ศพ – ตอนที่ 489 อันตรายในการกลายร่างเป็นปีศาจ

ตอนที่ 489 อันตรายในการกลายร่างเป็นปีศาจ

ในวินาทีนั้น จู่ๆผมก็คิดถึง “โอสถโลหิตศพ” ที่อาจารย์เอาออกมาเม็ดนั้น และภาพสุดท้ายที่มันแตกกระจายบนพื้น

ผมยังจําได้อย่างชัดเจน วินาทีที่โอสถ โลหิตศพโดนทําลาย จู่ๆก็มีหมอกสีแดงกระจายตัวออก
มา

เจ้าหมอกนั่นกระจายตัวเร็วมาก ตอนนั้นพวกเราเองก็ถือว่าตอบสนองเร็วเช่นกัน แต่ยังไงก็น่าจะสัมผัสโดนบ้าง

เพียงสัมผัสโดนนิดหน่อยมันก็อาจซึมเข้าร่างพวกเรา

โอสถ โลหิตศพเม็ดนั้นแปลกมาก ด้านในมีของเหลวสีแดงอยู่ และยังแปลสภาพคล้ายคน แม้สุดท้ายจะสลายกลายเป็นของเหลวสีดําที่เหม็นมากก็ตาม

ตอนนั้นพวกเราไม่พบความผิดปกติใดๆ เรื่องนี้เลยโดนปล่อยผ่านไปทั้งแบบนั้น

หลังจากนั้น กลุ่มของพวกเราก็เดินทางออกมาจากโกดัง

และในวินาทีที่ออกมาจากโกดังนั่นแหละที่กลุ่มของพวกเราเริ่มมีอาการไอ

และเป็นเพราะรีบออกมา เลยไม่ได้เก็บมาใส่ใจ

เหมือนตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมาพวกเราทุกคนก็เริ่มมีอาการไอเบาๆติดต่อกันมาเรื่อยๆ

พอเชื่อมโยงเรื่องพวกนี้ มาจนถึงการเปลี่ยนสภาพในคืนนี้ ผมก็ต้องตกใจ เมื่อพบว่าสาเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้ ชี้ไปที่โอสถโลหิตศพที่ยังหลอมไม่เสร็จเม็ดนั้น

พอคิดถึงตรงนี้ หน้าผมก็ถอดสีทันที

พูดกับมู่หลงเหยียนว่า “ฉันคิดออกแล้ว โอสถโลหิตศพ เป็นเพราะเจ้าโอสถโลหิตศพเม็ดนั้น”

“โอสถโลหิตศพ” มู่หลงเหยียนไม่เห็นเหตุการณ์นั้น จึงเป็นธรรมดาที่เธอจะไม่เข้าใจ

แต่ตอนนี้ผมไม่มีเวลามาอธิบาย เพราะตอนนั้นไม่ได้มีแค่ผมคนเดียว ทุกคนอยู่ที่นั้นทั้งหมด

ถ้าผมโดน งั้นอาจารย์ ท่านนักพรตต์ เหล่าเฟิง หยางเฉ่ว ปู่หลิวและคนอื่นๆก็อาจเป็นเหมือนผม

หมอกแดงซึมเข้าร่างโดนพลังปีศาจแทรกซึมอยู่ในร่างโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว

ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ งั้นมันก็น่ากลัวจริงแล้วละ

ดังนั้น ผมเลยรีบพูดกับมู่หลงเหยียนด้วยน้ําเสียงตกใจ “แย่แล้ว ! นอกจากนั้นแล้วตอนนั้น ทุกคนก็อยู่ด้วยเกรงว่าทุกคนคงโดนหมอกของเจ้าโอสถโลหิตศพนั่นไปไม่มากก็น้อย…..”

ผมรีบพูดมู่หลงเหยียนและยายโม่กลับดูท่าไม่ค่อยเข้าใจ

แต่ผมกลับไม่มีเวลามานั่งอธิบาย ผมรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาคิดจะโทรหาอาจารย์

แต่หลังหยิบโทรศัพท์ออกมา ผมกลับพบว่าที่นี่ไม่มีสัญญาณ

“เวรเอ๊ย !” ผมพูดอย่างหัวเสีย

“เจ้ากาก เกิดอะไรขึ้นกันแน่ นายเล่ามาหน่อยซิ” มู่หลงเหยียนถามต่อ

ผมเห็นโทรศัพท์ไม่มีสัญญาณตอนนี้จึงได้แต่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้มู่หลงเหยียนฟัง

ตอนผมบอกว่า อาจเป็นเพราะหลังโอสถโลหิตศพโดนทําลาย แล้วมีหมอกแดงกระจายตัวออกมาทําให้พวกเราได้รับพลังปีศาจเข้าไปมู่หลงเหยียนก็อดทําหน้าเคร่งเครียดไม่ได้

ในเวลาเดียวกันก็พูดว่า “ถ้าอย่างงั้น นอกจากนายแล้ว ยังมีคนที่เป็นแบบนายอีก 11 คนซินะ”

“ ใช่ ตอนนั้นพวกเรายืนอยู่รอบๆ เจ้าหมอกนั่นกระจายตัวเร็วมากทุกคนอาจเป็นเหมือนฉัน

อาจกําลังกลายเป็นปีศาจ ตอนนี้ต้องรีบบอกทุกคน ไม่ว่าจะเป็นตอบโต้หรือป้องกัน ก็จำเป็นทั้งนั้น ” ผมรีบพูด

หลังมู่หลงเหยียนฟังมาถึงตรงนี้ เธอก็พยักหน้าแรงๆ เธอเข้าใจแล้วว่าอยู่ในสถานกาณ์เร่งด่วน

ทางผมยังดีที่หาวิธีกําราบพลังปีศาจได้ทันเวลา

ถ้าทุกคนเป็นเหมือนผมจริงๆ มีการเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน และไม่มีวิธีกําราบพลังปีศาจ สุดท้ายกลายเป็นตัวประหลาดที่ไม่ใช่ทั้งคนและปีศาจ ทุกอย่างก็สายไปแล้ว

มู่หลงเหยียนเองก็คิดถึงจุดนี้ได้ ในเวลานี้เธอไม่ลังเลเลยสักนิดรีบพูดกับผมว่า “ งั้นก็อย่ารอช้อยู่เลย

รีบออกไปจากที่นี่แล้วโทรศัพท์หาคนอื่นเถอะ ฉันจะไปบ้าน แล้วบอกให้อาจารย์นายรู้ผ่านทางป้ายวิญญาณ

ผมทําหน้าขมขึ้น “อาจารย์ไม่อยู่บ้าน เขาอยู่โรงแรมในเมือง !”

มู่หลงเหยียนเล็กคิ้ว แต่ยังไม่ทันได้พูดออกมา ผมก็ชิงพูดต่อ “ใช่แล้วน้องศพพอเธอไปบ้านฉันแล้ว ช่วยไปศาลเจ้าหลักเมืองในตําบล บอกเรื่องนี้กับปู่หลิวและยายหู อ่อแล้วก็หูเหมยด้วย ฉันเองก็จะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้แหละ ถ้ามีสัญญาณแล้วฉันจะรีบโทรหาพวกเขาเลย……”

หลังจากพูดจบ ผมก็ไม่สนใจอย่างอื่น เริ่มวิ่งออกไปข้างนอกทันที

ม่หลงเหยียนไม่ได้ห้าม เธอพูดออกมาตรงๆ “ได้ ! ฉันจะไปเดียวนี้แหละ ! ยาย ยายตามติงผ่านไป”

“เจ้าค่ะคุณหนู !” ยายโม่พูดด้วยความเคารพ จากนั้นก็หายตัว รีบตามผมมาติดๆ

ส่วนมู่หลงเหยียนกลับประสานมือตัวสั่น เพียงชั่วพริบตาก็หายตัวไปจากที่นี่แล้ว

เสี้ยววินาทีต่อมา กระแสควันสายหนึ่งก็เริ่มลอยออกมาจากป้ายวิญญาณน้องศพที่อยู่ในบ้านของผม ต่อจากนั้นมันก็รวมตัวเป็นร่างของมู่หลงเหยียน เธอพุ่งออกจากบ้านทันทีตรงไปที่ศาลเจ้าหลักเมือง

ส่วนผมเริ่มวิ่งออกมาจากจวนมู่หลงอย่างกับลมกรด

ผ่านไปไม่นานผมก็มาถึงป่าด้านนอกจวนมู่หลง แต่ที่นี่ก็ยังไม่มีสัญญาณอยู่ดี

ผมเร่งความเร็วกว่าเดิม ส่วนยายโม่ก็คอยตามผมมา

ผ่านไปอีกประมาณ 10 นาทีกว่าๆ ผมก็วิ่งออกมาด้านนอกสุสานไร้ญาติแล้ว

และแล้วฉากที่น่าประหลาดใจก็ปรากฏขึ้น ผมพบว่าวันนี้พระจันทร์กลมเป็นพิเศษ

นี่อาจเป็นตัวกระตุ้นที่ทําให้พลังปีศาจในร่างผมทํางาน ผมจําได้ตอนนั้นก็เพราะค่ําคืนที่มีพระจันทร์เต็มดวงเช่นนี้ จางเทาดันลืมเอาเลือดพกติดตัวมาด้วย และยังโดนเพื่อนคนนึงเห็นตอนเขากําลังกลายร่าง

เขาเลยฆ่าเพื่อนคนนั้นตาย

และเมื่อตอนที่ผมกลายร่างเป็นปีศาจ ก็เพิ่งเข้ายามจอพอดี

สัญญาณทั้งหมดบ่งบอกว่า พวกเราโดนพลังปีศาจซึมเข้าร่าง อาจเป็นเพราะในช่วงเวลานี้ พลังปีศาจในร่างโดนกระตุ้นทําให้เราเริ่มกลายร่างเป็นปีศาจขึ้นมา

พอคิดมาถึงตรงนี้ ผมก็เริ่มกังวลยิ่งกว่าเดิม

แต่สัญญาณที่นี่ไม่ค่อยคงที่บางครั้งมีบางครั้งไม่มี

ผมเลยได้แต่กัดฟัน แล้ววิ่งต่อไปเท่านั้น

แต่ในใจ กลับกําลังกังวลสุดๆ ผลที่ตามมาหลังกลายร่างเป็นปีศาจแล้วไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะรับไหว

ถ้าเป็นแบบผม หยุดได้ก่อนก็คงดี

แม้ตอนนี้จะยังกําจัดพลังปีศาจในร่างออกมาไม่หมด เหลืออยู่ในร่างอีกน้อยนิด แต่อย่างน้อยพอควบคุมแล้วร่างกายตัวเองก็ไม่เปลี่ยนไป

แต่หากกลายร่างเป็นปีศาจสําเร็จ เช่นร่างกายมีคุณสมบัติเหมือนสัตว์ หรือพลังปีศาจในร่างหยั่งรากลึก

งั้นก็จบเห่จริงๆแล้ว

เมื่อเวลานั้นมาถึง ก็จะกลายเป็นตัวประหลาดที่ไม่ใช่ทั้งคนและปีศาจเหมือนพวกสํานักสื่อเย่จริงๆ……

ขณะหอบใจที่เต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ผมก็วิ่งไปต่อได้อีกสองสามนาที ในที่สุดผมก็เห็นว่ามีสัญญาณสองขีด ผมไม่คิดอะไรมากรีบโทรหาอาจารย์ทันที

ผมโทรติดเร็วมาก “ตุ๊ดๆๆ” เสียงรอสายตดังขึ้นพักใหญ่ แต่ไม่มีคนรับสักที

ผมทั้งวิ่งและรอให้อีกฝ่ายรับสายอย่างร้อนใจ ภาวนาให้อาจารย์รีบรับสายเร็วๆ

ท้ายที่สุด หลังเสียงรอสายดังมาพักใหญ่ทางนั้นก็รับสาย

เพิ่มติดต่อไป ผมก็ได้ยินเสียงร้อง “โอ๊ย” อย่างทรมาน

ผมเครียดขึ้นมาทันที รีบพูดกับออกมาว่า “อาจารย์ ตอนนี้อาจารย์เป็นไงบ้าง……”

“ไม่ ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ! เจ็บ เจ็บมาก ร่าง ร่างกายของ ฉันกับเหล่า กําลังเปลี่ยนเป็นปีศาจอ้า…… อาจารย์พูดต่อเขาดูต้องใช้ความพยายามมาก เหมือนกําลังทรมานและเจ็บปวดสุดๆ

ในขณะที่ทางนั้นตอบกลับ นอกจากอาจารย์แล้ว ยังมีเสียงกรีดร้องของลุงตูดังขึ้นเป็นครั้งคราว

ผมใจสั่น เป็นอย่างที่คิดจริงๆ

อาจารย์และลุงตู้ก็สัมผัสกับมัน และเป็นเพราะเข้าช่วงยามซื้อที่พระจันทร์เต็มดวง พวกเขาเลยกําลังกลายร่างเป็นปีศาจเช่นกัน

และพวกเขา ยังไม่รู้วิธีควบคุมการกลายร่างเป็นปีศาจ เลยได้แต่ทนกลับความเจ็บปวด

ผมไม่ได้พูดไร้สาระ รีบพูดต่อทันที “อาจารย์กับลุงตู รีบเดินลมปราณ กําราบพลังปีศาจ มันจะช่วยชะลอการกลายร่าง ผมจะรีบไปหา พวกอาจารย์ทนเอาไว้ก่อนนะ……”

พออาจารย์ได้ยินถึงตรงนี้ เขาก็พยายามขานรับว่า “ได้”

ต่อจากนั้น เขาก็ไม่วางสายด้วยซ้ํา รีบนั่งเดินลมปราณทันที

เรื่องเกิดขึ้นอย่างกระทันกัน พวกเราไม่ได้เตรียมตัวรับมือเลยสักนิด

นอกจากพวกอาจารย์แล้ว หยางเฉ่ว นุ่ยเฉิงจิง เหล่าเฟิงและคนอื่นๆก็อาจมีพลังปีศาจแฝงอยู่ในร่าง

และกําลังกลายร่างเป็นปีศาจ

ด้วยเหตุนี้ หลังบอกวิธีแก้กับพวกอาจารย์แล้ว ผมก็รีบวางสาย วิ่งต่อไปเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันก็โทรติดต่อ

หยางเจ่วและคนอื่นๆ……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset