ศพ – ตอนที่ 477 ไม่มีใครรับมือทัน

ตอนที่ 477 ไม่มีใครรับมือทัน

สมุนปีศาจพวกนั้นพุ่งเข้ามาจากรอบๆ กระจายตัวเข้ามาโอบล้อมและโจมตีพวกเรา

ผมอยู่หน้าสุด เห็นปีศาจหน้าแมวตัวหนึ่งพุ่งเข้ามาพร้อมกับกวาดแกว่งอุ้งเท้าแมวและคํารามมาทางผม

เมื่อเห็นถึงตรงนี้ ผมก็ไม่ได้ถอยเลยสักนิด เคลื่อนพลัง ใช้เพลงดาบที่มู่หลงเหยียนสอนมา เข้าไปฟาดฟันใส่มันทันที

ได้ยินเพียงเสียงดัง “บิ๊ก” ดาบไม้ฟันเข้าที่คอของอีกฝ่ายตรงๆ

ปีศาจตนนั้นกรีดร้องโหยหวน เลือดสดๆกระเด็นเซ็นซ่าน และล้มนอนจมกองเลือดทันที

แต่ยังไม่จบเท่านั้น เนื่องจากอีกฝ่ายมีจํานวนเยอะมาก

ผมเพิ่งแทงปีศาจตัวหนึ่งล์ม ปีศาจอีกสองตัวก็โผล่เข้ามาโจมตีผมจากทางด้านซ้ํายและขวา

“ติงผ่านระวัง !” จู่ๆหยางเจ่วก็ตะโกน เธอโผล่เข้ามาจากด้านข้าง ตรงเข้ามาขวางปีศาจตนหนึ่งเอาไว้

ในเวลาเดียวกัน เหล่าเฟิงก็กระโดดขึ้น ฆ่าปีศาจตายไปหนึ่งตัว

สาหรับจุ่ยเฉิงจังและจิ้งจอกน้อย พวกเธอเองก็แยกย้ายกันลงมือจัดการปีศาจไปได้สองตัวเช่นกัน

เหล่าฉันก็ดึงดาบออกมารับการโจมตีของปีศาจอย่างรวดเร็ว

แต่ที่นี่มีสมุนปีศาจเยอะเกินไปไม่สามารถจัดการได้หมดภายในครั้งเดียว

แม้เจ้าพวกนี้จะกินยากลายร่างเป็นปีศาจเข้าไปถึงได้เปลี่ยนเป็นไม่ใช่คนไม่ใช่ปีศาจแบบนี้

จากบางมุมนอกจากสาวกพวกนี้จะมีพละกําลังจากกล้ามเนื้อเพิ่มแล้ว ก็ไม่มีพลัง
ใดๆ

หากสู้กันเดี๋ยวๆ พวกมันไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเราได้แน่นอน เราสู้หนึ่งต่อสาม ก็ยังมีแรงเหลือเฟือ

แต่ปัญหาคืออีกฝ่ายมีคนเยอะเว่อร์

สองมือหรือจะสู้กับฝีมือได้ ตอนนี้อย่าว่าแต่ฆ่าเลยเพิ่งสู้ไปได้ไม่เท่าไหร่ พวกเราก็โดนบีบให้ถอยแล้วถอยอีกแล้ว

แน่นอน พวกเราเองก็ไม่อาจต้านสาวกทุกคนได้

จึงมีส่วนหนึ่งที่ฝ่าเข้าไปหานักพรตหวังและพวกอาจารย์ได้ เจ้าพวกนั้นเริ่มช่วยผู้นคนนั้นและพวก

บอร์ดี้การ์ดสี่คนนั้นทันที

ตอนนี้ ฉากการต่อสู้ที่ดุเดือดก็ตกอยู่กับนักพรตหวังและเจ้าผู้นําคนนั้นแล้ว

พลังของทั้งสามคนสูงมาก จนพวกเราไม่อาจเทียบได้เลย

แต่สิ่งที่ทําให้คาดไม่ถึงคือ เหมือนระดับพลังของเจ้าผู้นําคนนั้นจะเปลี่ยนไปมากกว่าเดิม

เขาใช้ตะขอในมือ สู้หนึ่งต่อสอง แต่มันกลับดูไม่เสียเปรียบเลยสักนิด

คลื่นพลังดํามืดมัวนตัวกระจายอยู่รอบๆ ทุกครั้งที่ลงมือจะมีพลังด่ามีดสาดซัดออกมา แทบไม่มีใครกล้าเข้าไปใกลในรัศมีห้าเมตร

แม้แต่พวกลูกสมุนปีศาจเข้าไปใกล์ ก็แทบช่วยอะไรไม่ได้ เพราะโดนคลื่นพลังซัดกระเด็นออกมา

หรือไม่ก็โดนซัดตายเป็นอะไรที่น่ากลัวมาก

ทางด้านอาจารย์หลิ่ว ยายหูชีและท่านนักพรตต์ สู้สี่ต่อสี่และรวมพวกลูกสมุนเข้าไปอีกหน่อย

ถึงจะเป็นอย่างงั้น พวกเรากลับเป็นฝ่ายได้เปรียบ

โดยเฉพาะปู่หลิ่วและยายหูชี ไม่รู้จิ้งจอกเฒ่าสองตัวนี้บําเพ็ญมากี่ปีระดับพลังของพวกเขาสูงมาก

ตอนนี้เสียงครามของจิ้งจอกดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง กรงเล็บพวกนั้นเหมือนกับดาบคมๆเล่มหนึ่ง

หากมีพวกลูกสมุนปีศาจเข้ามาใกล้ ก็มีแต่ความตายเท่านั้นที่รออยู่

สําหรับบอร์ดี้การ์ดสี่คนนั้น ทุกคนโดนบีบให้ถอยอย่างต่อเนื่อง พวกเขาเริ่มสู้ไม่ไหวแล้ว

การต่อสู้เกิดขึ้นไม่หยุด พวกเราไม่กี่คนเข้ามาเกาะกลุ่มกัน ใช้เตาเผายักษ์นั่นเป็น ที่พึ่งต้านพวกลูกสมุนที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง

แม้พวกเราจะต้านได้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าลําบากมาก

ในเวลานี้จู่ๆนุ่ยเฉิงจิงก็โดนลูกสมุนจานวนหนึ่งล้อมเอาไว้

นุ่ยเฉิงจึงพยายามสู้อย่างสุดฤทธิ์ แต่สุดท้ายก็ยังโดนหางของปีศาจตนหนึ่งฟาดเข้าที่ด้านหลัง

“เพี้ยะ” จี่ยเฉิงจิงกระเด็นไปข้างหน้า และล้มกลิ้งลงไปกับพื้นทันที

ปีศาจตนหนึ่งอยู่ข้างหน้าจุ่ยเฉิงจึงพอดี เมื่อเห็นภาพนี้ แววตามันก็ดุร้ายขึ้นมาทันที มันกางกรงเล็บออกแล้วตวัดลงไปคิดจะฆ่าฉัยเฉิงจึง

ฉียเฉิงจิงโดนฟาดจนล้มกลิ้งกับพื้น ไม่มีทางตอบโต้ทัน ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะหลบพ้นเลย

“ฉียเฉิงจิง…” ผมตกใจไม่สนใจอะไรทั้งนั้น โยนดาบในมือออกไปทันที

ดาบที่โดนลับคมด้วยพลังแทงทะลุหลังของอีกฝ่ายทันที

ปีศาจตนนั้นตัวแข็งทื่อมันตายในทันที

พอเจ้าจิ้งจอกน้อยหูเหมยเห็นแบบนั้น ก็ครามออกมา และระเบิดพลังปีศาจมหาศาลออกมาในทันที

และเจ้าจิ้งจอกน้อย ก็กลายร่างเป็นจิ้งจอกยักษ์ขึ้นมาในเวลานี้เช่นกัน

ใบหน้าของจิ้งจอกยักษ์เต็มไปด้วยความดุร้าย เธอกวัดแกว่งกรงเล็บ ฆ่าศัตรูจนทางที่เธอเดินผ่านกลายเป็นทางสีเลือดจากนั้นก็ไปยืนขวางอยู่หน้าฉ่ยเฉิงจึง

เพราะดาบไม้ของผมโดนโยนออกไปแล้ว ดังนั้นในมือของผมเลยไม่มีอาวุธอยู่

ผลลัพธ์ทันใดนั้นปีศาจหน้าหนูตัวหนึ่งก็กระโจนเข้ามา พร้อมตวัดกรงเล็บมาที่คอผม

ผมทําได้แค่ถอยให้เร็วที่สุด แต่แล้วเพิ่งถอยไปไม่ถึงสองก้าวปีศาจที่อยู่ข้างหลังกลับยืดหางออกมายาวสองเมตร

เจ้าหางนั่นมีรูปร่างเหมือนหางหนู สีดาไร้ขน แต่มันทั้งใหญ่ทั้งยาวเท่านั้น

“เพี้ยะ” เจ้าหางนี่ทําเสียงเหมือนแส้หนัง มันพุ่งตรงมาที่หน้าของผมทันที

มันเร็วมากจนผมคิดว่าอาจหลบไม่พ้น

ถ้าโดนเจ้านี่ละก็ หน้าคงต้องเสียโฉมแน่ๆ

ผมทําหน้าตกใจรีบยกมือกันทันที

แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆเหล่าเฟิงก็โผล่ออกมา พร้อมกับดาบ

หางหนูที่ยื่นออกมาอันนั้น “ฉีบ” โดนตัดเป็นสองท่อน พร้อมเลือดที่สาดกระจายเต็มพื้น

“อ้า !” ปีศาจตนนั้นกรีดร้อง แล้วรีบดึงหางกลับทันที

ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ขอบใจเหล่าเฟิง !”

เพิ่งเฉวหานกลับยิ้มให้ผม “ระวังหน่อย !”

หลังจากพูดจบ เหล่าเฟิงก็พุ่งเข้าไปหาปีศาจอีกตัว

ขณะมองเหล่าเฟิงมุมปากผมก็ยกยิ้มเล็กน้อยจากนั้นก็พุ่งเข้าไปอีกครั้ง……

ในขณะที่ทางฝั่งผมกาลังตกอยู่ในสถานการณ์เป็นตาย สู้อย่างไม่คิดชีวิต ในที่สุดทางด้านของอาจารย์และปู่หลิ่วก็เป็นฝ่ายชนะ

ตอนนี้ จู่ๆอาจารย์และท่านนักพรตตูก็ร่วมมือกันหันดาบไปทางบอร์ดี้การ์ดคนหนึ่ง

บอร์ดี้การ์ดคนนั้นหลบไม่ทัน แขนซ้ายของเขาเลยโดนดาบของท่านนักพรตต์ตัดจนขาด

ความเจ็บปวดจากแขนขาด ทําให้ร่างของบอร์ดี้การ์ดคนนั้นส่ายไปมา อาจารย์ไม่มีทางปล่อยโอกาสดีๆแบบนี้ผ่านไปแน่ เขาทําหน้าเข้มแล้วเข้าไปแทงทันที

“ฉีก” เขาแทงทะลุหน้าอกของบอร์ดี้การ์ดคนนั้น

จากนั้นอาจารย์ก็ยกเท้าขึ้น ถีบเจ้าปีศาจตนนั้นให้กระเด็นออกไปทันที

เดิมที่การสู้สี่ต่อสี่นี้พวกอาจารย์ก็ได้เปรียบอยู่แล้ว ตอนนี้สถานการณ์กลับพลิกเป็นสามต่อสี่ปีศาจชุดดําพวกนั้นเลยไม่ใช่คู่ต่อสู้เข้าไปใหญ่

ผลลัพธ์เพิ่งสู้ไปได้ไม่ถึงสิบกระบวนท่า แต่ละตัวก็ตายคาคมเขี้ยวของหลิ่วและยายหูชี

ยังไม่จบเท่านี้ บอร์ดี้การ์ดทางฝั่งนี้เพิ่งตาย ปู่หลิ่วและยายหูชีก็พุ่งไปหาชายชุดดาคนนั้นทันที พวกเขาเตรียมช่วยพวกนักพรตหวังฆ่าชายชุดด่าคนนี้

ส่วนอาจารย์และท่านนักพรตต์ ก็วิ่งมาทางพวกเรา เพื่อลดแรงกดดันให้พวกเราบ้าง

ตอนนี้ พวกเราทุกคนต่างเลือดตกยางออก หายใจหอบเหนื่อย

ถ้าไม่ได้เป็นเพราะพึ่งเตาเผายักษ์อันนั้น และร่วมกันสู้ไหนเลยพวกเราจะเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าลูกสมุนปีศาจพวกนี้ได้

พวกมันใช้วิธีหมาหมู่ มากําจัดพวกเรา

แต่ตอนนี้มีพวกอาจารย์มาร่วมด้วยแรงกดดันของพวกเราเลยลดลงไม่น้อย

แต่ สิ่งที่สําคัญที่สุดคือยังมีผู้นําชายชุดดํานั่นอีก

ถ้าไม่สามารถเอาชนะเจ้าคนที่โดนเรียกว่าท่านหลิงนั่นได้ ลูกสมุนพวกนี้ ก็ยังจะโจมตีพวกเราต่อไป

พวกเรายังตกอยู่ในอันตรายอยู่เหมือนเดิม

ถ้าเจ้าคนที่โดนเรียกว่าท่านหลิงนั้นตาย ไม่เพียงนักพรตหวังและนักพรตเฉินจะออกมาช่วยพวกเราได้

เจ้าลูกสมุนปีศาจพวกนี้ ก็จะเสียขวัญกําลังใจแล้วสุดท้ายก็โดนพวกเราจัดการ

กลับกัน หากอีกฝ่ายเอาชนะนักพรตหวัง นักพรตเฉิน และพวกป่หลิ่วได้ พวกเราก็จะตกเป็นฝ่ายอนาถแทน

ดังนั้น สิ่งที่สําคัญยังยังอยู่กับทางฝั่งท่านนักพรตหวังและเจ้าชายชุดด่านั้น

หลังจากสู้กันอย่างดุเดือดประมาณสิบนาทีกว่าๆ บนตัวของทุกคนก็เต็มไปด้วยเลือด ขาของเหล่าฉันโดนกรงเล็บแทงเข้าไปตอนนี้เลือดยังไหลไม่หยุด

แต่ตรงหน้าของพวกเรา กลับมีซากศพนอนเกลื่อนกว่ายี่สิบร่าง

แต่ทุกคนก็ไม่ได้อยู่ในสภาพดีเท่าไหร่ ต่างสู้กันสุดกําลัง ใช้พลังไปจำนวนมากการเคลื่อนไหวและพละกําลังก็ลดลงอย่างมาก และเริ่มจะต้านไว้ไม่อยู่แล้ว

แต่ทันใดนั้นเอง การต่อสู้ของท่านนักพรตหวังท่านนักพรตเฉิน ปู่หลิวและยายหูชีกับผู้นําชุดดําคนนั้น

กลับเห็นผลแพ้ชนะแล้ว

แต่ผลที่ได้ กลับทําให้พวกเราทุกคนไม่อยากยอมรับ เพราะท่านนักพรตหวังและท่านนักพรตเฉินที่ดูมั่นอกมั่นใจกลับเป็นฝ่ายแพ้

ชายชุดด่าที่โดนพวกเขาสี่คนล้อมเอาไว้ เดิมทีก็ดูเสียเปรียบอยู่

แต่กลับไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร จู่ๆชายชุดดําคนนั้นก็ค่ารามออกมา ทันใดนั้นบนหน้าผากของเขาก็มีรูป “พระอาทิตย์และพระจันทร์” ปรากฎขึ้น

ต่อจากนั้น เจ้าผู้นําคนนั้นก็ระเบิดพลังที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนออกมา

ตะขอเหล็ก กวาดไปทางปุ่หลิวและยายหชีทําให้พวกเขาต้องถอยออกไป ในเวลาเดียวกันก็ซัดฝ่ามือไปทางท่านนักพรตหวัง

นักพรตหวังหลบไม่ทัน ทั้งคนและดาบโดนซัดกระเด็นออกมา เขากระอักเลือดออกมาคําใหญ่

และไม่อาจลุกขึ้นมายืนได้อีก

ไม่ใช่แค่นั้น หลังจากโจมตีเสร็จ เจ้าผู้นําคนนั้นก็ยกเท้าถีบอีกครั้ง

เท่านั้นเตะเข้าที่ท้องของนักพรตเฉิน นักพรตเฉินกรีดร้องออกมาทันที และตัวเขาก็เหมือนโดนรถบรรทุกชนกระเด็นร่างของเขาลอยเข้าไปในกองกล่องไม้ และลุกขึ้นมาไม่ได้อีกพักใหญ่

พอปู่หลิ่วและยายหูชีเห็นแบบนั้น ก็ตกใจทันที

แค่สองกระบวนท่าก็เอาชนะผู้อาวุโสสานักเหมาชานและอู่ตั้งได้แล้ว นี่มันพลังระดับไหนกัน

แม้ป่หลิ่วและยายหูชีจะร้ายกาจมาก แต่เมื่อเผชิญหน้ากับคนที่เอาชนะระดับผู้อาวุโสได้ภายในครั้งเดียว

พวกเขาเองก็ไม่อาจรับมือได้ง่ายๆเช่นกัน

ผลลัพธ์ในระหว่างนั้น ปู่หลิ่วและยายหูชีไม่กล้าบุกเข้าไปข้างหน้าอีก

ผู้นําชุดดําคนนั้นกลับทําหน้าเย็นชา แล้วตะโกนออกมาว่า “ยังมีใครอีกฮะ ?”

เสียงเพิ่งเงียบลง เขาก็ทําตาขวางใส่ทุกคนทันที

และเมื่อสาวกทุกคนเห็นฉากนี้ ก็ทําตัวเหมือนกินยากระตุ้นอะไรบางอย่างเข้าไป แต่ละคนต่างตะโกนออกมาว่า “สื่อเย่หวนคืน สํานักเฉินกลับมาผงาดพันปีหมื่นปี ครองทั่วหล้า !”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset