ศพ – ตอนที่ 480 จากแพ้เป็นชนะ

ตอนที่ 480 จากแพ้เป็นชนะ

เมื่อกี้เจ้าปีศาจหลิงเทียนคนนั้นยังทําตัวโอหังอยู่เลย แต่ในเวลานี้กลับโดนฝ่ามือนางพญาซัดกระเด็น

ร่างของเขาล่วงหล่นอย่างกับใบไม่ในฤดูใบไม้ผลิตัวเขาลอยออกไปไกลเจ็ดแปดเมตร สุดท้ายก็ยังกลิ้งไปกับพื้นอีกหลายตลบ

“ท่านหลิง ท่านหลิง !” สาวกหลายคนตกใจร้องตะโกนออกมาติดๆกัน และรีบวิ่งเข้าไปทันที

ในเวลานี้ ผู้นําที่โดนเรียกว่าหลิงเทียน กําลังถูกสาวกหลายคนช่วยประคอง ผลลัพธ์ยังไม่ทันได้ลุกขึ้นยืนดีๆ “อัก” เขาก็กระอักเลือดออกมา

แต่มันยังไม่จบเท่านี้ มู่หลงเหยียนและนางพญาไม่คิดจะปล่อยอีกฝ่ายไปทั้งแบบนี้

ตอนนี้พวกเธอพุ่งเข้าไป เตรียมปลิดชีวิตของเจ้าหมอนี่แล้ว

ท่านหลิงที่อาการย่าแย่รับรู้ได้ถึงอันตรายที่กําลังมาเยือน สีหน้าหวาดกลัว จับสาวกปีศาจมาตนหนึ่ง

เตรียมโยนไปทางมู่หลงเหยียน

มู่หลงเหยียนเค้นเสียงดัง แล้วตวัดดาบออกไปหนึ่งครั้ง

สาวกตนนั้นโดนซัดให้กลิ้งไปกับพื้น แต่เจ้าหลิงเทียนคนนั้นกลับใช้ช่องว่างนี้ รีบคว้าโอกาส ตะคอกใส่เหล่าสาวกที่อยู่ตรงนั้นว่า “หยุดพวกมันเอาไว้ !”

หลังจากพูดจบ เจ้าหมอนี่ก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง

เขากดที่หน้าอก เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างอาการหนัก แต่เขาก็ไม่ได้ลังเลหรือรอช้าแต่อย่างใด รีบวิ่งไปยังหน้าต่างที่อยู่ห่างออกไปทันที

ส่วนสาวกที่อยู่รอบๆ หลังได้รับคําสั่งนี้ ก็ขวางตรงหน้าท่านหลิงเอาไว้สามชั้น

หลังมู่หลงเหยียนและนางพญามาถึงรัศมีสังหาร ท่านหญิงคนนั้นก็เปิดหน้าต่างกระโดดหนี้ แล้ววิ่งต่ออย่างไม่คิดชีวิต

เหมือนมู่หลงเหยียนจะยังเห็นตัวอีกฝ่าย เธอเลยไล่ตามไปอีกทางด้านหนึ่ง

ส่วนนางพญากลับหยุดตาม แล้วเริ่มทําความสะอาดลูกสมุนปีศาจที่ขวางทางอยู่

ผู้นําสํานักหนีไปพร้อมกับอาการบาดเจ็บสาหัส เรื่องนี้ย่อมส่งผลต่อสาวกปีศาจทุกตนอยู่แล้ว

มันทําให้เกิดผลกระทบทางจิตใจอย่างแรง

บวกกับนางพญาจิ้งจอกที่โหดหินพันนี้ ใครจะต้านไหว หรือใครจะสู้ไหวกันละ

ผลตามมาติดๆ สมุนปีศาจนับร้อยปอดแหกในทันที

ทันใดนั้นก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตะโกนออกมา “หนีซิ !”

ผลลัพธ์เสียงนี้เพิ่งดังขึ้น มันก็เหมือนกับการโยนก้อนหินลงไปในผืนน้ําที่เงียบสงบคลื่นพายุที่บ้าคลั่งเกิดขึ้นในทันที

สาวกปีศาจทุกคน เริ่มหนีไปรอบๆอย่างไม่คิดชีวิต

มีสาวกหลายคนวิ่งหนีไปทางประตูโกดัง พวกเขาต่างรู้สึกผิด แอบพูดว่าทําไมก่อนหน้านี้ถึงได้ปัญญาอ่อนถึงขนาดนี้ ดันล็อคประตูเอาไว้ซะได้

ตอนนี้ละ ยังต้องเปิดใหม่ นี่มันต้องเสียเวลาหนีเท่าไหร่เนี่ย

ส่วนพวกเรา เดิมที่ที่ตกอยู่ในสถานการณ์เป็นตาย แต่คิดไม่ถึงว่าจะรอดจากความสิ้นหวัง เปลี่ยนแพ้เป็นชนะ กลับมาเป็นไล่สังหารอีกฝ่ายแทน

ตอนนี้พวกสาวกหนีหน้าตั้ง ทุกคนเหมือนได้กินยากระตุ้นบางอย่างเข้าไป พวกเราจึงรีบวิ่งออกไปไล่ฆ่าตัวประหลาดพวกนี้ทันที

แม้แต่เหล่าฉัน ในเวลานี้ก็ยังลากขาที่บาดเจ็บนั่น ไล่ฆ่าปีศาจตนหนึ่งที่กําลังแตกตื่น

พอนางพญาเห็นอีกฝ่ายแตกกระเจิงแล้ว เธอก็ไม่คิดจะควบคุมร่างผมไปตามฆ่า

พูดตามตรงแล้ว ตอนนี้พลังที่นางพญาจิ้งจอกปลดปล่อยออกมา ล้วนต้องใช้ร่างกายผมแบกรับ

แต่ร่างกายของผมยังห่างไกลจากพลังที่นางพญาส่งออกมาได้ ดังนั้นหลังนางพญาจากไปแล้ว

ร่างกายของผมก็จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก

หรือถ้าหากนางพญาอยู่ในร่างของผมนานเกินไป นอกจากจะใช้พลังงานกล้ามเนื้อของผมแล้ว

ยังอาจกินอายุขัยของผมด้วย

นางพญาเองก็รู้เรื่องนี้ดี ในเวลานี้เธอไม่เพียงไม่ลงมือ ไม่ตามไปไล่สังหาร

แค่พูดกับผมในร่างว่า “จินถง ชนะได้แต้มนึ่งแล้ว ขากลับก่อนนะ”

เมื่อได้ยินนางพญาพูดผมก็ตอบกลับตรงๆ “ขอบคุณท่านนางพญาที่ช่วยเหลือ ไม่ อย่างงั้นศิษย์คงตกอยู่ในอันตรายแน่”

ต่อจากนั้น นางพญาก็หัวเราะ “ฮ่าๆๆ” ออกมาเหมือนกับเสียงหัวเราะของเด็กสาวคนหนึ่ง

“ตกลง ข้าไปละ !”

หลังจากพูดจบ ผมก็รู้สึกแค่เพียงร่างกายที่ว่างเปล่า นางพญาที่ยึดครองร่างของผมไว้ ได้หายไปแล้ว

ปู่หลิ่ว ยายหชีและหูเหมยที่อยู่รอบๆ ต่างสัมผัสได้ว่านางพญาจากไปแล้ว

ในเวลานี้จึงมีเสียงตะโกนด้วยความเคารพดังขึ้น “น้อมส่งเจ้าแม่ !”

หลังนางพญาจากไปแล้ว ผมก็กลับมาควบคุมร่างตัวเองได้อย่างรวดเร็ว

เพียงแต่เพิ่งฟื้นขึ้นมา ผมก็รู้สึกล้ามาก ทั่วร่างเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

ฝ่ามือข้างที่ฟาดลงบนตัวหลิงเทียนเมื่อก่อนหน้านี้ ทําให้ผมรู้สึกเหมือนแขนกําลังจะหัก

ผมหายใจหอบเหนื่อย โลกหมุน ตัวยืนไม่มั่นคง

หลังจากเซไปสองครั้ง ผมก็คิดจะหาอะไรมาพิง ผลลัพธ์ผมกลับพบว่าตัวเองยืน ไม่ไหว จนเหมือนจะล้มลงเอาดื้อๆ

โชคดีที่หยางเจ๋วเห็น แล้วเข้ามาประคองผม “ช้าหน่อย มานั่งพักทางนี้ก่อน !”

ผมหอบหายใจ มองหยางเจ่ว พร้อมฝืนยิ้มออกมา “ขอบ ขอบใจหยางเจ่ว”

หยางเฉวกลับไม่สบอารมณ์ “ถ้าไม่ใช่เพราะนาย พวกเราคงตายไปแล้ว นายพักก่อนนะ ฉันจะไปจัดการสาวกที่เหลือหน่อย !”

หลังจากพูดจบ หยางเจ่วและคนอื่นๆ ก็วิ่งไปหาพวกสาวกสานักสื่อเย่ที่กาลังวิ่งหนี้กันให้วุ่น

ส่วนข้างๆผม ก็คือท่านนักพรตหวังเฉิงกานแห่งสํานักอู่ตั้ง

เขาเห็นผมมานั่งข้างๆ เลยถอนหายใจออกมาดื้อๆ “ เฮ้อ ! เป็นเพราะข้ากับนักพรตเฉิงบ้าเลือด

โชคดีที่หลานชายเชิญเซียนจิ้งจอกมาช่วยทัน ไม่อย่างงั้นพวกเราคงตกอยู่ในอันตรายแล้ว ”

เมื่อได้ยินคําพูดนี้ ผมก็อดยิ้มอย่างขมขื่นไม่ได้

ท่านพูดถูกจริงๆนั่นแหละ ถ้าไม่ใช่เพราะผมมีคนหนุนหลัง คราวนี้คงต้องมาตายเพราะความมั่นใจและความประมาทของพวกผู้อาวุโสอย่างพวกท่านทั้งสองแน่ๆ

แน่นอน ว่าผมคิดในใจ ผมจะไปกล้าพูดแบบนั้นออกไปได้ยังไง

อีกฝ่ายเป็นถึงผู้อาวุโสแห่งสํานักอู่ตั้ง ต่อไปหากคิดจะเข้าวงการนี้ ก็ไม่อาจทําให้เขาไม่พอใจได้ง่ายๆ

ผมเพียงยิ้มแล้วพูดว่า “อะ อะไรกันท่านผู้อาวุโสหวัง กาจัดภูติผีปกป้องหนทางที่ชอบธรรมเป็นหน้าที่ของผู้น้อยอยู่แล้ว แล้วจะมีเหตุอะไรให้ไม่ลองเสียงดูละครับ”

ท่านนักพรตหวังถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “ข่าวนี้ไปถึงสํานักนานแล้ว พวกผู้อาวุโสอย่างพวกข้าได้หารือกันแล้ว ในบันทึกโบราณของสํานัก มีบันทึกเกี่ยวกับสํานักชั่วแบบนี้อยู่จริงๆ แต่นั่นเป็นเรื่องเมื่อหลายร้อยปีก่อน ในยุคสมัยที่เสื่อมโทรมแบบนี้ ผู้อาวุโสอย่างพวกเราไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมีพลังปีศาจที่ทรงพลังมากอยู่…..”

“ ดังนั้น ดังนั้นถึงได้บ้าบินแบบนี้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าแค่สาขาย่อยสาขาเดียว จะมีผู้ทรงพลังแบบนี้อยู่

เฮ้อ ! ค่านวณผิดไป ค่านวณผิดไปจริงๆ……”

ท่านนักพรตหวังบ่นกับตัวเอง พอพูดถึงตรงนี้ เพราะเลือดลมสูบฉีดเกินไป เลยไอเป็นเลือดออกมาอีกครั้ง

“ผู้อาวุโสไม่ต้องทําแบบนี้ ต่อไปเราระวังหน่อยก็ได้แล้วครับ” ผมรีบพูด

เพราะเห็นผู้อาวุโสหวังรู้สึกผิดและโทษตัวเองจริงๆ และไม่ได้เป็นการแสร้งทําออกมา

การมาคราวนี้ อาจเป็นเหมือนที่เขาพูดจริงๆ เพราะได้รับข้อมูลที่ไม่เพียงพอ ทําให้เราเป็นฝ่ายประมาทศัตรู และบุกเข้ามาอย่างรีบร้อนเอง

ต่อจากนั้น ท่านนักพรตหวังก็ไม่พูดอะไรอีก เขาเอนตัวพิงเตาเผา ผ่านไปไม่นานเขาก็นอนหลับไป

ส่วนพวกอาจารย์ พอออกไปก็ไม่กลับมาเป็นครึ่งชั่วโมง

สาวกสํานักสื่อเยู่ที่นอนตายอยู่ที่นี่ กลับเริ่มเน่าเละ

บนร่างกายมีหนอนคลานออกมาจํานวนมาก เพียงแค่ครึ่งชั่วโมง ร่างของพวกเราก็เหมือนตายไปแล้วสามเดือน หรือแม้แต่สามปี มันเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว จนเหลือแต่กระดูก

และแม้แต่พวกกระดูก ก็เน่าผุ มีสภาพไม่ครบสมบูรณ์อย่างที่ควรเป็น

สุดท้ายก็เปลี่ยนสภาพเป็นเศษซากสีดาเน่าๆผๆ ทิ้งของเหลวดาๆเอาไว้บนพื้น มันมีกลิ่นเหม็นคาวยิ่งกว่าอะไรดี

ผ่านไปเพียงพักเดียวสายลมอันเย็นยะเยือกก็ปรากฏขึ้น มู่หลงเหยียนลอยกลับมา หาผมเป็นคนแรก

เมื่อเห็นมู่หลงเหยียนกลับมา ผมก็ดูดีใจมาก รีบถามเธอว่า “น้องศพ เธอ เธอกลับมาแล้ว !”

หลังจากพูดจบ ผมก็ยันเตาเผาเพื่อผยุงตัวเองให้ลกขึ้น

มู่หลงเหยียนหายใจ เธอมาปรากฏตัวข้างผมและช่วยประคองผม เห็นได้ชัดว่าเธอดูเศร้าหน่อยๆ

“ขอโทษนะเจ้ากากฉัน ฉันฆ่าเจ้าหมอนั้นไม่ได้ ปล่อยให้มันหนีไปได้…”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset