก็เคลื่อนไหว พวกเราเลยตกใจกันทันที

พอคุณโจวที่อยู่ข้างๆเห็นแบบนั้น ก็พูดขึ้นมาทันที “แม่ แม่ลุกนั่งเองได้แล้วเหรอ ?”

ผลลัพธ์คณโจวยังไม่ทันได้ดีใจ ร่างกายของยายคนนั้นก็เริ่มสั่นอย่างบ้าคลั่งปากร้อง “อร้าย…..”

ด้วยความทรมานออกมาไม่หยุด จากนั้นก็ทรุดลงนอนไปอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันก็ดิ้น ทุรนทุรายไปมา

“เสียว เสี่ยวโจวแม่ แม่ทรมานมากเลย……

“เสี่ยวโจว เสี่ยวโจวช่วยแม่ด้วย…”

ขณะพูด ผิวหน้าของยายแก่คนนั้น ก็มีขนสีเทางอกออกมา

ขนพวกนั้นออกมาเร็วมาก ไม่ใช่แค่นั้น หน้าของยายแก่ ก็บิดเบี้ยวด้วยเช่นกัน มันเปลี่ยนไปเหมือนหน้าหนูมือและเท้ามีกรงเล็บงอกออกมาอย่างรวดเร็ว

พอคุณโจวเห็นภาพนี้เธอก็ตกใจจนไม่รู้ว่าควรทํายังไงดี ตอนนี้ตัวเธอไม่กล้าเข้าไปใกล้ด้วย

ส่วนพวกเราก็ทําอะไรไม่ถูกเช่นกัน

“เกิดอะไรขึ้น ? ทําไมเธอถึงกลายร่างเป็นปีศาจเร็วขนาดนี้ ?” ผมสงสัย

“พลังปีศาจในร่างของเธอกําลังบ้าคลั่ง มันไม่เสถียร” มู่หลงเหยียนพูดต่อ และจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาหวาดระแวง

ยังไม่รอให้พวกเราเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น และเคลื่อนตัวทําอะไรบางอย่าง

ยายแก่ที่กําลังรักอยู่นั้น ก็กรีดร้อง “อร้าย” ออกมาอีกครั้ง

ต่อจากนั้นเสียง “อัก” ก็ดังขึ้น เธอกระอักเลือดออกมา สุดท้ายก็หลับตา นอนแน่นิ่งไปในทันที

“แม่ แม่….” คุณโจวลองตะโกนเรียกสองสามครั้ง

แต่ทั้งตัวของยายแก่คนนั้นกลับมีขนงอกออกมา ใบหน้าบิดเบี้ยว สภาพไม่ใช่ทั้งคนและปีศาจเธอจึงไม่กล้าเข้าใกล้

มู่หลงเหยียนที่อยู่ข้างๆกลับพูดว่า “จุดตันเถียนและเส้นเลือดของเธอฉีกขาดหมดแล้ว เธอตายแล้ว !”

“ตายแล้ว ?” ผมค่อนข้างตกใจ แบบนี้ก็ตายแล้วเหรอ

อาจารย์ทําหน้าเข้ม “ นี่คงเป็นเพราะการกลายร่างเป็นปีศาจล้มเหลว ผลที่ตามมาค่อนข้างร้ายแรงหน่อย

เดิมที่ร่างกายของคุณยายคนนี้ก็เป็นอัมพาตอยู่แล้ว ร่างกายไม่ดี การกลายร่างเป็นปีศาจเลยทําให้เธอรับไม่ไหว แล้วพลอยทําให้การกลายร่างของเธอล้มเหลวจุดตันเถียนเลยแหลกสลาย

อาจารย์อธิบายสาเหตุที่สมเหตุสมผลหนึ่งอย่าง แต่สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจออกมาอยู่ดี

พอคุณโจวได้ยินว่าแม่สามีตัวเองตายแล้ว เธอก็เริ่มร้องไห้ออกมาอีกรอบ

เพิ่งเสียสามีไปตอนนี้ยังมาเสียแม่สามีไปอีก มันทําร้ายจิตใจเธอไม่น้อยเลยจริงๆ

แต่เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว พวกเราก็ไม่อาจทําอะไรได้

ในเวลาเดียวกันเวลาปรากฏตัวของมู่หลงเหยียนก็เกือบจะหมดแล้ว ร่างกายเธอเริ่มลางเลือน

หลังมองคุณโจวที่ร้องไห้โฮออกมาแล้ว เธอก็บอกลาผมกับอาจารย์ ผมกับอาจารย์เองก็พยักหน้าให้เธอ

ม่หลงเหยียนบอกให้พวกเราระวังตัว หากมีอันตรายเกิดขึ้น ก็เรียกเธอได้ตลอดเวลา

หลังจากพูดจบร่างของมู่หลงเหยียนก็กลายเป็นควัน แล้วหายไปจากสายตาของพวกเรา

แน่นอน ว่าคุณโจวไม่เห็นภาพนี้

เพราะเรื่องของแม่สามีและคุณหวงค่อนข้างพิเศษ ล้วนเป็นครึ่งคนครึ่งปีศาจทั้งคู่

ดังนั้น หลังคุณยายคนนั้นล้มเหลวในการกลายร่างเป็นปีศาจแล้ว ผ่านไปไม่นาน ก็มีหนอ นคลื่นคลานออกมาจากศพเธอ

ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ทั้งสองศพก็โดนพวกหนอนกินจนหมด เหลือทิ้งไว้เพียงพวกกระดูกเท่านั้น

สุดท้ายเจ้าหนอนพวกนั้นก็ตายกลายเป็นเลือดสีดํา เพราะเหลือแต่กระดูแล้ว งานศพเลยไม่ต้องทําพิธีไว้ทุกข์แล้ว

ดังนั้นผมและอาจารย์เลยต้องทํางานกันทั้งคืน นํากระดูกพวกนี้ไปเผาที่สุสานใกล้ๆแถวนี้

หลังเผากระดูกพวกนี้เสร็จก็ถึงช่วงเช้าตรู่แล้ว

ต่อจากนั้นเราก็ยังทํางานต่อไปหาสุสานธรรมแถวนี้หนึ่งแห่ง แล้วรีบฝังเถ้ากระดูกของคุณหวงและยายคนนั้น

หลังทําเรื่องนี้เสร็จก็เป็นเวลาเที่ยงตรงแล้ว

คุณโจวพาลูกๆสองคน และยังมีพ่อสามีที่สมองเสื่อมจนทําตัวเหมือนเด็ก มาคุกเข่าตรงหน้าหลุมศพด้วยสีหน้าที่เศร้าสร้อย แล้วเผากระดาษอย่างต่อเนื่อง

พอมองสภาพของคุณโจวในตอนนี้ ผมก็เริ่มรู้สึกเหมือนตอนแรกอีกแล้ว

การปรากฏตัวของพวกเราเป็นสิ่งที่ถูกหรือเปล่า พวกเราช่วยคุณโจวเอาไว้จริงๆเหรอ

เพียงชั่วข้ามคืน คุณโจวก็เสียไปทั้งสามี และแม่สามี ครอบครัวหกคนตายไปถึงสองคน

สาหรับคุณโจวเรื่องนี้เป็นการช่วยเธอ หรือทําร้ายเธอกันแน่นะ

ผมถามตัวเองไม่หยุด ในใจมีความรู้สึกแปลกๆปรากฏขึ้น

ดังนั้นผมเลยพูดกับคุณโจวที่กําลังเผากระดาษอยู่ว่า “คุณโจว เสียใจด้วย ที่นี่หนาวมากลูกๆ กับคุณตาก็อยู่ที่นี่ ผมว่าคุณกลับไปเถอะ !”

แต่เสียงของผมเพิ่งเงียบลง จู่ๆคุณโจวก็หันมามอง

แล้วใช้ดวงตาที่แดงหน่อย จ้องผมพร้อมน้ําตาที่ไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง “ ไสหัวไป ! ไม่ใช่เรื่องของแก

คุยกันบอกว่าให้มาช่วยสามีฉัน แล้วพวกแกละ ? ไม่ใช่แค่ไม่ช่วยสามีฉัน หลังพวกแกมาถึงสามีฉันก็ตาย แม่สามีก็ตายไสหัวไปซะ พวกแกไสหัวไปซะ……”

คณโจวพูดอย่างเกรี้ยวกราด ใช้มือที่ถือเงินกระดาษไว้ชี้ไปที่นอกสุสาน พร้อมบอกให้ผมและอาจารย์ไสหัวไปเร็วๆ

ระหว่างนั้น ในช่วงเวลานั้น ผมรู้สึกเหมือนเจ็บแบบที่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร

เห็นอยู่ชัดๆว่าผมและอาจารย์พยายามทําให้ดีที่สุดแล้ว เราทําตามหน้าที่ของคนปราบสิ่งชั่วร้ายแล้ว

พยายามช่วยอีกฝ่ายแล้ว และพยายามไม่ให้ครอบครัวรู้ความจริงที่น่าเศร้าพวกนั้นแล้ว

แต่ผลที่ได้ละ ! กลับเป็นคําว่า “ไสหัว”

ระหว่างนั้น ผมค่อนข้างเหม่อ ยืนอึ้งอยู่ที่เดิม

ผลลัพธ์คุณโจวกลับพูดซ้ําอีกรอบ “ยังจะให้ฉันพูดอีกใช่ไหมฮะ ? นักพรตบ้าบออะไร ไร้ประโยชน์สิ้นดี รีบไสหัวไปได้แล้ว ! ฉันไม่อยากเห็นหน้าพวกแก”

เสียงของคุณโจวเพิ่งเงียบลง ลูกน้อยสองคนของเธอ ก็เข้ามาพลักตัวผมพักหนึ่ง “แม่บอกว่าไม่อยากเห็นหน้าคุณ ! คุณรีบออกไปได้แล้ว พวกคุณเป็นคนเลว……”

มันเหมือนกับฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ ผมไม่เคยเจ็บแบบนี้มาก่อน

มันเป็นความรู้สึกที่ไม่มีใครเข้าใจ ผมสับสนกับตัวเอง ยุ่งเหยิงจนไม่รู้ว่านี่มันผิดหรือถูกกันแน่

ผมอยากทําให้มันกระจ่าง แต่ทันใดนั้นผมกลับพบว่าตัวเองพูดอะไรไม่ออกเลยสักอย่าง

ส่วนอาจารย์กลับเข้ามาคว้าแขนผม “เฮ้อ ! เสี่ยวฝาน พวกเราควรไปได้แล้ว…”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset