ศพ – ตอนที่ 482 ทําลายยา

ตอนที่ 482 ทําลายยา

หลังได้รู้สถานการณ์ด้านนอกโกดังจากปู่หลิวและยายหูชีแล้ว ผมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลและเสียใจ

ผู้นําและสาวกหลายสิบคนหนีไปได้ ผลที่ตามมาไม่ต้องคิดก็รู้อยู่แล้ว

สาวกสํานักสื่อเย่พวกนี้ต้องกินยากลายร่างเป็นช่วงๆ เพื่อควบคุมพลังปีศาจในร่าง

ด้วยเหตุนี้ พวกมันต้องโดนผู้นําเรียกมารวบตัวได้อย่างง่ายดายแน่ๆ

หรือจะพูดอีกอย่างคือการมาในครั้งนี้ของพวกเรา เป็นแค่การสร้างความเสียหายอย่างแรงให้อีกฝ่าย

แต่ไม่ได้กําจัดอีกฝ่ายให้สิ้นซากจริงๆ

รอให้อีกฝ่ายได้กลับมารวมตัวใหม่เมื่อไหร่ ภัยร้ายและอันตรายที่พวกเราต้องเผชิญก็คงเพิ่มขึ้นหลายเท่าอย่างแน่นอน

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกเสียใจพอสมควร

แต่เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว เสียใจไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาตอนนี้สิ่งที่พวกเราต้องแก้ไขและเผชิญคือจะทํายังไงต่อ

ควรจัดการทุกอย่างที่นี่ยังไงต้องรู้ว่าที่นี่ไม่ใช่ป่ารกร้างไร้ผู้คน

ฉากหน้าของที่นี่ ยังเป็นบริษัทขนส่งแห่งหนึ่งอยู่

ในสายตาของคนทั่วไปที่นี่เป็นสถานที่ธรรมดาแห่งหนึ่ง

แต่ตอนนี้ พวกเราฆ่าคนหลายสิบคนตายที่นี่และหลงเหลือเพียงเศษซากกระดูกที่เน่าเปื่อย

ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป ต้องส่งผลกระทบต่อสังคมและทําให้ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างแน่นอน

เพิ่งคิดถึงตรงนี้ อาจารย์ท่านนักพรตต์ หยางเจ่ว นุ่ยเฉิงจิงและคนอื่นๆก็เริ่มทยอยกลับมา

ทุกคนถามผมว่าเป็นยังไงบ้าง ผมบอกว่าไม่เป็นอะไร ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว

เมื่อทุกคนได้ยินว่าผมไม่เป็นอะไรมากแล้ว ก็สบายใจขึ้นมาทันที

ต่อจากนั้น ทุกคนก็พักกันครู่หนึ่งพูดผลการต่อสู้ของพวกเขาที่ละคน และพากันวิเคราะห์จํานวนสาวกที่หนีรอดไปได้

หลังจากสํารวจและไล่ล่าแล้ว เราก็สรุปได้ว่าคนส่วนใหญ่หนีไปได้ ซึ่งมีจํานวนประมาณ 6090 คนได้

ตอนนี้ทั่วทั้งบริษัทหมิงโลจิสติกส์เหลือเพียงแค่พวกเราไม่กี่คนนี้

ส่วนสาวกที่หนีรอดไปได้หากคิดจะออกไปตามหาตอนนี้ มันก็แทบเป็นไปไม่ได้แล้ว

รูปลักษณ์ภายนอกของคนพวกนั้นไม่ต่างอะไรจากคนปกติเลยสักนิด เมื่อเข้าไปปะปนกับผู้คนแล้ว

ก็จะสามารถหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

สําหรับเรื่องนี้ ทุกคนเป็นเหมือนผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ แต่เราก็ไม่ได้ออกไปไล่ตาม

ตอนนี้ได้ยินเพียงท่านนักพรตต์พูดว่า “พวกสาวกสํานักสื่อเย่ที่หนีไปได้ พวกเราจะไม่ไปตาม หาชั่วคราวตอนนี้ เราควรรีบพาท่านนักพรตทั้งสองไปโรงพยาบาล ในเวลาเดียวกันก็ต้องเก็บกวาดสิ่งต่างๆที่อยู่ที่นี่ !”

หลังฟังจบ อาจารย์ก็พยักหน้าเบาๆ จากนั้นพวกเราก็ได้ยินอาจารย์พูดขึ้นมาว่า “อ๋อ ! เหล่า พูดถูกแล้วเจ้ายาที่หลอมอยู่ในเตานี พวกสํานักสื่อเย่ดูจะให้ความสําคัญสุดๆ ไม่ว่ายังไงเราก็จะเหลือของนี่ทิ้งเอาไว้ให้พวกมันไม่ได้ ไม่เพียงแค่ทําลายมัน แต่เราต้องทําลายของปรุงยาทั้งหมดที่อยู่ในนี้ด้วยต้องทําให้เจ้าสํานักสื่อเย่ได้ลิ้มรสชาติขมขึ้นในการปรุงยาความเสียใจที่โดนทําลายของสําคัญ

อาจารย์พูดด้วยสีหน้าซีเรียส หลังทุกคนได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ก็พากันพยักหน้ารับ บอกว่าเห็นด้วยทันที

ในเวลาเดียวกัน ผมก็พูดเพิ่ม “ถึงที่นี่จะเป็นฐานของสํานักชั่ว แต่ภาพลักษณ์ภายนอก ไม่ว่าจะพูดยังไงที่นี่ก็ยังเป็นบริษัทแห่งหนึ่ง และมีพนักงานกว่าหลายร้อยชีวิต”

“ถ้าพวกเราออกไปทั้งๆแบบนี้ หากคนนอกเข้ามาเห็นฉากนี้เข้าละก็ หรือมีข่าวแพร่ออกไป คงทําให้เกิดความตื่นกลัวและการคาดเดาไปต่างๆนานาแน่ !”

“ถึงจะพูดแบบนั้น แต่พวกเราควรจะทํายังไงละ ?” หยางเฉ่วถามด้วยความสงสัย

เนื่องจากที่นี่มีเศษซากกระดูกคราบเลือดสีดํา กระจายอยู่ทุกที่

แม้พวกเราคิดจะจัดการที่นี่ แต่ตอนนี้ก็ไม่รู้จะจัดการยังไงดี ! หรืออาจโดนคนอื่นมาเจอได้ง่ายด้วย

ระหว่างนั้นทุกคนดูค่อนข้างกังวล แต่ผมกลับคิดวิธีออกนานแล้ว

ผมจึงพูดกับหยางเนิ่วและทุกคนอีกครั้ง “ ง่ายมาก เราก็เผาโกดังและบริษัทนี้ให้ราบถึงสุดท้ายจะมีกระดูกเหลืออยู่ แต่มันก็เป็นเรื่องปกติ มีชีวิตไม่เห็นคน ตายไม่เห็นศพสุดท้ายก็เหลือแต่กองไฟกองหนึ่ง

ส่วนเรื่องอื่นพวกเราไม่ต้องสนใจอะไรมาก……”

หลังฟังผมพูดจบทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองหน้ากัน

ถึงวิธีนี้จะดูบ้าบินไปหน่อย แต่มันก็ปกปิดร่องรอยได้จริงๆ

ยังไงที่นี่ก็เต็มไปด้วยกองกระดูกไม่ว่าใครมาเห็นก็ต้องรู้สึกไม่อยากเชื่อทั้งนั้น

หลังเพลิงลุกไหม้ มันอาจลุกลานไปไม่มากก็น้อย แม้ว่าคนอื่นจะเห็นบางอย่าง

แต่เพราะเคยโดนไฟเผามาก่อน ก็คงไม่ทําให้ผู้คนเก็บเอาไปวิพากษ์วิจารณ์หรือเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมากนัก……

หลังตัดสินใจได้แล้ว ทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย

ต่อจากนั้น พวกอาจารย์ก็ใช้บันไดเลื่อน เปิดเตาเผาอันนั้น ใช้ตะขอเหล็กขนาดใหญ่เอายาที่หลอมอยู่ในนั้นออกมา

มันเป็นยาขนาดเท่ากํามือสีแดงฉานเฉกเช่นเดียวกับสีเลือด และยังส่งกลิ่นหอมของยาออกมา

แต่สิ่งที่ผิดแปลกไปก็คือ แม้เจ้านี้จะดูเหมือนเม็ดยาแต่มันกลับเหมือนหัวใจสามารถเต้นได้เช่นเดียวกัน

แม้จะไม่มีเสียง แต่มันก็เหมือนหัวใจและลูกโป่งไม่มีผิด พองขึ้นและยุบลง แม้จะเป็นการเคลื่อนไหวที่เล็กมาก

แต่มันกลับดูแปลกประหลาดมากทําให้คนรู้สึกเหมือนเห็นภาพลวงตา ว่านี่คือหัวใจดวงหนึ่ง

เจ้านี่น่าจะเป็นโอสถโลหิตศพที่เจ้าหลิงเทียนนั้นพูดถึง แต่เจ้านี้มีกลิ่นหอม หรือแม้แต่ยัง “ขยับ” ได้

แต่ผมรู้ดี เจ้านี่ทํามาจากเลือดและศพของชีวิตคนเกิดปีหยินเดือนหยิน เป็นของที่ต่าช้ามาก

ทุกคนมองมันสักพักด้วยความตกใจ ต่อจากนั้นก็ได้ยินท่านนักพรตติพูดว่า “เหล่าติง เจ้านี่เป็นสิ่งชั่วช้า ทําลายมันเลยเถอะ !”

เด็กอย่างพวกเราก็พยักหน้าเบาๆ คิดว่าไม่ควรเก็บเจ้าสิ่งนี้เอาไว้

ขณะที่มือถือมันเอาไว้อาจารย์ก็ตอบรับว่า “ซื้อ” “ข้าจะทําลายมันเดี๋ยวนี้แหละ !”

หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็โยนเจ้าสิ่งนี้ลงพื้น

เจ้าสิ่งนี้เพิ่งตกลงบนพื้นเสียง “เพล้ง” เหมือนเสียงแก้วแตกก็ดังขึ้น พร้อมกับตัวยาที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ

หลังจากนั้นของเหลวสีแดงสดก็ได้ออกมาจากข้างในจํานวนมาก หรือแม้แต่ยังมีหมอกสีเลือดปรากฏขึ้นด้วย

ในขณะที่หมอกสีเลือดนี้ปรากฏขึ้น มันก็แพร่กระจายไปทั่วพื้น

ทุกคนตกใจปู่หลิวและยายหูชีรีบพูดขึ้นมาทันที “รีบถอยเร็ว !”

ทุกคนไม่ใช่มือใหม่ แม้จะไม่รู้ว่าเจ้าหมอกเลือดนี้คืออะไรแต่เราก็ไม่ยืนโง่อยู่ที่เดิมแน่

ทุกคนถอยไปทันที เว้นระยะห่างจากหมอกเลือดนั่น

หมอกเลือดกระจายตัวเร็วมากเราอาจโดนไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้เห็นอะไรผิดปกติไป

แต่สิ่งสําคัญก็คือ วินาทีที่พวกเราถอยออกไป พวกเรากลับพบว่าในหมอกเลือก มีร่างของใครบางคนอยู่สภาพของเขาเหมือนกําลังพยายามลุกขึ้นจากกองเลือดพวกนั้น

“นั่น นั่นมันอะไร ?” ผมพูดด้วยความตกใจ และหลี่ตาลง

“เหมือน เหมือนจะเป็นคนนะ !” เหล่าเฟิงก็ตกใจ

“ทุกคนระวังตัวให้ดี มันมีกลิ่นศพและเลือดแรงมาก !” ท่านนักพรตต์ก็พูดขึ้นมาพร้อมสังเกตสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

แต่คนที่ลุกขึ้นมาจากกองเลือดนั่น เพิ่งลุกขึ้นยืนได้ กลับเป็นเหมือนไอติมที่ละลายอย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่ถึง 5 วินาที เขาก็กลายเป็นเลือดกองหนึ่ง

ในขณะที่คนสีเลือดคนนั้นจากไป หมอกเลือดพวกนั้น ก็ค่อยๆจางหายไปเช่นกัน

เลือดที่แดงจนผิดปกติกองนั้น ก็ค่อยๆกลายเป็นสีดํากลิ่นหอมนั่น ก็ค่อยๆหายไปกลายเป็นกลิ่นเหม็น

หลังเห็นร่างสีเลือกของใครคนนั้นหายไป ทุกคนถึงได้รู้สึกสบายใจขึ้นมา

อาจารย์ถอนหายใจยาวๆ “ เจ้ายานี่แปลกประหลาดจริงๆ ตอนนี้ทําลายเสร็จแล้วต่อไปพวก เราก็ทําลายเตานี่กันเถอะ ! เสี่ยวฝาน เด็กอย่างพวกแกไม่กี่คนพานักพรตหวังและนักพรตเฉินออกไปจากที่นี่ก่อน

ที่เหลือปล่อยให้พวกอาจารย์จัดการเอง !”

สําหรับอาจารย์ ผมยังเชื่อใจเขามาก

ผมพยักหน้าให้อาจารย์ จากนั้นก็เริ่มพาท่านนักพรตทั้งสอง และเหล่าฉันออกไปจากที่นี่พร้อมกับฉ่ยเฉิงจิง เหล่าเฟิง หยางเนิ่วและหูเหมย

ส่วนอาจารย์และพวกปู่หลิ่วก็เริ่มทําลายเตา

เสียง “ปังๆๆ” ดังขึ้นไม่หยุด ปู่หลิวเดินพลังปีศาจ ซัดฝ่ามือไปที่ด้านบนเตา ทําลายโครงสร้างทั้งหมดของเตา

ส่วนพวกเรา ก็ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ ค่อยๆเดินออกไปจากโกดังทันที

แต่สิ่งที่แปลกก็คือ พวกเราไม่กี่คนเพิ่งเดินออกมาจากโกดัง กลับมีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นอย่างพร้อมเพรียง

นั่นก็คือเสียงไอที่ผิดปกติ…

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset