ศพ – ตอนที่ 467 เรียนรู้ที่จะอดทน

ตอนที่ 467 เรียนรู้ที่จะอดทน

ตอนอาจารย์เข้ามาคว้าแขนผม และบอกว่าควรออกไปได้แล้วผมรู้สึกเจ็บมากจริงๆ

ตั้งแต่เป็นคนปราบสิ่งชั่วร้ายมานี่เป็นสิ่งที่ทําให้ผมเจ็บที่สุด

ตอนแรกเริ่มในใจผมยังรู้สึกสับสน

แต่ความสับสนแบบนั้นผมก็เข้าใจได้ แต่สถานการณ์ตรงหน้า กลับทําให้ผมพูดไม่ออก

อาจจะบอกว่าพวกเรากลายเป็นคนเลวก็ว่าได้

ตั้งแต่ตอนแรกคุณโจวไปหาพวกเรา พวกเราก็ติดตามเบาะแสตามสัญชาตญาณพบตัวคุณหวงจนกระทั่งคุณหวงและแม่ของเขาตาย

ทั้งหมดนี่ล้วนมีพวกเราอยู่ด้วย ถึงออกมาเป็นแบบนี้ได้

หรือจะพูดอีกอย่างคือถ้าพวกเราไม่ได้เข้ามายุ่ง “เรื่องไม่เป็นเรื่อง” พันนี้ คุณหวงก็คงไม่ตาย

เขายังทํางานให้สํานักสื่อเย่เฉินต่อไปครอบครัวของคุณโจว ก็จะไม่ต้องบ้านแตกสาแหรกขาด

แต่ ในฐานะของคนปราบสิ่งชั่วร้าย ในเมื่อรู้เรื่องที่คุณหวงเป็นสาวกของสํานักชั่วแล้ว และคุณหวงยังไม่เพียงไม่รู้สึกผิดกลับกันยังคิดว่าเป็นเพราะชะตาชีวิตและสถานการณ์ปัจจุบันบีบบังคับเขาก็เลยต้องเลือกแบบนั้น

เมื่อเป็นแบบนั้นคนปราบสิ่งชั่วร้ายอย่างพวกเรา ก็ได้แต่เป็นก้าวสุดท้ายของชีวิตเขาเมื่อทําแบบนั้นมันก็กลายเป็นการทําร้ายครอบครัวคุณโจวแทน

ตอนนี้หลังโดนอาจารย์ดึงแขนให้ออกไปในสมองของผมก็เอาแต่คิดถึงเรื่องนี้

พออาจารย์เห็นผมไม่ร่าเริง เขาก็พูดกับผมตรงๆ “เสี่ยวฝาน งานของเราก็แบบนี้แหละ ในเมื่อแกเลือกทํางานนี้แล้ว แกก็ต้องรู้ที่จะอดทนเวลาคนอื่นเข้าใจผิด”

“เหมือนกับครั้งนี้ เห็นชัดๆว่าพวกเราทําตามหน้าที่ ทําในสิ่งที่ตัวเองควรทํา แต่สุดท้ายกลับโดนเข้าใจผิดว่าเป็นคนเลวโดนด่าว่าเป็นนักพรตที่ไร้น้ํายา แกว่าพวกเราควรไปอธิบายให้ใครฟังดีละ ?”

อาจารย์พูดด้วยน้ําเสียงสบายๆ เหมือนคนไม่เป็นอะไร

พอผมเห็นอาจารย์เป็นแบบนั้น ผมก็หันไปพูดกับอาจารย์ “ อาจารย์ อาจารย์ไม่รู้สึกเจ็บใจบ้างเหรอ ?

ไม่อยากอธิบายให้คุณโจวฟังเลยเหรอ ?”

“ อธิบาย ? จะอธิบายยังไง ? เจ้าลูกศิษย์ ฉันว่าเรื่องนี้เราอธิบายไม่ไหวหรอก เดิมที่สายงานของพวกเราก็ไม่ค่อยมีใครยอมรับอยู่แล้ว และเรื่องบางเรื่อง ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะพูดออกมาได้ และถึงจะพูดออกไปเธอก็ไม่เชื่อพวกเราหรอก แกจะบอกคุณโจวว่าสามีของเธอเป็นมะเร็งเข้าร่วมนักชั่ว ฆ่าคนไปสามคนแล้ว

และเกือบฆ่าพวกเราด้วย แกว่าคุณโจวจะยอมเชื่อไหมละ ?”

อาจารย์พูดออกมายกใหญ่ ถึงผมจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ดี แต่ตอนอาจารย์พูดออกมา มันกลับทําให้ผมรู้สึกต่างออกไป

อาจารย์พูดถูกยิ่งกว่าถูก ในเมื่อเลือกทางนี้แล้ว เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะอดทน อดทนกับการเข้าใจผิดของคนอื่น

ผมสูดหายใจเข้าสองสามครั้ง พยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเอง

หากคิดจะเดินต่อไปในข้างหน้าก็อาจต้องทนกับสายตาต่างๆและความเข้าใจผิดที่มากกว่านี้

อาจารย์กลับตบไหล่ผมแล้วพูดว่า “บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่สวรรค์ลิขิต พวกเราทําอะไรไม่ได้นอกจากทําหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ทําสิ่งที่คนปราบภูติผีควรทําก็พอแล้วส่วนเรื่องอื่นคิดไป ก็ไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมา”

หลังจากพูดจบอาจารย์ก็ส่งบุหรี่ให้ผม

ผมสูบมันสองรอบ สัมผัสกับกลิ่นนิโคตินถึงจะรู้สึกเศร้านิดหน่อย แต่สรุปแล้วผมก็รู้สึกดีขึ้นเยอะ

และเข้าใจเรื่องนี้แล้ว

ผ่านไปไม่นานพวกเราก็เดินมาถึงหน้าสุสานผมหันกลับไปมองหนึ่งครั้ง

คุณโจวยังคงอยู่บนเนินเขา เผาเงินกระดาษให้สามีเธอต่อไป ควันสีขาวยังคงพวยพุ่งอย่างต่อเนื่อง

ผมถอนหายใจสุดท้ายก็เดินออกไปจากที่นี่พร้อมอาจารย์

คราวนี้ พวกเราไม่ได้ทําภารกิจเสร็จแบบน่าพอใจซะทีเดียว

แต่เรากลับได้ข้อมูลมาไม่น้อยสิ่งที่สําคัญที่สุดในนั้น ก็คือเรื่องของสํานักสื่อเย่เฉิน

เปลือกนอกบังหน้าด้วยบริษัทขนส่ง แต่แท้จริงแล้วเป็นสํานักที่ชั่วร้ายแห่งหนึ่ง

และคําพูดสุดท้ายของคุณหวง ยิ่งทําให้พวกเราตกใจเข้าไปใหญ่

สํานักชั่วนี้คิดจะทําให้คนทั้งโลกกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่ใช่ทั้งคนและปีศาจ แต่ทําไมถึงเป็นแบบนั้นละ

หรือว่าผู้นําของสํานักนั้นเป็นพวกมีจิตใจผิดปกติเหรอ หรือจะบอกว่านี่คือหลักคําสอนที่ผิดเพี้ยนอย่างหนึ่งของสํานักสื่อเย่เฉิน

แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรเรื่องนี้ก็ต้องไปถึงหูของผู้ร่วมสายงานคนอื่น

พวกเขาต้องรู้ว่ามีสํานักชั่วเช่นนี้อยู่พวกเขาจะได้ส่งคนของสํานักใหญ่ๆไปจัดการ

ต่อจากนั้น ผมและอาจารย์ก็ขึ้นรถ แล้วรีบขับกลับไปที่ตําบลชิงฉือทันที

เมื่อมาถึงตําบลผมและอาจารย์ก็หาอะไรกินข้างนอกนิดหน่อยจากนั้นถึงได้เดินทางกลับบ้าน

พวกเราไม่ได้นอนมาครึ่งวันแล้ว แต่ละคนต่างเพลียมาก และบาดเจ็บกันทั้งคู่

หลังจากทําแผลให้อาจารย์เสร็จแล้วผมก็ประคองเขากลับเข้าไปพักในห้อง

ส่วนผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลือกโทรหาหยางเจ่วเป็นคนแรก

โทรศัพท์ถูกรับเร็วมากเสียงหวานๆของเด็กสาวดังขึ้นทันที “ติงฝานว่าไง ?”

“เอ่อหยางเฉ่ว ตอนนี้เธอว่างไหม ? ฉันมีเรื่องจะบอกเธอ” ผมพูดตามตรง

หยางเนิ่วตอบกลับทันที “อ๋อ ! ฉันว่างมีไรเหรอ ?”

พอได้ยินว่าหยางเฉวว่าง ผมก็ไม่ลังเล เล่าเรื่องทั้งหมดที่พวกเราเจอเมื่อคืน ให้หยางเน่าฟังทันที

หลังหยางเนิ่วได้ยินแล้ว ก็เห็นได้ชัดว่าเธอค่อนข้างตกใจ ในเวลาเดียวกันก็เหมือนจะไม่รู้จักสํานักสื่อเย่เฉินอะไรนั่น และตระกูลเหมียวหนานเหยียนด้วย

แต่หลังจากยืนยันเรื่องนี้กับผมอีกรอบแล้ว เธอก็บอกว่าเธอจะบอกอาจารย์ของเธอทันที

ต่อจากนั้น เราก็คุยกันอีกนิดหน่อย แล้วถึงวางสาย

ต่อจากนั้น ผมก็โทรหาจุ่ยเฉิงจึงต่อ

เนื่องจากหยางเจ่วเป็นศิษย์สํานักหวี่ตั้ง ส่วนจี๋ยเฉิงจึงเป็นศิษย์สํานักเหมาชาน คนละสํานักกัน

แต่ตอนนุ่ยเจ๋งจึงรับสาย เธอทําเสียงเบามาก เหมือนกับกําลังแอบคุย และบอกว่าเธอกําลังเรียนอยู่

พอผมได้ยินว่าเธอเรียนอยู่ผมก็กดวางสายทันทีจากนั้นก็ส่งข้อความสั้นๆ อธิบายให้เธอฟัง

ผลลัพธ์เพิ่งส่งข้อความได้ไม่นานเธอก็วิดีโอคอลมาหาทันที

ระหว่างวิดีโอคอลนุ่ยเฉิงจึงดูประหม่าและตื่นเต้นมาก

เธอพูดกับผมว่า “ลุงติงฝาน นายท่าอะไรมาน่ะ ? เรื่องที่น่าตื่นเต้นขนาดนั้นกลับไม่เรียกฉันสักคํา

สํานักสื่อเย่เฉิน ฟังดูน่าสนุกมากเลยนะ”

เมื่อเห็นฉ่ยเฉิงจึงตื่นเต้นแบบนั้น ผมก็กลอกตา แต่ก็ตั้งใจเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ อย่างละเอียดที่สุดให้เธอฟัง

แม้ฉ่ยเฉิงจึงจะดูเป็นคนไม่ค่อยจริงจังแต่ในด้านนี้ เธอยังเป็นคนที่รู้จักแยกแยะ

เธอบอกว่าอีกเดี๋ยวจะเล่าให้พวกอาจารย์ฟัง และจะให้พวกอาจารย์ส่งคนไปดูที่นั้น

หลังวางสาย ผมก็คิดว่าจะนอนพัก

แต่พอล้มตัวลงนอนแล้วไม่ว่าจะทํายังไงผมก็นอนไม่หลับ หัวผมเอาแต่คิดถึงเรื่องของคุณโจว

สถานการณ์ของครอบครัวคุณโจวตอนนี้ผมพอเข้าใจอยู่บ้าง ทั้งครอบครัวมีแค่พวกเธอไม่กี่คน

แทบไม่มีญาติคนไหนไปมาหาสู่

งานศพเมื่อเช้านี้ คุณโจวไม่ได้ติดต่อเพื่อนหรือญาติคนไหน เห็นได้ชัดว่าครอบครัวของเธอไม่มีญาติอะไรทั้งนั้น

ตอนนี้คุณหวงตายแล้ว ในครอบครัวไม่มีใครมีรายได้ และยังมีเด็กอีกสองคน และพ่อสมองเสื่อมอีกหนึ่งคนเธอจะทํายังไงต่อ

แม้ว่าเรื่องนี้จะอยู่เหนือความสามารถของผมแล้วอยู่เหนืออํานาจหน้าที่ในอาชีพแล้ว แต่ตั้งแต่ต้นจนจบ

ผมกลับคิดว่าผมควรทําอะไรให้พวกเขาหน่อยหรือเปล่า

ไม่ว่าจะพูดยังไง สามีของคุณโจวก็ต้องมาตายเพราะพวกเรา

หลังจากครุ่นคิดมาพักใหญ่สุดท้ายผมก็เปิดรายชื่อในโทรศัพท์

เลื่อนไปที่เบอร์ของเสี่ยวม่านในบรรดาเพื่อนของผมบางทีเสี่ยวม่านอาจช่วยเรื่องนี้ได้

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ผมได้แต่ทําหน้าด้านขอให้เสี่ยวม่านช่วย……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset