ศพ – ตอนที่ 496 ท่านเทพแสดงพลัง

ตอนที่ 496 ท่านเทพแสดงพลัง

ผมกํามีดปลิดวิญญาณแน่น มองปีศาจเสือดาวที่กําลังเข้ามา และยังมีชายชุดดําอีกคน ตอนนี้ หัวใจของทุกคนต่างเต้นแรง

ปีศาจงูยังแข็งแกร่งถึงขนาดนั้น แล้วถ้าปีศาจเสือดาวลงมือมันจะรุนแรงขนาดไหนละ

ในระหว่างนั้น จู่ๆปีศาจเสือดาวก็ยกมือขึ้น

ทันใดนั้น พลังปีศาจจํานวนมหาศาลก็พุ่งขึ้นสูง คลื่นพลังสีด่ามืดบดเบียดเป็นเกลียวคลื่นทําให้คนที่เห็นตกใจกันทันที

“ทุกคนระวัง !” ผมรีบพูด และเปิดใช้พลังทั้งหมดและตั้งสติทันที

แต่สิ่งที่ทําให้คนประหลาดใจคือ คลื่นพลังดํามืดพวกนั้นเพิ่งสัมผัสตัวพวกเรา เราทุกคนก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาลที่ไม่อาจอธิบายออกมาได้

สายลมผสมกับไอปีศาจทรงพลังสุดๆ

ในวินาทีนั้น ทุกคนรู้สึกเหมือนโดนรถบรรทุกคันใหญ่ชนเข้าอย่างจัง ในเวลานั้นแต่ละคนต่างเริ่มเซกันเลยทีเดียว

ไม่เพียงเท่านั้นแต่ละคนยังถอยหลังไปสองสามก้าวตามสัญชาตญาณผลลัพธ์ไม่รอให้ยืนได้อย่างมั่นคง

เจ้าคลื่นพลังปีศาจที่เข้ามาอย่างกับระลอกคลื่น ระลอกแล้วระลอกเล่า

และเป็นระลอกคลื่นที่ทรงพลัง พอระลอกที่สามสาดซัดเข้ามาเท่านั้นแหละ ทุกคนก็เซอีกครั้ง หรือแม้แต่รู้สึกเจ็บที่ท้องและเสียงร้อง “อ้า/อร้าย !” ก็ตามขึ้นมาติดๆ

ต่อจากนั้น ผมก็เห็นเราทุกคนในที่นั้น ต่างถูกซัดกระเด็นออกไป แล้วล้มกลิ้งลงกับพื้นที่ละคนๆ

แข็งแกร่ง แข็งแกร่งมากจริงๆ

ถึงกับโดนเรียกว่าเป็นท่านเทพแห่งสํานักสื่อเย่ สมแล้วที่มีพลังและฝีมือที่น่าทึ่ง

ยังไม่ได้เข้าใกล้พวกเราแต่ละคนก็โดนพลังปีศาจซัดกระเด็นออกไปนอนกองกับพื้นแล้ว

และผมยังรู้สึกช็อก ตรงหน้าอกมีความเจ็บจากกล้ามเนื้อฉีกขาดเกิดขึ้น

หนึ่งในนั้นซึ่งซานเหอที่เคยบาดเจ็บมาก่อนหน้านี้แล้ว ในเวลานี้หลังโดนพลังปีศาจซัดกระเด็นออกไป

เขาก็กระอักเลือดสดๆออกมาทันทีพร้อมด้วยหน้าที่ซีดเผือก

ผมเอามือกุมหน้าอกใบหน้านิ่งเฉย ผมอยากลุกขึ้นมาให้เร็วที่สุด

แต่ไม่รอให้ผมได้ลุกขึ้น เงาดําของใครคนหนึ่งก็พุ่งออกมาจากหมอกดําพวกนั้นแล้ว

ไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือท่านเทพแห่งสํานักสื่อเย่ ปีศาจเสือดาว

นัยน์ตาของเขาเปล่งประกายเฉกเช่นเดียวกับตาปีศาจ เผยใบหน้าดุร้าย พร้อมพูดออกมาอย่างดุดัน

“แค่นี้ก็สู้ไม่ไหวแล้วเหรอ ? มันยังไม่จบหรอก !”

เมื่อมาถึงประโยคสุดท้ายอีกฝ่ายก็เพิ่มน้ําเสียง พูดขึ้นมาดุดันกว่าเดิม

และในขณะที่พูด กรงเล็บในมือของอีกฝ่ายก็ได้กางออกราวกับสามารถตัดอากาศ พุ่งตรงลงมาที่หน้าผมทันที

เหล่าเฟิงและหยางเนิ่วที่อยู่ด้านข้างผม จู่ๆก็เห็นสถานการณ์เปลี่ยนไปแบบนั้น แต่ละคนจึงทําหน้าตกใจในทันที

“ระวัง !” เหล่าเฟิงตะโกน

“รีบหลบเร็ว !” หยางเฉวก็พูดด้วยความตกใจ

แต่อีกฝ่ายเร็วมากถึงจะอยากหลบ แต่ผมก็พบว่ามันสายไปแล้ว

ผมยกมือขึ้นตามที่สัญชาตญาณบอกผมคิดจะให้มีดปลิดวิญญาณรับการโจมตี

แต่ทันใดนั้นผมกลับพบว่า แม้แต่ความเร็วในการยกมือของผม ก็ยังเร็วเท่าการโจมตีของอีกฝ่ายไม่ได้

ห่างชั้น นี่มันคือความห่างชั้นที่แท้จริง

พลังของผมต่ําเกินไปเมื่อเทียบกับปีศาจเสือดาวแล้ว มันไม่ใช่จํานวนน้อยๆ

ราวกับเวลาถูกหยุดไว้ผมได้แต่มองกรงเล็บบนมือของปีศาจเสือดาว ค่อยๆตวัดลงมา เข้าใกล้หน้าผม

หัวผมที่ละนิดๆ

ในแววตาของผมเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ตัวชาไปครึ่งหนึ่ง

หากโดนกรงเล็บในคราวนี้เข้าไป แม้ผมจะไม่ตาย แต่ก็ต้องเสียโฉมอย่างแน่นอน

ผมอยากจะหลบ แต่ร่างกายกลับทําไม่ได้ดังใจ

ท้ายที่สุด ผมก็ได้แต่มองกรงเล็บอันคมกริบพวกนั้นเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ สุดท้ายระยะห่างของมันกับหน้าผากและตาของผมก็เริ่มใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ มากขึ้นเรื่อยๆ……

หยางเจ่วและเหล่าเพิ่งที่อยู่ด้านข้าง ใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเป็นที่เรียบร้อย พวกเขาคิดแน่ใจว่าผมจะต้องจบเห่แน่ๆ

แต่คนลิขิตไม่สู้สวรรค์ลิขิต ในขณะที่ทุกคนรวมถึงผม คิดว่าตัวเองต้องจบเห่ก็งานนี้แล้ว ต้อง โดนปีศาจ

เสือดาวฉีกกระฉากใบหน้า ได้รับบาดเจ็บหนัก เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น

ในช่วงเป็นตายจู่ๆสายลมอันเยือกเย็นก็พัดมาทางผม ติดกันนั้นร่างของใครคนหนึ่งก็ปรากฎขึ้น

ราวกับใครคนนั้นโผล่ออกมาจากกลางอากาศ เขาเข้ามาขวางตรงหน้าผม

ในเวลาเดียวกันใครคนนั้นก็หยุดกรงเล็บอันคมกริบของปีศาจเสือดาวเอาไว้

ท้ายที่สุดกรงเล็บพวกนั้นต่างหยุดอยู่เหนือลูกตาของผม มันห่างออกไปเพียงไม่ถึงหนึ่งเซนติเมตร

จู่ๆสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปทําให้ทุกคนตกใจขึ้นมาอีกครั้ง

ในวินาทีนั้น ผมมองตาค้างเลยละ

เพราะผมพบว่า ในช่วงเวลาเป็นตายนั้น คนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยไม่ใช่ใครอื่น เขาคนนั้นก็คือคนที่ช่วยผมในช่วงวิกฤตเสมอ ผีเมียผู้ที่คอยช่วยผมอยู่เสมอ มู่หลงเหยียน

ในช่วงเวลานั้น ผมมองมู่หลงเหยียนที่กําลังยืนขวางอยู่ด้านหน้าผม เธอใช้มือจับมือของปีศาจเสือดาวเอาไว้หยุดการโจมตีที่จะทําร้ายผมอย่างกระทันหัน

ในใจของผม มีความรู้สึกที่ไม่อาจพูดออกมาได้มันเป็นอะไรที่ทําให้ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก

ในเวลาเดียวกัน ผมเองก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกหลังมีชีวิตรอด

ไม่รอให้ทุกคนตอบสนองมู่หลงเหยียนที่จับมือปีศาจเสือดาวไว้ ก็พูดออกมาอย่างเย็นชา

“ไม่มีใครทําร้ายเขา ต่อหน้าฉันได้ !”

น้ําเสียงเย็นชา เข้ากระดูกดําและแฝงไปด้วยจิตสังหาร

ปีศาจเสือดาวตัวนั้นก็รู้สึกถึงความแข็งแกร่งของมู่หลงเหยียน คิ้วค่อยๆขมวดเข้าหากัน หากคิดจะสู้กับ

มู่หลงเหยียน เขาคงต้องใช้หลายอย่างถึงจะเป็นคู่ต่อสู้ของมู่หลงเหยียนได้

หรือแม้แต่เขาสัมผัสได้ว่ามือของมู่หลงเหยียน เป็นคีมหนีบหนักหลายหมื่นชั่ง แม้เขาอยากจะดึงมือกลับ

แต่เขาก็ทําไม่ได้

ในระหว่างนั้น ลูกน้องอีกคนของปีศาจเสือดาวก็พุ่งเข้ามา

พอเห็นหัวหน้าตัวเองโดนมู่หลงเหยียนจับมือเอาไว้ เขาก็ตะโกนออกมาเสียงดังลั่น “ปล่อยท่านเทพของเราเดี๋ยวนี้”

หลังจากพูดจบ เจ้าหมอนั้นก็คํารามออกมา แล้วเปิดผ้าคลุมหน้าออก

ทันใดนั้น ใบหน้าหนูก็ปรากฏสู่สายตาทุกคน ด้านหลังของมัน ยังมีหางหนูยาวออกมากว่าหนึ่งเมตร

มันชัดเจน เขาคิดจะลงมือกับมู่หลงเหยียน

แต่ดูเหมือนมู่หลงเหยียนจะทําเป็นไม่เห็นอีกฝ่าย เธอยังจับมือปีศาจเสือดาวเอาไว้

และทันใดนั้นเองงูๆปีศาจเสือดาวก็พูดกับลูกน้องคนนั้นว่า “ถอยออกไป !”

พอปีศาจหนูได้ยินคําพูดนี้ แม้จะเลิกลักอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ต้องหยุดเคลื่อนไหว และพูดกับปีศาจเสือดาวว่า “ขอรับ ท่านเทพ”

หลังจากพูดจบ เขาก็หยุดเคลื่อนไหว แต่ยังทําหน้าดุร้าย และเตรียมพร้อมโจมตีใส่มู่หลงเหยียนตลอดเวลา

ในเวลาเดียวกัน ปีศาจเสือดาวก็ทําหน้าซีเรียส กลั้นความเจ็บปวดที่ข้อมือเอาไว้ แล้วจ้องมายังมู่หลงเหยียน “แม่นางเจ้าเป็นใครกัน ?”

พอมู่หลงเหยียนได้ยินอีกฝ่ายถามแบบนั้น กลับเค้นเสียงดัง “คนที่แกหาเรื่องไม่ได้ !”

หลังจากพูดจบมู่หลงเหยียนก็ออกแรงที่มืออีกครั้ง ทันใดนั้นเสียง “กร็อบ” ก็ดังขึ้น มู่หลงเหยี ยนอาศัยแค่แขนเพียงข้างเดียว ก็สามารถหักข้อมือของปีศาจเสือดาวตนนี้ได้แล้ว

“อ้า !” ปีศาจเสือดาวกรีดร้อง รู้สึกได้เพียงกล้ามเนื้อที่ฉีกขาด

ม่หลงเหยียนทําหน้าน้ําแข็ง เยือกเย็นดังเดิม เพียงซัดฝ่ามือออกไปครั้งหนึ่งเท่านั้น

“ปัง” คลื่นพลังหยินอันมหาศาลระเบิดออกมาในทันที

ปีศาจเสือดาวท่านเทพผู้แข็งแกร่งแห่งสํานักสื่อเย่ โดนซัดกระเด็นออกไปในทันที

ร่างของเขาร่วงหล่นลงเหมือนใบไม่ในฤดูใบไม้ผลิ ในช่วงเวลานั้นเขาล้มกลิ้งไปไกลกว่าเจ็ดแปดเมตร

จนไปถึงข้างพุ่มไม้พุ่มหนึ่ง

“ท่านเทพ ท่านเทพ…..” ปีศาจหนูทําหน้าเหวอ รีบวิ่งตามไปทันที

ส่วนทางฝั่งของพวกเราต่างเห็นฉากนี้กันทุกคน

นอกจากพี่เฟิงแล้ว คนอื่นต่างมองเห็นมู่หลงเหยียนไม่ชัดเห็นได้เพียงแค่ร่างที่เลือนลาง

แต่คราวนี้ แต่ละต่างได้ยินเสียงมู่หลงเหยียนด้วย

ตอนนี้ เมื่อเห็นท่านเทพแห่งสํานักสื่อเย่ที่แข็งแกร่ง โดนซัดปลิวออกไปแบบนั้น

ทุกคนก็รู้สึกไม่อยากเชื่อเท่าไหร่ ต่างอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้า และตกใจกันสุดๆ……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset