ศพ – ตอนที่ 495 สังหารเดี่ยวในห้าวินาที

ตอนที่ 495 สังหารเดี่ยวในห้าวินาที

ฉากนี้เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน ทําให้ทุกคนในที่นั้นตกใจกันทันที

ไม่มีใครคิดว่าฝ่ามือปีศาจงูที่ซัดใส่เต้าซื้อขั้นกลางอย่างซึ่งซานเหอเมื่อกี้ ในเวลานี้จะโดนมีดในมือตัดขาด

มือที่เต็มไปด้วยเกล็ดงข้างนั้น กระเด็นออกไปตามแนวขวาง พร้อมกันนั้นก็มีเลือดไหลออกมาจากบาดแผลไม่หยุด

เมื่อเห็นภาพนี้ เหล่าเฟิง หยางเจ่ว ซึ่งซานเหอ ฉียเจ๋งจึงหรือแม้แต่พี่เฟิงและซ่งซานเหอ ก็อึ้งกันเป็นแถบๆ คิดว่ามันไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไหร่

แต่มันยังไม่จบเท่านี้ ไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตอบโต้ผมก็ลงมือครั้งต่อไปแล้ว

มีดปลิดวิญญาณในมือผม พุ่งตรงไปที่หน้าอกของอีกฝ่าย ผมคิดจะเอาชีวิตของอีกฝ่าย

เจ้าปีศาจตนนั้นก่าลังเจ็บข้อมือและยืนไม่มั่นคงอยู่แล้ว

ในเวลานี้เมื่อเห็นผมพุ่งเข้ามาโจมตีอีกครั้งสีหน้าของมันก็เปลี่ยนไปทันที

แม้มันจะเจ็บแผล แต่ก็ยังยกมือขึ้นมาขวางการโจมตี

เพราะตอนนี้มันยืนไม่มั่นอยู่แล้ว หากคิดจะหลบหรือถอยหนี ก็แทบไม่มีโอกาสแล้ว มันจึงได้แต่ทําตามสัญชาตญาณแบบนี้เท่านั้น

ปีศาจเสือดาวที่อยู่ห่างออกไป เผยสีหน้าหวาดกลัว และรีบเตือนในทันที “ระวัง !”

แต่เสียงของอีกฝ่ายเพิ่งเงียบลงมีดของผมก็แทงลงไปแล้ว

มือที่อีกฝ่ายกขึ้นมากันเอาไว้ของอีกฝ่าย หรือเจ้ามือเกล็ดงูนั้นจะกันความคมของมีดปลิดวิญญาณได้งั้นเหรอ

มีดปลิดวิญญาณเพิ่งสัมผัสกับมืออีกฝ่าย มันก็แทงทะลุเข้าไปทันที

เจ้าปีศาจตนนั้นก็อดไม่ได้ที่จะกรีดร้องออกมาแต่ตัวมันเองก็อยากรอดชีวิตไปจากความสินหวังนี้

มันอ้าปากอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นคมเขี้ยวสองซี่ของงู มันคิดจะกัดผมให้ตาย

แต่มันเพิ่งอ้าปากก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ

เพราะมันพบว่าพลังวิญญาณในตัว ตอนนี้กําลังไหลเข้าไปในตัวมีดอย่างกับกระแสน้ําระลอกแล้วระลอกเล่าพลังในร่างเหมือนโดนดูดจนแห้ง

ในระหว่างนั้นเอง ความรู้สึกอ่อนแอไร้พลังก็ซาดซัดไปทั่วร่าง ร่างกายของเขาก็หยุดชะงักอยู่ครู่หนึ่ง

เพราะเหตุนี้ เดิมทีเขาก็มีโอกาสกัดผมอยู่แล้ว แต่เพราะหยุดครู่หนึ่ง เขาเลยเสียโอกาสนั้นไปอีกครั้ง

ผมออกแรงที่มือกดมีดลงไปลึกกว่าเดิม

มีดอันคมกริบบวกกับแรงที่ฝ่ามือของผมพุ่งตรงลงไปในหน้าอกเขาทันที

เขาคิดจะออกแรงขัดขืน แต่ร่างกายกลับไร้เรี่ยวแรง แม้แต่จะใช้พลังวิญญาณก็ยังทําไม่ได้

ผลลัพธ์ที่ตามมาคงรู้กันอยู่แล้วมีดปลิดวิญญาณแทงทะลุฝ่ามือลงไปที่หน้าอกของเขาอีกรอบ

เจ้าหมอนี่สัมผัสได้เพียงความเจ็บปวดที่หน้าอก ดวงตาเบิกกว้าง เขาจ้องผมแล้วพูดด้วยเสียงสั่นเทา

“แก แก……”

“ไอ้โง่ !” ผมพูดอย่างเย็นชา แล้วออกแรงอีกครั้ง

มีดปลิดวิญญาณแทงเข้าไปได้ประมาณสามส่วนตรงเข้าไปสู่ปอดของอีกฝ่าย

เดิมที่มันคิดจะพูดต่อ แต่หลังมีดปักลงไปที่ปอด ปอดก็มีภาวะเลือดคั่งทันที

เขาอ้าปาก แล้วกระอักเลือดออกมาทันทีไหนเลยจะได้พูดอะไรออกมาอีก

ผมจ้องเขาอย่างเย็นชาพร้อมดึงมีดออกมาอย่างรวดเร็ว เลือดสดๆกระเซ็น ย้อมเสื้อผมจนแดงฉาน

ส่วนเจ้าปีศาจงูจอมโอหังตนนั้น ตอนนี้ร่างกระตุกสองสามครั้ง หลังกระอักเลือดออกมาไม่กี่ครั้งเขาก็หมดลมหายใจทันที

เขาในตอนนี้ ดวงตาเบิกกว้างหรือจะเรียกว่าตายตาไม่หลับ

ดูเหมือนกับจะคิดไม่ถึงเลยสักนิด ว่าตัวเองจะมาตายในมือนักพรตที่มีพลังแค่เต้าฉือขั้นสุดอย่างผมคนนี้ และยังในเวลาสั้นๆแค่นี้

ส่วนทางฝั่งพวกเรา ทุกคนต่างอ้าปากค้าง

โดยเฉพาะซ่งซานเหอคนนั้น เขาเคยปะทะกับเจ้าปีศาจตนนี้มาหนึ่งฝ่ามือ ดังนั้นย่อมรู้ดีว่าอีกฝ่ายร้ายกาจขนาดไหน

แต่ตอนนี้เขากลับถูกผมฆ่าตาย หน้าเขาเลยเต็มไปด้วยคําว่าไม่อยากเชื่อ หรือสีหน้าของคนตกตะลึง

เพียงแค่มีดขึ้นสนิมเล่มเดียว กลับสังหารปีศาจขั้นเต้าจจิ้นได้ นี่ นี่มันจะเป็นไปได้ได้ยังไง

หยางเฉ่ว ฉียเฉิงจังและคนอื่นๆก็เป็นแบบเดียวกัน ต่างไม่อยากเชื่อภาพตรงหน้า

เพราะในบรรดาพวกเรามีความแตกต่างที่ใหญ่เว่อร์อยู่ ต่างอยู่กันละชนชั้นเต็มๆ

และเต้าชื่อกับเต้าจจิ้นก็มีเส้นแบ่งที่ยิ่งใหญ่อยู่ แม้จะเป็นเต้าชื่อขั้นสุดกับเต้าจวนก็ยังแตกต่างกันมากอยู่ดี

แต่ตอนนี้ เต้าฉือขั้นสุดกลับฆ่าเต้าจจิ้นที่มีระดับแตกต่างกันอย่างมากได้ หากพูดออกไปคงไม่มีใครเชื่อ

แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นตรงหน้า ถึงพวกเขาจะไม่อยากเชื่อก็ต้องปักใจเชื่อ

เพราะนี่คือเรื่องจริง เต้าฉือขั้นสุดอย่างผมสามารถสังหารเต่าจวนผู้แข็งแกร่งได้จริงๆ

และการต่อสู้ของพวกเรา ยังเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ ทั้งหมดกินเวลาไม่ถึงห้าวินาทีด้วยซ้ํา

หากเกิดเรื่องนี้ขึ้นกับใครย่อมมีความรู้สึกไม่อยากเชื่อทั้งนั้น มันก็เหมือนกับความฝันฉากหนึ่ง

แต่ละคนต่างตาโตอ้าปากค้างทําให้สถานการณ์ตกอยู่ในความเงียบงันชั่วขณะ

แม้แต่ฝั่งศัตรูก็ยังตะลึงเช่นกัน

ฝั่งตัวเองเก่งถึงขนาดนั้น กลับถูกนักพรตตัวเล็กๆที่ยังอยู่แค่เต้าฉือขั้นสุด ฆ่าตายภายในไม่กี่วินาที

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่

แต่มีเพียงแค่ผมคนเดียวเท่านั้นที่เข้าใจดีว่าชนะของผมมาจากความบังเอิญ และโชคช่วยเท่านั้น

ถ้าไม่ได้เป็นเพราะเจ้าปีศาจงูโง่งมต่อหน้าผม คิดจะจับมีดด้วยมือเปล่า และยังอยากทําให้ผมต้องอับอายด้วยมือข้างนั้น อยากต่อสู้กับผมเพียงลําพังผมก็คงไม่อาจฆ่าเขาได้

หากเจ้าหมอนี่เอาจริงตั้งแต่ต้น เข้ามาฆ่าผมทันที ทําทุกอย่างอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ให้ความสําคัญกับผม หรือเห็นมีดปลิดวิญญาณในมืออยู่ในสายตา

ถึงมีดปลิดวิญญาณของผมจะช่วยเพิ่มพลังได้ แต่ผมก็ไม่อาจสังหารอีกฝ่ายได้ อย่างมากที่สุดก็รับมือกับอีกฝ่ายได้พักหนึ่งได้แต่รับมือเท่านั้น
หากคิดจะเอาชนะอีกฝ่ายเป็นอะไรที่ยากมาก จึงไม่ต้องพูดถึงเรื่องสังหารอีกฝ่ายเลย

แต่ผลในตอนจบ แม้แต่ตัวผมเอง ก็ยังคิดไม่ถึง

ในระหว่างนี้มีความบังเอิญเกิดขึ้นมากมาย ผมคว้าโอกาสได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงแทงเต้าจวนผู้แข็งแกร่งจนตายได้ แน่นอนผู้ที่มีผลงานที่สุดคือมีดปลิดวิญญาณ เพราะอาวุธนทรงพลังมากคม มาก และยังมีความสามารถพิเศษสามารถดูดซับพลังวิญญาณได้

จนกระทั่งผ่านไปพักใหญ่ทุกคนถึงได้กลับมามีสติอีกครั้ง

ซึ่งซานเหอสูดหายใจเข้าทันที พร้อมกันนั้นหน้าของเขาก็ยังเต็มไปด้วยสีหน้าตกตะลึงเช่นเดิม

“แข็ง แข็งแกร่งมากเขา เขามีพลังแค่เต้าฉือขั้นสุดจริงๆเหรอ ?”

“ลงติง นายนายร้ายกาจถึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ฮะ ?” ฉียเจ๋งจึงก็พูดขึ้นมา

หยางเจ่วบ่นพึมพํากับตัวเอง นี่ก็คือความมั่นใจของนายเหรอ ในตัวนายมีความลับซ่อนอยู่เยอะเกินไปแล้ว

หลังจากพูดจบหยางเจ่วก็หันไปมองมู่หลงเหยียนที่เธอไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจน

มุมปากพี่เฟิงยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ไอ้หนู ทําได้ดีมาก !”

พอได้ยินพี่เฟิงพูดแบบนั้น ผมก็หันไปมองเขาทันที

ทันใดนั้นผมก็เห็นเหล่าเฟิงและพี่เฟิงกําลังมองผม และยกนิ้วโป้งให้

แม้จะชนะแล้ว แต่ในใจของตัวเองกลับยังคงสันไหวอยู่

ปีศาจเสือดาวที่อยู่ห่างออกไป ก็ได้สติกลับมาเช่นกันรอยยิ้มบนใบหน้าเขาได้หายไปนาน แล้วตอนนั้นมีเพียงใบหน้าที่เย็นชาเท่านั้น

ดวงตาของปีศาจเสือดาวคู่นั้นจ้องผมอย่างดุร้าย “ประเมินพวกแกต่ําไปจริงๆ ในเมื่อสามารถสังหารลูกน้องปีศาจงของข้าได้งั้นก็ให้ข้าได้ลองดูหน่อย ว่าเจ้ามีปัญญาทําร้ายข้าได้ไหม ?”

เสียงเพิ่งเงียบลง ปีศาจเสือดาวตัวนั้นก็ตัวสั่น

ในวินาทีนั้น สายลมกระโชกพัดเข้ามาจากรอบๆ ไอพลังอันทรงพลังสั่นสะเทือนไปทั่วแล้ว จากนั้นก็เข้ามากดดันผมทันที

หลังคลื่นพลังปีศาจ คลื่นพลังสีดําก็ระเบิดออก

ทันใดนั้น ผมก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็น ราวกับเขาไท่ซานกําลังกดอยู่บนหัว ทําให้ผมเริ่มหายใจหอบเหนื่อย

ไม่เพียงแค่นั้น ในเวลานี้ ปีศาจเสือดาวกําลังเดินมาหาผมทีละก้าวๆ เขาเผยให้เห็นกรงเล็บและคมเขี้ยว

เมื่อเห็นถึงตรงนี้ ผมก็ดึงสีหน้าลงแล้วจับมีดปลิดวิญญาณแน่น

เหล่าเฟิง หยางเจ่ว พี่เฟิง ซึ่งซานเหอและคนอื่นๆเห็นปีศาจเสือดาวกําลังจะลงมือ สีหน้าเลยเปลี่ยนไปทันทีทุกคนรีบวิ่งเข้ามาเตรียมรับการต่อสู้ของปีศาจเสือดาวตนนี้

มันชัดเจนสุดๆ เจ้าหมอนี่แข็งแกร่งมาก

ปีศาจงูเต้าจนเมื่อกี้ยังเป็นแค่ลูกน้องของเขา แล้วปีศาจเสือดาวตนนี้ ยังถูกเรียกว่า “ท่านเทพ” แห่งสํานักสื่อเย่ชั่วนั่นด้วย แล้วแบบนี้พลังของเขาจะอยู่ในระดับไหนกันละ

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset