ศพ – ตอนที่ 491 สถานการณ์ย่าแย่

ตอนที่ 491 สถานการณ์ย่าแย่

เสียงมู่หลงเหยียนเพิ่งเงียบลง ผมก็พูดกับทุกคนว่า “ เมื่อกี้ฉันโทรไปบอกทุกคนแล้ว นอกจากจี่ยเฉิงจังกับ

หยางเนิ่วแล้ว อาจารย์ฉันและท่านนักพรตต์ก็มีอาการกลายร่างเหมือนกัน”

พอเหล่าเพิ่งได้ยินอย่างนั้น ก็อดทําหน้าเครียดไม่ได้ “เหล่าติง งั้นท่านลงถึงกับอาจารย์ฉันอาการแย่ไหม ?”

“ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ แต่ฉันบอกวิธียับยั้งพลังปีศาจกับพวกเขาแล้ว และนอกจากท่านนักพรตตู๋กับอาจารย์ฉันแล้ว ผู้อาวุโสของทั้งสองสํานัก แล้วยังมีเหล่าฉันฉันก็ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง”

ผมทําหน้าหนักใจ ต่อจากนั้นผมก็หันไปพูดกับมู่หลงเหยียนอีกครั้ง “ใช่แล้วน้องศพ แล้วทางพวกปู่หลิ่วเป็นยังไงบ้าง ?”

มู่หลงเหยียนฟังจบ ก็ตอบกลับทันที “ พวกเขาไม่เป็นอะไร บางทีพิษปีศาจคงไม่มีผลใดๆกับพวกเขา

เพื่อป้องกันเอาไว้ก่อน พวกเขาเลยเคลื่อนพลังตรวจดู ส่วนฉันประหยัดเวลา เลยรีบตรงมาที่นี่ทันที

ผมพยักหน้าเบาๆ หากเป็นแบบนี้

ตอนนี้ก็สามารถมั่นใจได้ว่า คนที่ติดพิษมีผม เหล่าเฟิง อาจารย์ ท่านนักพรตต์สี่คน แต่ทุกคนเป็นผู้ชายทั้งหมด ตอนนั้นหยางเนิ่วและนุ่ยเฉิงจิงก็ยืนอยู่ข้างๆผมแต่พวกเธอกลับไม่ติดพิษ

แม้จะสงสัย แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาให้คิดมากนัก เพราะผมกําลังเป็นห่วงพวกอาจารย์

จู่ๆก็เกิดเรื่องขึ้น ผมจึงคิดว่าควรไปดูด้วยตัวเอง

ดังนั้นผมเลยพูดกับทุกคนว่า “ท่านนักพรตต์กับอาจารย์ฉัน แล้วก็ยังมีพวกเหล่าฉินที่พวกเราไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง ตอนนี้อาการของพวกเราคงที่แล้ว พวกเรารีบเดินทางเข้าเมืองกันเถอะ ไม่งั้นฉันคงต้องกังวลอยู่อย่างงี้แน่ๆ”

เหล่าเพิ่งคิดแบบนี้เหมือนกัน เขาเลยพยักหน้าตกลงทันที

ทางมู่หลงเหยียนก็พูด “ซื้อ” พร้อมส่งสัญญาณให้ผมรีบออกเดินทาง

เรื่องก็เป็นแบบนี้ ต่อจากนั้นผมก็ขับรถพาทุกคนไปที่โรงพยาบาลในเมือง

หลังมาถึงโรงพยาบาล เราก็วิ่งไปห้องผู้ป่วยทันที

แต่สิ่งที่แปลกก็คือ หลังพวกเรามาถึงห้องผู้ป่วย กลับพบว่าตอนนี้ในห้องผู้ป่วยมีแต่ความว่างเปล่า ไร้เงาคน

ผมออกไปถามพยาบาลที่เข้าเวร แต่พยาบาลกลับบอกว่าไม่รู้เหมือนกัน

ผมเลยยืนอึ้งทันที จากนั้นก็โทรหาหยางเจ่ว

หลังโทรติดแล้วผมถึงได้รู้ว่า ที่แท้นักพรตเฉินกับนักพรตหวังแล้วยังมีเหล่าฉันตอนที่เริ่มมีอาการกลายร่างพวกเขาก็ได้ศิษย์สองคนที่เฝ้าผู้อาวุโสทั้งสองพาตัวออกจากโรงพยาบาล และ ตอนนี้ก็กําลังอยู่ในสวน

สาธารณะเล็กๆแถวนี้

ตอนนี้หยางเจ่วและนุ่ยเฉิงจิง ต่างอยู่ที่นั้นแล้ว และกําลังช่วยกันทําให้พลังปีศาจที่บ้าคลั่งในร่างทั้งสามคนกลับมาสงบดังเดิม

ส่วนสถานการณ์ของนักพรตทั้งสองและเหล่าฉัน ตอนนี้สามารถพูดได้ว่าไม่อาจมองในแง่ดีได้เลย

ไม่เพียงร่างกายมีอาการกลายร่างเป็นปีศาจในระยะแรก แม้แต่การเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติก็มีให้เห็น

มีโอกาสสูงที่จะเปลี่ยนเป็นปีศาจในระยะแรกได้สําเร็จ

การกลายร่างเป็นปีศาจในระยะแรก เป็นตัวตัดสินของการกลายร่างเป็นปีศาจของศิษย์สํานักลื่อเย่

ในระยะแรกมือเท้าทั้งสองจะเปลี่ยนเป็นเหมือนอุ้งเท้าของสัตว์

เมื่อมาถึงขั้นนี้ ก็ไม่อาจเปลี่ยนกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ง่ายๆอีก

หรือก็คือ หากกลายร่างในระยะแรกสําเร็จ ก็ไม่อาจช่วยได้ง่ายๆ อย่างน้อยตอนนี้เราก็ไม่มีทางแก้

เมื่อได้ยินข่าวนี้ ทุกคนก็กังวลมากรีบตรงมาที่สวนสาธารณะแห่งนั้นทันที

ส่วนพวกอาจารย์ พวกเราไม่แน่ใจว่าพวกเขาพักอยู่ที่ไหน ดังนั้นเลยไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนกันแน่

แน่นอน ตอนคุยโทรศัพท์ก่อนหน้านี้ ผมก็พูดอย่างชัดเจน หากมีสถานการณ์พิเศษเกิดขึ้นกับพวกเขา

หรือยับยั้งพลังปีศาจได้แล้ว ก็ให้โทรมาบอกผม

ขณะที่ใจกําลังเต้นตุ้มๆต่อมๆ พวกเราก็ออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว แต่ละคนต่างรีบตรงมาที่สวนสาธารณะ

สุดท้ายเราก็พบว่าบริเวณข้างๆทะเลสาบที่เงียบสงบมีใครหลายคนรวมตัวอยู่ด้วยกัน และในบรรดานั้นกําลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ในเวลานี้ดูท่ากําลังเคลื่อนพลังอยู่

ส่วนข้างๆพวกเขามีหยางเจ่วกําลังยืนทําหน้าร้อนรนอยู่

“หยางเฉ่ว !” ผมตะโกน พร้อมวิ่งไปหาทันที

หยางเฉวเองก็เห็นพวกเรา เธอเลยทําหน้าดีใจ “ติงฝาน ! อาการของพวกอาจารย์ลุงฉันดูท่าไม่ดีขึ้นเลย ตอนนี้แทบจะควบคุมพลังปีศาจในร่างไม่ไหวแล้ว”

ขณะที่หยางเจ่วพูด พวกเราก็วิ่งเข้ามาใกล้แล้ว

เมื่อลองมองดูให้ละเอียดผมก็ต้องทําหน้าตกใจ และสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง

ผมเห็นนักพรตหวังเฉิงกานแห่งสํานักอู่ตั้ง นักพรตเฉินจื่ออี้แห่งสํานักเหมาชานแล้วยังมีเหล่าฉิน

ตอนนี้พวกเขากําลังนั่งเรียงแถว หลับตาและเคลื่อนพลังไปทั่วร่าง

ส่วนด้านหลังของพวกเขา คือจุ่ยเฉิงจังและยังมีผู้ชายอีกสองคนที่พวกเราไม่รู้จักตอนนี้แต่ละคนกําลังช่วยรักษาพวกเขาบางทีคงเป็นศิษย์ในสํานักพวกเขา ที่มาช่วยเฝ้าดูแลท่านผู้อาวุโสทั้งสอง

แต่ท่านผู้อาวุโสทั้งสองและเหล่าฉันสามคน กลับมีการกลายร่างไม่หยุด บนร่างกายของพวกเขาเริ่มมีลักษณะของสัตว์บางชนิดปรากฏขึ้นแล้ว

ร่างกายของทั้งสองคนมีขนสัตว์งอกออกมาแล้ว เล็บก็เปลี่ยนเป็นกรงเล็บนานแล้ว หรือแม้แต่ในร่างกาย

ยังมีกลิ่นอายแปลกๆและอ่อนมากปล่อยออกมา

พอม่หลงเหยียนและยายโม่เห็นแบบนั้น ก็เลิกคิ้วขึ้นจากนั้นเราก็ได้ยินเสียงมู่หลงเหยียนพูดว่า

“ช่วยไม่ได้ ยายโม่รีบช่วยพวกเขาเร็ว !”

พอยายโม่ได้ยินมู่หลงเหยียนพูดแบบนั้น ก็ไม่รอช้าแต่อย่างใด ทั้งสองคนแยกย้ายมาอยู่ตรงหน้าเหล่าฉินและนักพรตเฉินที่มีอาการกลายร่างค่อนข้างหนัก และบอกให้นุ่ยเฉิงจิงและผู้ชายอีกคนที่ไม่รู้จักออกไป

ฉยเฉิงจังและอีกคนยังมองไม่เห็นมู่หลงเหยียนอย่างชัดเจน แต่ก็รู้ว่าเธอคือใคร

ตอนนี้เมื่อได้ยินมู่หลงเหยียนพูดแบบกัน พวกเธอก็ไม่รอช้า รีบถอยไปอีกทางด้านหนึ่งทันที

มู่หลงเหยียนและยายโม่ลงมืออย่างรวดเร็ว แต่ละตนต่างประทับฝ่ามือไปที่หลังของทั้งสองคน

ในระหว่างนั้น พลังหยินอันทรงพลังก็ปรากฏขึ้น พวกมันต่างเคลื่อนตัวไปตามร่างกายของพวกเขา

ชายหนุ่มคนนั้นไม่รู้จักม่หลงเหยียนและยายโม่ ตอนนี้เมื่อรับรู้ได้ถึงพลังหยินที่มหาศาลขนาดนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ

ชายหนุ่มคนนั้นตกใจและสงสัยหน่อยๆ เขาพูดกับฉ่ยเฉิงจึงที่อยู่ข้างๆว่า “ศิษย์น้อง พวกเขาเป็นใคร ?”

พอได้ยินเสียงนี้ นุ่ยเฉิงจิงถึงได้สติขึ้นมา แล้วเริ่มพูดกับชายหนุ่มคนนั้นและพวกเราว่า “อ่อ ! ใช่ ฉันลืมแนะนําให้ทุกคนรู้จัก คนผู้นี้คือศิษย์พี่สามของฉัน ซึ่งซานเหอ นี่คือติงฝานเฟิงเฉวหาน พี่เฟิง…..”

ฉียเจ๋งจึงแนะนําทีละคนๆ ตอนผมได้ยินจี่ยเฉิงจึงบอกว่าเจ้าหมอนี่คือศิษย์พี่สามของเธอ ผมก็อดมองเขาพักหนึ่งไม่ได้

เพราะผมยังจําได้อย่างชัดเจน ตอนนั้นตอนที่พวกเราอยู่ในวัดร้างเจี่ยเฉิงจึงบอกศิษย์พี่สามของเขา

ชอบหยางเจ่วสุดๆ เป็นคนที่ตามจีบหยางเฉ่วมาโดยตลอด

และผมยังเห็นหัวแชทของเจ้าหมอนี่มาก่อน และยังจําชื่อสุดบ้าที่เจ้าหมอนี่ตั้งได้อย่างชัดเจน

“ฝังรักที่เสี่ยวเฉิวเฉว”

ตอนนี้เมื่อมาได้เห็นตัวจริงแล้ว ผมกลับไม่เห็นเจ้านบ้าอย่างที่คิด อย่างผมพวกนั้น ก็ไม่ได้ยาวเหว่อหรือผิดเพี้ยนประเภทนั้น

แค่ต่างหูสองอันที่ใส่ เป็นอะไรที่ยาวมาก อารมณ์คล้ายกับเล็บมือ ผมซอยสั้น ไม่ได้ถือว่าเหว่อเกินไป

หลังกวาดตามองเขาพักหนึ่ง ผมก็เอื้อมมือออกไปก่อน “สวัสดีครับ !”

ซึ่งซานเหอพยักหน้าให้ผม จากนั้นก็เริ่มทักทายและจับมือกับพวกเราทีละคน ถือเป็นการรู้จักกันคราวๆแล้ว

ส่วนชายหนุ่มแปลกหน้าอีกคน แม้จะไม่ได้ลุกขึ้น และยังช่วยผู้อาวุโสหวังเฉิงกานยับยั้งพลังปีศาจอยู่

แต่หยางเจ่วก็เริ่มแนะนําแทนแล้ว

บอกว่าเขาคนนั้นคือศิษย์พี่ห้าของเธอ ชื่อว่าอู่ซึ่งหลง

เขาเป็นเหมือนซงซานเหอต่างได้รับคําสั่งให้มาคอยดูแลท่านผู้อาวุโสของสํานัก

ผลลัพธ์กลับคาดไม่ถึงว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้นในคืนนี้ โชคดีที่ทั้งสองคนเป็นศิษย์ในสานัก พอสังเกตเห็นอาการแปลกๆในตอนแรกแล้ว ก็จัดการได้อย่างเหมาะสม

ทั้งสองคนร่วมมือกันรีบพาท่านผู้อาวุโสทั้งสองและเหล่าฉันออกมาทันที

เนื่องจากหากให้คนในโรงพยาบาลเห็นการกลายร่างเป็นปีศาจจะต้องมีผลกระทบที่ร้ายแรงอย่างแน่นอน

หากสถานการณ์เลวร้ายขึ้น ทางการก็จะเข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วสุดท้ายก็จะโดนจับไปทําวิจัยผลที่ตามมาคงไม่ใช่สิ่งที่จะจินตนาการได้ง่ายๆ
หลังรู้จักกันหมดแล้ว ทุกคนก็ได้แต่รอด้วยความร้อนรน หวังว่าพวกเขาจะดีขึ้นเร็วๆนี้ สามารถยับยั้งพลังปีศาจเอาไว้ได้ และหยุดการกลายร่างเป็นปีศาจ

แต่สิ่งที่ทําให้เราคาดไม่ถึงเลยก็คือ ไม่รอให้ทั้งสองคนอาการดีขึ้น ในสวนสาธารณะที่มืดมิดแห่งนี้

กลับมีเสียงที่เย็นชาและแหบแห้งของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น “กลายร่างเป็นปีศาจเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์จะตาย ทําไมพวกเจ้าจะต้องหยุดวิวัฒนาการอันศักดิ์สิทธินี้ด้วย….”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset