ศพ – ตอนที่ 508 รุมสังหารท่านเทพแห่งสํานักสื่อเย่

นิยาย ศพ ตอนที่ 508 รุมสังหารท่านเทพแห่งสํานักสื่อเย่

เพราะอาจารย์บาดเจ็บผมเลยโมโหสุดๆ

ตอนนี้พอเห็นปีศาจเสือดาวยังคงสู้อยู่กับปู่หลิวและยายหูชี ผมก็ไม่คิดจะยืนดูนิ่งๆเลยสักนิดในวินาทีนั้นผมวิ่งเข้าไปทันที

ในมือผมกํามีดปลิดวิญญาณวิ่งเข้าไปใกล้หลังของปีศาจเสือดาวตนนั้นเรื่อยๆ

ส่วนหูเหมยเธอเร็วกว่าผม ตอนนี้เข้าไปในเขตต่อสู้แล้ว

แต่ปีศาจเสือดาวตนนั้นแข็งแกร่งมากจริงๆ แม้จะบาดเจ็บสาหัส แต่เจ้าหมอนั้นก็ยังแข็งแกร่งอยู่ดี

เพียงชั่วพริบตา ผมก็เข้ามาในบริเวณที่ต่อสู้กันแล้ว แต่ผมไม่ได้โดนความโกรธครอบง่าผมรู้ความสามารถของตัวเองดี เมื่ออยู่ต่อหน้าปีศาจเสือ
ดาว

พลังอันน้อยนิดอย่างผมเป็นแค่มดปลวกตัวหนึ่งเท่านั้น

ดังนั้น ผมไม่ได้ว่วามลงมือ เพียงรออยู่รอบนอก เตรียมตัวรอให้ปีศาจเสือดาวเผยช่องโหว่ออก มาจากนั้นผมก็จะลงมือกับเขาทันที

หูเหมยเองก็ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับพวกเขา เธอเองก็แข็งแกร่งกว่าผมแค่นิดหน่อยเท่านั้น

เธอเองก็เป็นเหมือนผม ต่างรอคอยโอกาส ผมอยู่ซ้ายเธอก็อยู่ขวา หากมีโอกาสเมื่อไหร่ผมและหูเหมยก็จะลงมือทันที

ถ้าล้มเหลว ผมก็จะไม่หยุดกับที่เลยสักวินาทีไม่อย่างงั้นชีวิตของตัวเองอาจตกอยู่ในอันตราย

เมื่อเวลานั้นมาถึงไม่เพียงจะไม่ช่วยพวกปู่หลิ่ว กลับกันยังจะเป็นตัวถ่วงให้กับพวกเขา แบบนั้นจะไม่ดีเอา

การต่อสู้ดุเดือดผิดปกติ ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ปู่หลิวและยายหชี ได้สู้กับปีศาจเสือดาวมาครึ่งชั่วโมงแล้ว

แม้ผมและหูเหมยจะรอคอยโอกาสอยู่ทั้งสองด้าน แต่เราก็ยังไม่เห็นโอกาสดีๆ การต่อสู้ยังคงคู่คี่สูสีต่อไป

แต่ ผมกลับสังเกตเห็นจังหวะหายใจของปีศาจเสือดาว ตอนนี้มันค่อยๆเร็วขึ้น การโจมตีก็ไม่ได้ดุดันเหมือนเมื่อตอนแรกแล้ว

ผมเดาว่านี่อาจเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของปีศาจเสือดาว เนื่องจากเมื่อคืนเจ้าหมอนี่บาดเจ็บหนัก

แม้ว่าการฟื้นตัวของเขาจะเร็ว แต่ก็ไม่มีทางหายภายในเวลาคืนเดียว

ตอนนี้ยังมาส์แบบดุเดือดกับพวกปู่หลิว จึงอาจเป็นไปได้มากที่มันจะส่งผลกระทบต่อบาดอาการบาดเจ็บภายในของเขา

ขอแค่พวกเราพยายามต่อไปทําให้เขาต้องหักโหมแบบนี้ต่อไป

เจ้าปีศาจเสือดาวตนนี้ ต้องเผยช่องโหว่ออกมา แล้วสุดท้ายเขาก็จะโดนพวกเราจัดการ

ดังนั้น พวกเราทุกคนเลยไม่ยอมแพ้ ยังคงจับตาดูการต่อสู้อย่างใกล้ชิดต่อไป

ผ่านไปอีกประมาณ 5 นาที ในที่สุดโอกาสที่รอคอยก็มาถึง จ่ๆปีศาจเสือดาวก็ปะทะฝ่ามือกับปู่หลิวและยายหูชีทั้งสามคนต่างนําพาพลังอันมหาศาล

การปะทะกันครั้งนี้ ทําให้เราได้ยินเพียงเสียงดัง “ปัง” คลื่นพลังอันมหาศาลทั้งสามนั้นระเบิดออกในทันที

คลื่นพลังที่ปั่นป่วนพวกนั้น เป็นเหมือนระลอกคลื่น พวกมันแพร่ออกไปรอบๆอย่างต่อเนื่อง

รอบๆของที่นี่โดนกวาดด้วยคลื่นลมทันที

ไม่ใช่แค่นั้น สิ่งที่สําคัญที่สุดคือ หลังปะทะฝ่ามือนี้แล้ว ปู่หลิว ยายห% และปีศาจเสือดาวต่าง โดนซัดกระเด็นออกไปพวกเขาสูญเสียการทรงตัวชั่วขณะ

พอเห็นแบบนั้น ผมและหูเหมยที่รออยู่ก็มีคําว่า “โอกาส” ผุดขึ้นมาในสมองทันที

ผมและหูเหมยไม่ลังเลเลยสักนิด ต่างเล็งปีศาจเสือดาวที่กําลังสูญเสียการทรงตัว และกําลังถอยไปด้านหลังทันที

หูเหมยเป็นจิ้งจอก เธอเร็วกว่าผม เพียงแค่ชั่วพริบตาหูเหมยก็กระโดดลอยตัว “โฮก” หลังคํารามออกมา

เธอก็กางกรงเล็บอันคมกริบข้างหนึ่ง แล้วเล็งและตวัดไปที่หัวของปีศาจเสือดาวการกระทําทุกอย่างนี้เป็นเหมือนสายน้ําไหลมันเป็นการเคลื่อนไหวที่เร็วมาก

กรงเล็บในครั้งนี้ เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังหากปีศาจเสือดาวโดนเข้า แม้จะไม่ตายแต่ก็ต้องเป็น

แผลเหวอะ

และบาดเจ็บสาหัสจนต้องล้มลงไปนอนกองกับพื้นอย่างแน่นอน

ส่วนผมวิ่งตามไปข้างหลังพร้อมกํามีดปลิดวิญญาณแน่น ผมคิดจะไปโจมตีซ้ํา

แม้เจ้าปีศาจเสือดาวที่สูญเสียการทรงตัวตนนั้นจะยังไม่ทันได้ยืนดีๆ แต่เขากลับเห็นการโจมตีของหเหมยแล้วสีหน้าเขาเลยเปลี่ยนไปทันทีเขาทําหน้าตกใจและหวาดกลัวออกมาเล็กน้อย

จากนั้นก็รีบเบี่ยงตัวพยายามหลบกรงเล็บของหูเหมยอย่างสุดตัว ไม่พูดไม่ได้ ปฏิกิริยาตอบสนองของเจ้าหมอนี่มันเร็วจริงๆ

ร่างกายของเขาเหมือนกําลังบิดเบี้ยว หลบการโจมตีของหูเหมยแบบดิบๆ กรงเล็บของหูเหมยเนื้อนผ่านหน้าเขาไป แต่มันก็ยังทิ้งรอยข่วนไปรอยหนึ่ง

หลังคาดจากกรงเล็บของหูเหมยแล้ว ปีศาจเสือดาวก็พลิกฝ่ามือหันมาโจมตีเธอตัวหูเหมยที่อยู่กลางอากาศ เธอไม่มีทางหลบได้

บวกกับปีศาจเสือดาวมีพละกําลังมหาศาล และเคลื่อนไหวเร็วสุดๆ

ผลลัพธ์ฝ่ามือนั่น ซัดเข้าที่ซี่โครงซ้ายของหูเหมยเต็มๆ

“ปัง” ต่อจากนั้นเสียงกระดูกหักสองสามซี่ก็ดังขึ้น จากนั้นเราก็ได้ยินเสียงของหูเหมย พร้อมด้วยร่างของเธอที่กระเด็นออกมา……
“เสี่ยวเหมย !”

“หลาน !”

ปู่หลิ่วและยายหชีพูดด้วยความตกใจ จากนั้นก็รีบวิ่งไปทางหูเหมยที่โดนโจมตีทันที

ไม่พูดไม่ได้ เจ้าปีศาจเสือดาวตนนี้ร้ายกาจและแข็งแกร่งจริงๆนั่นแหละ

ในขณะที่ยังทรงตัวไม่ได้ และภายใต้สถานการณ์เร่งด่วน เขาไม่เพียงหลบการโจมตีของหูเหมยได้

แต่ยังโจมตีหูเหมยกลับได้อีกด้วย ฝีมือแบบนี้ จะเห็นได้ว่าทักษะการต่อสู้และความสามารถของอีกฝ่ายยอดเยี่ยมมาก

แต่ก็น่าเสียกาย ไม่ว่าเจ้าหมอนจะร้ายกาจขนาดไหน แต่มันก็ต้องมีจุดจบเสมอ ตอนนี้อย่าได้หวังจะหนีจากเงื้อมมือผมไปได้เลย

ในขณะที่อีกฝ่ายซัดฝ่ามือใส่หูเหมย ผมก็เข้ามาใกล้เขาแล้ว ผมเหมือนกับภูติผีตนหนึ่ง ที่เข้ามาปรากฏตัวที่ด้านหลังของปีศาจเสือดาว

“ไอ้ชั่ว เวลาตายของแกมาถึงแล้ว !” ผมพูดอย่างเย็นชา

ส่วนปีศาจเสือดาวตนนั้น ก็ตื่นตกใจขึ้นมาทันที

เมื่อกี้ตอนหลบการโจมตีของหูเหมย และยังโจมตีกลับนั้น ถือเป็นขีดจํากัดของร่างกายเขาแล้ว

ตอนนี้ เมื่อด้านหลังยังมีศัตรูปรากฏตัวขึ้นอีกเขาก็แทบโต้กลับไม่ได้ ส่วนผมก็ปรากฏตัวออกมา

ในช่วงเวลาสําคัญพอดี

ในมือกํามีดปลิดวิญญาณแน่น พร้อมเล็งไปที่หลังของปีศาจเสือดาว จากนั้นผมก็แทงมีดลง ไปทันที

ผมลงมือไร้ความปรานี้ “ฉีก” คมมีดแทงทะลุเสื้อคลุมสีดําของเขาทันที สุดท้ายมันก็ลงไปปักบนหลังของเขา

“อ้า !” เจ้าปีศาจตนนั้นกรีดร้องพร้อมตัวสั่นอยู่พักหนึ่ง

มีดปลิดวิญญาณเป็นอาวุธธรรมดาที่ไหนละ ความสามารถอันยิ่งใหญ่ของมันคือการดูดซับพลังวิญญาณ

มีดปลิดวิญญาณเพิ่งเข้าไปในตัวอีกฝ่าย ปีศาจเสือดาวก็สัมผัสได้ว่าพลังในตัวไหลไปที่มีดปลิดวิญญาณอย่างต่อเนื่อง ราวกับพวกมันกําลังโดนอาวุธชิ้นนี้กลืนกิน

หลังมีดปักเข้าไปที่หลังของอีกฝ่าย ผมก็หมุนข้อมือ เพิ่มพื้นที่แผลเขาทันที

สิ่งที่ผมจะทําในคืนนี้คือ ฆ่าเจ้าปีศาจตรงหน้าตนนี้ ผมไม่อยากให้เขามีโอกาสหรือความเป็นไปได้ในการมีชีวิต

ในขณะที่มีดปลิดวิญญาณเคลื่อนที่ เจ้าปีศาจตนนั้นก็กรีดร้องออกมาอีกครั้ง แต่ตัวเขาพุ่งไปข้างหน้าเร็วมากจากนั้นเขาก็พยายามกลั้นความเจ็บบนตัวเอาไว้แล้วทิ้งระยะห่างจากผมทันที

มือข้างหนึ่งของเขากุมแผลด้านหลังเอาไว้ เลือดสดๆไหลออกจากตามร่องนิ้วของเขาไม่หยุด

ร่างกายของเขาดูเซหน่อยๆ ใบหน้าเจ็บปวด ดวงตาเต็มไปด้วยไฟแค้น “แก แกทําร้ายฉัน…..”

“ฮ! ทําร้ายงั้นเหรอ ? คืนนี้ฉันจะฆ่าแกต่างหาก !” ผมพูดอย่างดุดัน พร้อมกันนั้นผมก็ยกมีดปลิดวิญญาณขึ้นจะเข้าไปโจมตีอีกครั้ง

แต่สิ่งที่ทําให้ทุกคนคาดไม่ถึงคือ หลังเจ้าปีศาจตนนั้นโดนผมทําให้บาดเจ็บจนตกอยู่ในสภาพนั้นแล้ว ตอนนี้เขายังมีแรงสู้กลับเหลืออยู่อีก

จู่ๆเขาก็ครามออกมา ทันใดนั้นพลังมหาศาลก็ออกมาจากร่างเขา พลังอันดํามืดแพร่ออกมาตามผิวของเขา

ต่อจากนั้นเขาก็ยกมือประสานอินขึ้นข้างหนึ่ง แล้วชี้มาทางผม “เพี้ยง !” ทันใดนั้นเองหมอกอันดํามืดก็ตรงเข้ามาหาผมทันที

พอเห็นฉากนี้ หน้าผมก็เปลี่ยนสีทันที

เมื่อกี้อาจารย์ก็เพิ่งบาดเจ็บเพราะหมอกดําของลูกสมุนคนนึง ถ้าผมโดนหมอกดําของเจ้าปีศาจเสือดาวตัวนี้เข้าไป ผมจะไม่จบเห่เลยเหรอ

ผมไม่กล้าลีลารีบถอยหลัง เพื่อหลบการโจมตีนี้ทันที

พอทางผมหลบแล้ว เจ้าหมอกด่าพวกนั้นก็พุ่งชนพุ่มไม้ที่ผมซ่อนตัวอยู่

ผลลัพธ์เจ้าพุ่มไม้พวกนั้นส่งเสียง “ซ่าๆๆ” ออกมาทันที หลังจากนั้นผมก็เห็นใบไม้สีเขียวสด

แห้งเหี่ยวลงทันที

ผิวของใบไม้ โดนกัดกร่อนที่ละนิดจนสุดท้ายมันก็เหมือนกับใยแมงมุมที่เหลือแต่กิ่งก้านที่ตายแล้ว……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset