ศพ – ตอนที่ 485 สมบัติลับสํานักศพ

ตอนที่ 485 สมบัติลับสํานักศพ

หลังฟังมู่หลงเหยียนพูดจบผมก็พยักหน้าให้เธอ

แม้ผมจะอยากรักษาสถานะในตอนนี้เอาไว้แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าผมเป็นไอ้โงไร้สมอง

ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากยุติการแต่งงานนี้ เพราะมันดีต่อผมและมู่หลงเหยียน

ผมพยักหน้าให้มู่หลงเหยียนอย่างหนักแน่น ในเวลาเดียวกันก็คลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย

และในเวลานี้เองสาวใช้ที่ออกไปก่อนหน้านี้ ก็ถือกล่องใบหนึ่งกลับมา

“คุณหนู เอาของมาแล้วเจ้าค่ะ !” สาวใช้พูดด้วยความเคารพ หรือแม้แต่คุกเข่าลงบนพื้น

เมื่อม่หลงเหยียนเห็นเธอหยิบของมาแล้วก็ทําหน้าดีใจ แล้วพูดกับผมอีกครั้ง “เจ้ากาก มาดูของที่ฉันจะให้นายซิว่าเป็นอะไร !”

มู่หลงเหยียนทําท่าทางลับๆล่อๆ ต่อมเผือกของผมก็ผุดขึ้นมาทันที

“คือต้องทําลับๆล่อๆขนาดนั้นเชียว !”

มู่หลงเหยียนยิ้มหวานไม่พูดจา แต่เดินเข้าไปหาสาวใช้คนนั้นแทน

ผมเดินตามไปข้างหลัง

ยายโม่ยังเป็นแบบเดิมเสมอยืนอยู่ด้านข้าง คลี่ยิ้มออกมาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

มู่หลงเหยียนเอื้อมมือไปหยิบกล่องมาถือไว้ แล้วพูดกับสาวใช้ว่า “สั่งการลงไปคอยเฝ้าระวังทุกที่อย่างเคร่งครัดโดยเฉพาะพื้นที่ปลูกหญ้าหยินจ่าว หากมีลมพัดหญ้าขยับให้มารายงานทันที”

“เจ้าค่ะ คุณหนู !” สาวใช้ขานรับ

มู่หลงเหยียนพยักหน้าเบาๆ “ออกไปเถอะ !”

สาวใช้ทําตามคําสั่ง ส่วนมู่หลงเหยียนถือกล่องหันมาพูดกับผม “เจ้ากาก ของที่อยู่ในนี้ เป็นของทั้งหมดที่ฉันมีอยู่ตอนฉันมีชีวิตและเป็นของสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ ฉันคิดจะยกมันให้นาย ถ้าชอบนายก็เก็บรักษามันดีๆ”

ขณะมองท่าทีที่จริงจังของมู่หลงเหยียน ผมก็อดซีเรียสขึ้นมาไม่ได้

ของสิ่งเดียวที่เหลือจากตอนที่มู่หลงเหยียนยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้เธอคิดจะมอบมันให้ผม

มิตรภาพนี่มันดูยิ่งใหญ่ไปแล้วมั้ง

เห็นได้ชัดว่าผมค่อนข้างตกใจ “แบบ แบบนี่มันไม่ค่อยดีมั้ง ! นี่ นี่เป็นของชิ้นเดียวที่เธอมีอยู่ตอนมีชีวิตเลยนะ !”

มู่หลงเหยียนมองกล่องไม้ แล้วคลี่ยิ้มออกมา “ก็จริง แต่ตอนนี้มันไม่มีประโยชน์กับฉันแล้ว ไม่มีสํานักศพแล้ว เจ้านี่ไม่ใช่แค่ของชิ้นเดียวในตอนที่ฉันยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น แต่มันยังเป็นหลักฐานการมีอยู่ของสานักศพของพวกเราด้วย !”

พอได้ยินค่าว่า “สํานักศพ” สองคํานี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นมาพักหนึ่ง

ก่อนหน้านี้หยางเจ๋วเคยเล่าให้ผมฟังว่าชื่อเดิมของสํานักศพก็คือสํานักหยินชื่อ

ศิษย์ในสํานักศพไม่ใช่คนไม่ใช่ศพไม่มีหยินไม่มีหยาง และชอบใช้คนเป็นมาหลอมยาเพิ่มพลังตัวเอง

วิชายิ่งสูงก็ยิ่งต้องหลอมเยอะเท่านั้น

ต่อมาจึงโดนสานักต่างๆในใต้หล้ารวมตัวกันโค้นล้ม

ผมสุดหายใจเข้าลึกๆจากนั้นก็พูดกับมู่หลงเหยียนว่า “สํานักหยินชื่องั้นเหรอ ?”

จ่ๆม่หลงเหยียนก็ได้ยินผมพดสามค่านี้ เธอเลยอดไม่ได้ที่จะอึ้งไปพักหนึ่ง พร้อมจ้องเข้าไปในตาผม

ต่อจากนั้น เธอก็พยักหน้าแรงๆให้ผมอีกรอบ “ใช่สํานักหยินชื่อ หรือสํานักศพล้วนเป็นค่าเรียกของสํานักเราทั้งนั้น แต่ตอนมันตกอยู่ในมือของฉัน มันก็มาถึงทางตัน…”

พอพูดถึงตรงนี้ มู่หลงเหยียนก็ดูค่อนข้าง ผิดหวัง เสียใจ เหมือนเธอในอดีตจะมีความทรงจําแย่ๆมากมาย

ผมไม่ได้ถามออกไป ผมคิดว่า มู่หลงเหยียนไม่ใช่คนที่จะเอาชีวิตคน มาหลอมยาเพื่อฝึกวิชามารเพื่อเพิ่มพลังให้ตัวเองได้

พอตายแล้วเธอยังเป็นแบบนี้เลย ตอนมีชีวิตก็ยิ่งเป็นคนชั่วฝึกวิชามารอย่างที่หยางเจ่วพูดไม่ได้อย่างแน่นอน

ผมไม่พูดจาเพียงยืนมองมู่หลงเหยียนเท่านั้น

หลังมู่หลงเหยียนเลิกลักอยู่พักหนึ่ง เธอก็พูดต่อ “สานักศพของพวกเราเป็นสํานักที่ชอบธรรม แต่เป็นเพราะเมื่อ 300 ปีก่อนมีการต่อสู้แย่งชิงอําานาจเกิดขึ้น ทําให้สํานักตกต่าลง”

“จนเดินเข้าหาบรรพบุรุษที่ฝึกวิชามารเพื่อความเป็นอมตะบำเพ็ญตนอย่างหน้าไม่อาย ถึงจะใช้ชีวิตคนเป็นก็ไม่รู้สึกผิดใดๆ”

“ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สํานักศพของพวกเราก็โดนจัดว่าเป็นสํานักชั่ว ชอบใช้ชีวิตคนมาฝึกวิชาหลอมยา ดังนั้นการเข่นฆ่า และภัยร้ายต่างๆก็เกิดขึ้นติดต่อกันมาหลายร้อยปี สํานักฉันได้แต่ประคองสํานักให้อยู่รอดต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันตกมาอยู่ในมือของฉันกับโจวหยุนเดิมทีพวกฉันสองคนคิดจะฟื้นสานักให้กลับมาดีขึ้นแต่……”

พอพูดมาถึงตรงนี้ มู่หลงเหยียนก็เหมือนคนเป็น เธอถอนหายใจ แล้วเผยสีหน้าจนปัญญาออกมา

“แต่ฉันกับโจวหยุนกลับตายติดๆกัน โดนองค์กรตาผีจับวิญญาณไป แล้วยังโดนดึงที่มาของวิญญาณออกกลายเป็นหุ่นเชิด มาร่วมร้อยกว่าปี…..”

พอพูดถึงตรงนี้ ผมก็อดตกใจไม่ได้

ที่แท้สํานักศพที่โดนเรียกว่าสํานักชั่วร้ายก็มีที่มาที่ไปแบบนี้

ถึงว่าท่าไมตอนนั้นมู่หลงเหยียนถึงให้ผมเรียกเธอว่าน้องศพ ที่แท้คําว่า “ศพ” ก็มาจากภาระในการฟื้นสํานักขึ้นมานี่เอง

ถ้าเป็นเมื่อก่อน มู่หลงเหยียนต้องไม่ยอมเล่าเรื่องพวกนี้ให้ผมฟังแน่ๆ แต่ตอนนี้มีหลงเหยียนกลับเล่าเรื่องที่เกิดกับเธอให้ผมฟัง

ผมเชื่อเธอผมคิดว่าสิ่งที่มู่หลงเหยียนพูดออกมาเป็นเรื่องจริงทั้งหมด

ตัวผมเองก็แสดงท่าทางจริงจัง ตอนนี้มองไปที่กล่องไม่ใบนั้นอีกครั้ง “ข้างในกล่องนั่นใส่อะไรไว้เหรอ ?”

มู่หลงเหยียนกาลังถือกล่องอยู่เธอใช้มือเปิดฝากล่องออก

“เป็นสมบัติที่สืบทอดต่อกันมาในสานักฉันมีดปลิดวิญญาณ……”

มู่หลงเหยียนเพิ่งพูดถึงคําว่า “มีดปลิดวิญญาณ” สองค่านี้ มู่หลงเหยียนก็เปิดกล่องเสร็จแล้ว

ในวินาทีที่กล่องถูกเปิดออก ม่านตาของผมก็ขยายใหญ่ทันที

ในช่วงเวลานั้น ผมพบว่าในกล่องใบนี้ ใส่มีดสั้นเล่มเล็กเอาไว้หนึ่งด้าม

มีดสั้นอันนั้นมีขนาดไม่เกินฝ่ามือค่อนข้างเล็ก ด้านนอกมีตัวฝึกหุ้มอยู่

ตัวฝักไม่ได้วิจิตรอะไร มันค่อนข้างเก่าหรือจะพูดง่ายๆว่าค่อนข้างน่าเกลียด

แต่ในสายตาของมู่หลงเหยียน เหมือนกับมันเป็นสมบัติล่าค่าชิ้นหนึ่ง

ม่หลงเหยียนค่อยๆหยิบมีดสั้นออกมา “เจ้ากาก นี่ก็คือมีดปลิดวิญญาณ มันถูกสืบทอดต่อกันมาในสํานักของฉันนับพันปี ตัวมีดคมมากตัดได้แทบทุกสรรพสิ่ง และมันมีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง….”

“ความสามารถพิเศษ ?” ผมถามด้วยความสงสัย และมองมู่หลงเหยียนที่กําลังดึงมีดออกมาทีละนิดๆ

มู่หลงเหยียนไม่ได้ตอบกลับ เพียงค่อยๆดึงมีดสั้นออกมา

ผมทําตาโตตัวมีดคมกริบ ต้องเป็นมีดที่ดีแน่ๆ

ภายนอกดูเรียบง่าย ตัวดาบด้านในกลับมีความหนาวเหน็บอันน่ากลัว และจิตสังหารออกมา

ในขณะที่กําลังคิดแบบนี้ แต่หลังมู่หลงเหยียนถึงมีดสั้นออกมาแล้ว ผมก็มีนในทัน

ผมเห็นเพียงตัวดาบเล่มนั้น มีสีน้ําตาลแกมเทาสภาพขึ้นสนิม และดูท่าจะหักแหล่ไม่หักแหล่

ผมอึ้งในทันที เมื่อกี้เพิ่งบอกว่าความหนาวเหน็บอันน่ากลัว และจิตสังหารซะดิบดี

ท่าไม ทําไมถึงเป็นมีดขึ้นสนิมได้ละ มู่หลงเหยียนคงไม่เอามีดเน่าๆ มาหลอกผมหรอกมั่ง

ผมทําหน้าเลิ่กลั่ก “นี่ นี่ก็คือคมมาก ตัดได้แทบทุกสรรพสิ่ง ?”

พอมู่หลงเหยียนเห็นท่าทีของผม มุมปากของเธอกลับกระตุกยิ้มขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็สะบัดมือถือมีดเล่มนั้นไปตรงโต๊ะหินตัวข้างๆ

ต่อจากนั้น ฉากที่น่าตื่นตาก็เกิดขึ้น

ผมได้ยินเพียงเสียงดัง “ปัง” เจ้าโต๊ะหินอันนั้นโดนฟันจนเป็นรอยหรือก็คือรอยมีดสั้นเล่มนั้น

ส่วนมีดสั้นในมือมู่หลงเหยียน กลับไม่เป็นอะไรเลยสักนิดมันยังโทรมเหมือนเดิม

เมื่อเห็นถึงตรงนี้ ผมก็อ้าปากค้างทันที

อย่างน้อยเจ้าโต๊ะอันนั้นก็หนาประมาณ 15 เซนติเมตรได้ โต๊ะหินที่หนาขนาดนั้นอย่าพูดว่าจะตัดมันขาดเลยฟันลงไปมีดไม่มิ่น ก็ถือว่าเป็นมีดที่ดีแล้ว

แต่มีดเล่มนี้ กลับเป็นมีดเหนือมีดตัวมันเอง กลับไม่เป็นรอยขีดข่วนเลยสักนิด

ของดีของดีจริงๆ

ม่หลงเหยียนเห็นผมทําหน้าตกใจ ตัวเธอยังยิ้มแบบเดิม “ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ร้ายกาจที่สุดของมีดปลิดวิญญาณจุดที่ร้ายกาจของมัน ก็คือสามารถดูดซับวิญญาณ…”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset