ศพ – ตอนที่ 492 ท่านเทพสื่อเย่

ตอนที่ 492 ท่านเทพสื่อเย่

ในขณะที่พวกเราทุกคนกําลังกระวนกระวาย เสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น จากความมืดมิดที่อยู่รอบๆ

พอได้ยินเสียงนี้ ในใจผมก็มีเสียงดัง “บิ๊ก” พร้อมกันนั้นก็หันไปมองทางต้นเสียงทันที

ผลลัพธ์พอหันไปมอง ผมกลับพบว่าในพุ่มไม้ที่ห่างออกไป มีเงาของคนกลุ่มหนึ่งกําลังเดินออกมา

พอเห็นถึงตรงนี้ ผมก็อดหวาดระแวงขึ้นมาไม่ได้

ผมคิดว่าเจ้าพวกนั้นไม่ได้มาดีแน่นอน อย่างแรกคืออีกฝ่ายมองแค่แวบเดียวก็รู้แล้วว่านี่คืออาการกลายสภาพเป็นปีศาจมันบอกอย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายเป็นคนวงใน

อย่างที่สองคือ เจ้าพวกนี้บอกว่าการกลายร่างเป็นปีศาจเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์

หรือมีโอกาส 80-90% ที่เจ้าพวกนี้จะเป็นสาวกของสานักปีศาจลื่อเย่นั่น

พอคิดได้ถึงตรงนี้ ผมก็เริ่มคิดหนักในทันที และเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว พร้อมพูดกับกลุ่มคนชุดด่าที่ก่าลังเดินออกมา “พวกนายเป็นใคร ?”

กลุ่มชายชุดดําพวกนั้นไม่ได้ตอบกลับทันที พวกเขาเพียงค่อยๆเดินออกมาจากมุมมืด

สุดท้าย ชายชุดดําไม่กี่คนนั้นก็ออกมาปรากฏตัวท่ามกลางไฟถนนที่สลัวๆ

ทั้งหมดสามคนทุกคนอยู่ภายใต้ผ้าคลุมดํายาว และมองไม่เห็นหน้ากันสักคน

แต่ในเวลานี้ ผู้นําของชายชุดดําพวกนั้นกลับถอดหมวกดําออก

ทันใดนั้นเองใบหน้าที่แท้จริงของเขาก็ปรากฏสู่สายตาทุกคน

แต่หลังจากที่ทุกคนเห็นใบหน้าของชายชุดดําคนนี้แล้วก็อดทําหน้าช็อกไม่ได้

เพราะพวกเราพบว่าชายชุดดําคนนี้ไม่ใช่มนุษย์อย่างเราๆ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นตัวประหลาดที่มีหัวเป็นเสือดาว

หัวกลมๆ ลายจุดเชกเช่นเดียวกับเสือดาวจมูกดํา บนหน้ายังมีเคราให้เห็น

ภาพแบบนี้ สําหรับพวกเราแล้วเป็นอะไรที่น่าตะใจสุดๆ หัวใจเต็มแรงอย่างเห็นได้ชัด

พอซ่งซานเหอหรือศิษย์พี่สามของสํานักเหมาชานคนนั้นเห็นสภาพแบบนั้นเข้าไปก็เผลอพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ “ปีศาจ……”

เสียงเพิ่งเงียบลงทุกคนในที่นั้นก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ และเริ่มระวังตัวในทันที

แต่หยางเจ่วที่ยืนอยู่อีกทางด้านหนึ่งกลับพูดว่า “ไม่ใช่ บนตัวเจ้าหมอนี่ไม่มีไอปีศาจอยู่ !”

ส่วนผมที่กําลังมองอีกฝ่ายอย่างเยือกเย็น ก็พูดด้วยน้ําเสียงเคร่งเครียดขึ้นมาในเวลานี้ “ ใช่เขาไม่ใช่ปีศาจ

ถ้าดูไม่ผิด เขาน่าจะเป็นสาวกปีศาจของสํานักสื่อเย่ !”

“อะไรนะ ? สํานักสื่อเย่ ?” ซึ่งซานเหอพูดด้วยความตกใจ

แม้เขาจะเคยได้ยินชื่อสํานักสื่อเยู่แล้ว แต่สําหรับตัวสาวกสํานักสื่อเย่ เขากลับไม่เคยเห็นมาก่อน

ตอนนี้พอได้ยินว่าเป็นสาวกปีศาจของสํานักสื่อเย่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าตะลึงออกมา

เหล่าเฟิง พี่เฟิง ในเวลานี้ต่างเริ่มหวาดระแวง เตรียมตัวพร้อมสู่ตลอดเวลา

ส่วนปีศาจเสือดาวที่ยืนอยู่ห่างออกไป กลับฉีกยิ้มพิลึกออกมา “ฮ่าๆๆ สํานักสื่อเยฉินของข้าไม่ใช่สํานักนอกรีต ศิษย์ที่ข้าสอน ล้วนเป็นภูติแห่งสุริยันจันทราทั้งนั้น จะเรียกว่าสาวกปีศาจได้อย่างไร

เจ้าปีศาจนั่นเถียงกลับ หลังกวาดสายตามองพวกเรา ท้ายที่สุดเขาก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “แต่พวกเจ้า กําลังขัดขวางการวิวัฒนาการอันศักดิ์สิทธิ์ !”

“เหลวไหล สํานักนอกรีตย่อมเป็นสํานักนอกรีตวันยังค่ํา ยังกล้าพูดว่าเป็นสํานักศักดิ์สิทธิ์ ช่างกลายกยอตัวเองซะจริงนะ” ซึ่งซานเหอพูด เขาดูจะไม่พอใจสุดๆ

ผลลัพธ์เสียงเขาเพิ่งเงียบ ชายชุดด่าคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆปีศาจเสือดาว กลับตะโกนใส่ซงซานเหอทันที

“บังอาจ กล้าเสียมารยาทต่อท่านเทพสื่อเย่ของเราเจ้าต้องตาย”

ซึ่งซานเหอเกิดในครอบครัวที่มีชื่อเสียง และด้วยความเป็นศิษย์คนที่สามของสํานักเหมาชานเดิมทีก็เกลียดคนชั่วหรือสิ่งชั่วร้ายอยู่แล้ว

และไม่ว่าจะเป็นฐานะหรือระดับพลังของเขาก็โดดเด่นในหมู่คนรุ่นเดียวกัน

และปกติชายคนนี้ก็ค่อนข้างหยิ่งยโสอยู่แล้ว ตอนนี้พอถูกอีกฝ่ายพูดแบบนั้นด้วย ไฟโทสะของเขาก็ลุกโชดช่วงขึ้นมาทันที

เขาตัวสั่น เปิดใช้พลังทั้งหมด พร้อมปลดปล่อยพลังที่แข็งแกร่งออกมา

หลังสัมผัสได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งที่เจ้าซงซานเหอจอมร็อคคนนี้ปลดปล่อยออกมา ผมก็อดตกใจในใจไม่ได้

เพราะผมพบว่าระดับพลังของเจ้าหมอนสูงมาก เขาก้าวไปถึงเต้าชื่อขั้นกลางแล้ว สูงกว่าผมถึงสองขั้น

หรือก็คือ พลังของเจ้าหมอนี่อยู่ในระดับของอาจารย์แล้ว

แต่หากดูจากอายุ เขาน่าจะมีอายุห่างจากผมไม่มากนัก อย่างมากสุดก็อายุมากกว่าผม 1-2 ปี

สมแล้วที่เป็นศิษย์สํานักใหญ่อย่างสํานักเหมาชาน อายุเพียงเท่านี้ ก็ก้าวมาถึงขั้นนี้แล้ว ช่างน่าประทับใจจริงๆ

ถึงว่าพอเผชิญหน้ากับปีศาจสามตัวนี้ที่จู่ๆก็ปรากฏตัวออกมา เขากลับไม่กลัวเลยสักนิด

àยเฉิงจึงรู้จักศิษย์พี่สามของตัวเองดี เมื่อเห็นศิษย์พี่สามปลดปล่อยพลัง เตรียมตัวจะลงมือเธอก็เอื้อมมือไปหยุดซ่งซานเหอเอาไว้ แล้วพูดกับเขาว่า “ศิษย์พี่อย่าวู่วาม สาวกปีศาจของสํานักลื่อเย่พวกนี้ ร้ายกาจมากนะ !”

ซึ่งซานเหอกลับไม่สบอารมณ์ “ ฮ! วันนี้ฉันอยากเห็นอยู่พอดี ว่าเจ้าปีศาจพวกนี้จะร้ายกาจขนาดไหน !

ให้ศิษย์พี่ได้ลองสู้กับพวกมันเถอะ”

หลังจากพูดจบ ซงซานเหอก็สะบัดมือ สลัดมือของฉัยเฉิงจึงออกทันที จากนั้นก็เล็งไปที่ปีศาจสามตนนั้น ก่อนที่จะพุ่งตัวออกไป

ปีศาจเสือดาวที่เป็นผู้นําคนนั้น เผยรอยยิ้มสุดพิลึกออกมาอีกครั้ง “วัยรุ่นสมัยนี้ ใจร้อนจริงๆ เลย ไปทําให้มันได้เห็นดีสักหน่อย !”

“ขอรับ ท่านเทพ” ชายชุดดําที่เคยพูดก่อนหน้านี้

เสียงเพิ่งเงียบลง เขาก็หันมาเร็วมากเล็งมาที่ซึ่งซานเหอจากนั้นก็พุ่งเข้ามาทันที

ทางฝั่งของพวกเราจําเป็นต้องคุ้มกันท่านนักพรตทั้งสอง และยังมีเหล่าฉันกับคนอื่นๆด้วย ในเวลาเดียวกันก็เห็นความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย เพื่อเตรียมตัวเอาไว้ก่อน

ด้วยเหตุนี้ พวกเราเลยไม่ได้ทําอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า เพียงจับตาดูอย่างใกล้ชิด

หากซงซานเหอสู้ไม่ได้พวกเราก็จะพุ่งเข้าไปช่วยทันที

ซึ่งซานเหอวิ่งไปประสานมือไป

เมื่อเข้าไปใกล้ชายชุดดําคนนั้น เขาก็ยกมือขึ้นเล็งจะฟาดไปที่ชายชุดดําคนนั้น

ในระหว่างนั้น ผมสัมผัสได้เพียงลมปราณที่ระเบิดออกมาจากมือเขาภายใต้ความคลุมเครือเหมือนจะยังมีภาพคาถาบางอย่างปรากฎขึ้นด้วย

หลังหยางเจ่วที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นแบบนั้น ก็ทําหน้าตกใจในทันที “นี่มันวิชาลับของเหมาชานฝ่ามือสยบมาร !”

ตอนผมได้ยินคําว่า “ฝ่ามือสยบมาร” สี่ค่านี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ

เพราะก่อนหน้านี้ผมรู้จักกับหยางเจ่วและนุ่ยเฉิงจิง ทั้งสองคนยังเป็นศิษย์ในสํานักเหมาชานและอู่ตั้ง

ดังนั้น ในบางครั้งเราก็คุยเรื่องของสานักเป็นการส่วนตัวอยู่บ้าง ผมเลยได้รู้ข้อมูลและวิชาของสองสํานักนี้ไม่น้อย

ส่วน “ฝ่ามือสยบมาร” ที่หยางเจ่วพูดด้วยความตกใจนั้น ก็คือวิชาลับที่ร้ายกาจวิชาหนึ่งของสำนักเหมาชาน

ผมได้ยินมาว่าฝ่ามือนี้ทรงพลังมาก และมีโอกาสเอาชนะศัตรูได้สูงมาก

หรือจะพูดอีกอย่างว่า แม้ว่าผู้ฝึกจะอยู่แค่ขั้นเต้าชื่อ แต่หากเรียนวิชาฝ่ามือลับนี้ได้ แม้แต่ศัตรูในขั้นเต้าจจิ้นก็อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา

จะเห็นได้ว่า วิชาฝ่ามือลับวิชานี้ร้ายกาจขนาดไหน

แต่วิชาลับนี้ฝึกยากมาก หากไม่มีพรสวรรค์ไม่มีทางฝึกได้อย่างแน่นอน

ผมเคยได้ยินเรื่องวิชาฝ่ามือนี้นานแล้ว แต่ยังไม่เคยเห็นสักครั้ง

แม้แต่ศิษย์ร่วมสํานักเหมาชานอย่างนุ่ยเฉิงจิงก็ยังเรียนวิชาฝ่ามือนี่ไม่ได้เลย

ตอนนี้ ซงซานเหอหอบคลื่นพลังหมาศาลไปข้างหน้า หากเจ้าปีศาจตนนั้นโดนเข้า ต้องจบไม่สวยแน่ๆ

ในสายตาของพวกเรา แม้เจ้าปีศาจตนนั้นจะโง่ขนาดไหน แต่ก็น่าจะหลบถึงจะถูก

แต่ไม่ว่ายังไงเราก็คิดไม่ถึงว่า ปีศาจตนนั้นไม่เพียงไม่หลบ แต่กลับยื่นฝ่ามือออกมา คิดจะปะทะกับซงซานเหอให้ตายไปคนละข้าง

การเคลื่อนไหวของทั้งสองคนเร็วมาก เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเสียงปะทะก็ดังขึ้น “ปัง”

คลื่นพลังทั้งสองปะทะเข้าด้วยกัน เกิดเป็นระลอกคลื่นสาดซัดไปรอบๆ

เดิมที่ผมคิดว่าฝ่ามือสยบมารของซึ่งซานเหอ น่าจะเป็นฝ่ายชนะ เพราะมันทรงพลังมาก

แต่ผลลัพธ์ กลับทําให้ทุกคนผิดหวัง

แม้แต่ฝ่ามือสยบมารของซงซานเหอ หลังปะทะกับฝ่ามือของอีกฝ่ายแล้ว เขากลับถูกซัดกระเด็นออกไป

ไกลกว่า 3-4 เมตร จนตัวเองแทบจะยืนไม่ติดพื้น

หันกลับมามองทางปีศาจชุดดําเขายังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ได้รับผลกระทบใดๆ

หลังคลื่นพลังระเบิดออกหมวกคลุมหน้าของเขาก็เปิดออก

ในวินาทีที่หมวกของชายชุดด่าคนนั้นเปิดออก ทุกคนก็ตกตะลึงทันที และอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ

เพราะพวกเราพบว่า ภายใต้หมวกดําอันนั้น มีหัวของงซ่อนอยู่

ชายคนนั้นไม่มีผม ไม่มีหูใบหน้าเต็มไปด้วยเกล็ดงสีเขียว เกล็ดนึ่งซ้อนทับเกล็ดนึ่งไปเรื่อยๆ ภายใต้แสงไฟบนถนนมันส่องแสงประกายแวววาว

ดวงตางคู่นั้นของเขา ทําให้คนขนลุกเป็นพิเศษ ในปากยังทําเสียง “ซื่อๆๆ” ออกมา และยังมีลิ้นแฉกของงูแลบออกมาไม่หยุด……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset