ศพ – ตอนที่ 499 หยุดท่านนักพรตตู๋

ตอนที่ 499 หยุดท่านนักพรตตู๋

เรื่องของท่านนักพรตตู๋ที่ทําให้พวกเราอดกังวลไม่ได้ ตอนนี้ตัวเราเต็มไปด้วยพลัง แต่ละคนต่างรีบวิ่งไปทางแม่น้ํา

สวนสาธารณะแห่งนี้อยู่ห่างจากแม่น้ําไม่มากนัก หลังออกมาจากสวนสาธารณะ วิ่งต่อไปทางตะวันตกอีกประมาณ 200 เมตร ก็จะเจอกับแม่น้ําสายนึ่งแล้ว

พวกเราไม่กี่คนวิ่งเร็วมาก ผ่านไปไม่นานก็ออกจากสวนสาธารณะ แล้วสุดท้ายก็วิ่งไปทางริมแม่น้ําแล้ว

ในเวลานี้แทบไม่มีใครอยู่บนถนน บรรยากาศเงียบสงบมาก มีเพียงเสียงฝีเท้าของพวกเราไม่กี่คนเท่านั้น

หลังวิ่งผ่านถนนมาสองเส้น พวกเราก็มองเห็นแม่น้ําสายเล็กๆสายหนึ่ง

หลังวิ่งต่อมาได้อีกสักพัก เราก็เห็นบางอย่างลางๆ

มีเงาด่าของใครคนหนึ่งกําลังวิ่งตามริมแม่น้ํา และด้านหลังของเงาดํานั้น ยังมีใครอีกคนกําลังวิ่งตามอยู่ด้วย

แม้ฟ้าจะมืด แต่จากรูปร่างของทั้งสองคน ผมมั่นใจว่า

พวกเขาไม่ใช่คนอื่นๆ พวกเขาก็คืออาจารย์และท่านนักพรตตู๋

เหล่าเฟิงและพี่เฟิงที่วิ่งอยู่หน้าสุดก็ดูออกว่าเป็นท่านนักพรตตู๋ พวกเราเลยเร่งความเร็ว รีบพุ่งเข้าไปหาทันที

เหล่าเฟิงเผยสีหน้ากังวล พร้อมตะโกนไปทางเงาดําที่อยู่ด้านหน้า “อาจารย์ !”

แต่อีกฝ่ายกลับไม่ตอบโต้ ใครคนนั้นยังคงวิ่งตามริมแม่น้ําไปเรื่อยๆ

เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่หยุด พวกเราก็กระโดดลงจากระเบียงกั้นที่สูงกว่าสองเมตร แล้ววิ่งเข้าไปหาที่ริมแม่น้ํา เตรียมจะหยุดท่านนักพรตต์เอาไว้ให้ทันที

พี่เฟิงวิ่งเร็วที่สุด ในเวลานี้เขาได้เข้าใกล้ท่านนักพรตต์แล้ว

ทันใดนั้นเองเราก็ได้ยินเสียงพี่เฟิงตะโกน “ตาแก่ หยดเดี๋ยวนี้ !”

หลังจากพูดจบ พี่เฟิงยังยื่นมือออกไป คิดจะจับตัวท่านนักพรตต์เอาไว้

แต่พอท่านนักพรตตู๋ได้เสียงนี้ เขาก็คํารามเหมือนสัตว์ร้ายออกมาหนึ่งครั้ง “โฮก !”

ในขณะที่เสียงคารามนี้ดังขึ้น ท่านนักพรตต์ก็ทําตัวเหมือนสัตว์ มือเท้าติดพื้น รีบกระโจนเข้าหาพี่เฟิงทันที

“ตาแก่ แกคิดจะทําอะไรฮะ !” พี่เฟิงตกใจ แต่มันสายไปแล้ว ท่านนักพรตตู๋พุ่งเข้ามาหาเขาแล้ว

พี่เฟิงได้แต่ยกมือกัน เพียงแค่พบหน้า พี่เฟิงก็โดนซัดจนต้องถอยออกมา และล้มกลิ้งลงกับพื้นทันที

ผมวิ่งตามอยู่ข้างหลังไม่ไกลนัก ตอนนี้ ผมเปิดตาแล้ว ในที่สุดก็ได้เห็นตัวท่านนักพรตต์อย่างชัดเจน

ท่านนักพรตตู๋กลายร่างแล้ว นัยน์ตาเหมือนสัตว์ร่างกายมีขนขึ้นพอสมควร กรงเล็บแหลมคม และยังมีเขี้ยวโผล่ออกมาให้เห็น

หรือจะพูดว่า ท่านนักพรตต์ได้กลายร่างเป็นปีศาจระยะแรกแล้ว

และระยะถัดไป ก็คือการกลายร่างครั้งที่สอง

ถ้ายึดตามเวลา ร่างกายของท่านนักพรตต์จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือจะเรียกได้ว่าเปลี่ยนไปแบบผิดมนุษย์

เขาจะกลายเป็นสัตว์สี่ขา หรือแม้แต่มีใบหน้าบิดเบี้ยว กลายสภาพเป็นสัตว์ร้าย

จนกระทั่งกลายเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์ เปลี่ยนเป็นปีศาจในระยะสองได้อย่างสมบูรณ์

สภาพครึ่งคนครึ่งสัตว์แบบนี้ จะเป็นจนกระทั่งกลายร่างเป็นปีศาจในระยะสามสําเร็จ

หลังกลายร่างเป็นปีศาจระยะสามเสร็จแล้ว ผู้ที่กลายร่างก็จะสามารถควบคุมพลังปีศาจในร่างตนเองได้ กลายเป็นตัวประหลาดที่ไม่ใช่คนและปีศาจอย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย หรือ จิตใจของเขา

ก็จะเปลี่ยนไปอย่างไม่มีวันหวนคืน

แน่นอน สภาพของพวกเรา กลับสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามใจชอบ จะเป็นคน หรือจะเป็นสัตว์ก็ได้

แต่ไม่ว่ายังไง ขอแค่กลายเป็นปีศาจแล้ว ล้วนต้องพึ่งยาพิเศษที่ใช้ควบคุมสัญชาตญาณสัตว์ป่าของสํานักสื้อเย่ทั้งนั้น

ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นเหมือนท่านนักพรตต์ ที่ไม่มีสติสัมปชัญญะใดๆหลงเหลือ จิตวิญญาณสัตว์ครองร่างอย่างสมบูรณ์

“อาจารย์ !” เหล่าเฟิงตะโกน และพุ่งเข้าไป เตรียมจะหยุดท่านนักพรตตู๋เอาไว้เช่นกัน

แต่ท่านนักพรตตู๋กลับไม่แยแส ราวกับจําเหล่าเฟิงไม่ได้เช่นกัน

เมื่อเห็นเหล่าเฟิงมาขวางทาง เขาก็คํารามออกมา จากนั้นก็ยกกรงเล็บขึ้นแล้วตวัดออกไปทันที

เหล่าเฟิงทําหน้าตกใจ รับเบี่ยงตัวหลบทันที

แต่เขาช้าไปนิด กรงเล็บที่แหลมคมของท่านนักพรตต์ เนื้อนลงที่ไหล่ซ้ายของเหล่าเพิ่ง

เหล่าเฟิงร้องออกมาสั้นๆ พร้อมกันนั้นก็โดนซัดให้ล้มกลิ้งไปในทันที

มันยังไม่จบเท่านี้ หลังเหล่าเฟิงโดนท่านนักพรตต์ซัดจนล้มลงไปแล้ว ท่านนักพรตต์ยังพุ่งเข้าไปคร่อมทับบนตัวเหล่าเฟิง จากนั้นก็อ้าปาก เผยให้เห็นคมเขี้ยว แล้วสุดท้ายก็ก้มลงคิดจะกัดเหล่าเฟิง

“เหล่าเฟิงระวัง !” ผมตกใจ รีบตะโกนบอกเขาทันที

แต่มือทั้งสองข้างของเหล่าเฟิงโดนมือท่านนักพรตตู้กดเอาไว้ และท่านนักพรตต์ในตอนนี้ ยังแรงเยอะสุดๆ

เหล่าเฟิงไม่อาจขัดขืนได้เลยสักนิด เขาได้แต่มองคมเขี้ยวของท่านนักพรตติพุ่งเข้ามาหาตัวเอง

แต่ในวินาทีเป็นตายนั้น มู่หลงเหยียนก็ได้แสดงพลังอันยิ่งใหญ่อีกครั้ง

เดิมที่พวกเราอยู่ห่างกันประมาณ 10 เมตร แต่มันกลับเห็นได้ชัดว่าเราเข้าไปช่วยไม่ทันแน่

แม้พี่เฟิงที่อยู่อีกทางด้านหนึ่งจะอยู่ใกล้หน่อย แต่เขาเองก็ช่วยเหล่าเฟิงไม่ทันเช่นกัน

ส่วนอาจารย์ไม่ต้องพูดถึงเลย เหมือนจะถึงขีดจํากัดของเขาแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ห่างไปไกลกว่า 50 เมตร

แต่มู่หลงเหยียนที่อยู่ข้างๆ กลับตัวสั่น ระเบิดพลังหยินที่มหาศาลออกมาทันที

ต่อจากนั้น ผมก็เห็นมู่หลงเหยียนหายตัว เปิดใช้ความเร็วจนถึงขีดสุด

ระยะห่าง 10 เมตร กลายเป็นระยะทางเพียงชั่วพริบตา

ในวินาทีที่คมเขี้ยวของท่านนักพรตต์ที่กําลังจะกัดลงไปที่เหล่าเฟิง มู่หลงเหยียนก็ใช้เท้าถีบท่านนักพรตตู๋ที่กลายร่างเป็นปีศาจจนกระเด็นออกไป เธอช่วยชีวิตเหล่าเฟิงไว้

หลังรับรู้ได้ถึงความรู้สึกหลังมีชีวิตรอด หัวใจของเหล่าเฟิงก็เต้นแรงทันที

เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าตัวเองเกือบต้องตายในเงื้อมมืออาจารย์

หลังมู่หลงเหยียนถีบท่านนักพรตต์เสร็จแล้ว เธอก็ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น

เธอเขาไปกดตัวเขาเอาไว้ ใช้พลังอันมหาศาลของตัวเอง ประทับฝ่ามือลงไปบนร่างเขาสองสามครั้งรัวๆ

ฝ่ามือไม่กี่ครั้งนี้ไม่ได้คิดจะเอาชีวิตท่านนักพรตต์ มันเป็นเพียงแค่การยับยั้งพลังปีศาจในร่างเขาเท่านั้น

พี่เฟิงก็ตามมาเช่นกัน เมื่อเห็นพลังปีศาจในร่างท่านนักพรตต์โดนสะกดเอาไว้แล้ว เขาก็รีบตามขึ้นมา

แล้วสุดท้ายก็ออกแรงกดเขาเอาไว้กับพื้น มือสองข้างไขว้หลัง พยายามทําให้ตัวอีกฝ่ายอยู่ติดกับพื้นตลอด

แต่ในเวลานี้ ท่านนักพรตต์กลับเป็นเหมือนสัตว์ร้าย แววตาเปล่งประกายจิตสังหารของสัตว์เดรัจฉาน

ใบหน้าดุร้าย พร้อมคําราม “โฮกๆๆ” ออกมาไม่หยุด

ในปากยังมีน้ําลายไหลออกมาจํานวนมาก บางครั้งก็ยังหันมา คิดจะกัดพี่เฟิง

ผมมาอยู่ตรงหน้าเหล่าเฟิงแล้ว ขณะมองเหล่าเฟิงที่ดูค่อนข้างหวาดกลัว ผมก็เอื้อมมือออกไป

“เหล่าเฟิง ไม่เป็นไรนะ”

พอเหล่าเฟิงได้ยินเสียงผม เขาถึงได้มีสติกลับมาอีกครั้ง

ต่อจากนั้นเขาก็ยื่นมือมาคว้ามือผม เพื่อพยุงตัวให้ลุกขึ้นยืน “ฉันไม่เป็นไร เพียงแค่คิดไม่ ถึงว่าคิดไม่ถึงว่าแม้แต่ฉันอาจารย์ก็ยังจําไม่ได้ !”

หลังจากพูดจบ เหล่าเฟิงก็มองท่านนักพรตต์ด้วยสีหน้ากังวลพอสมควร

ท่านนักพรตตู๋ยังพยายามดิ้นรนต่อไป เหมือนลืมพวกเราทุกคนไปแล้ว ในสายตาของเขา พวกเราคือศัตรู หรืออาจเป็นอาหารของเขา

“เสี่ยว เสี่ยวฝาน เหล่า เหล่าต์เป็นยังไงบ้าง ?” อาจารย์หอบหายใจ ในที่สุดเขาก็ตามทันสัก

ผมเห็นอาจารย์หอบหายใจแรงมาก เลยเข้าไปประคองเขา “อาจารย์ อาการของลุงตู้ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ !”

อาจารย์จับมือและไหล่ของผมเอาไว้ อ้าปากหายใจเฮือกใหญ่ บนหน้าเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ

แต่เขาเองก็ไม่คิดจะหยุดพัก ต่อจากนั้นเขาก็รีบมองไปที่ท่านนักพรตต์ แล้วบ่นพึมพําด้วยความรู้สึกตกใจและโทษตัวเอง “เหล่า เหล่าตู้ นายทนเอาไว้ก่อนนะ ! ถ้าไม่ได้ ถ้าไม่ได้เป็นเพราะฉัน นาย นายจะมาเป็นแบบนี้ได้ยังไง !”

พอได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ผมก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย คําพูดของอาจารย์มีนัยอยู่ !

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาถาม เนื่องจากต้องทําให้สถานการณ์ของท่านนักพรตติคงที่ก่อน นี่ถึงจะเป็นเรื่องสําคัญที่สุดในตอนนี้

มู่หลงเหยียนเห็นอาจารย์มาอยู่ตรงหน้าท่านนักพรตต์ เลยพูดกับอาจารย์ผมว่า “นักพรตต์ถูกฉันสกัดจุดสําคัญๆเอาไว้แล้วอีกเดี๋ยวจะกลับมาสงบเหมือนเดิม !”

พออาจารย์ได้ยินแบบนั้น ดวงตาก็เป็นประกาย หลังหันไปมองท่านนักพรตตู้ที่กําลังดิ้นรนอยู่แล้ว

เขาก็หันกลับมาพูดกับมู่หลงเหยียน “แม่หนู มีวิธีอะไรบ้างไหม ที่จะช่วยเหล่าได้ ก่อนหน้านี้ ถ้าไม่ได้เป็นเพราะเหล่าตู๋มาช่วยฉัน สละตัวเอง เขาก็คงไม่เปลี่ยนเป็นแบบนี้…..”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset