ศพ – ตอนที่ 509 ตามฆ่า

นิยาย ศพ ตอนที่ 509 ตามฆ่า

เจ้านี่น่าจะเป็นความสามารถพิเศษหรือวิชาบางอย่างอย่างสานักสื่อเย่ และมันเป็นอะไรที่ร้ายกาจมาก

ควันดํามีฤทธิ์กัดกร่อน ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ขอแค่สัมผัสกับเจ้าควันดําพวกนี้มันก็จะโดนกัดกร่อนอย่างรวดเร็ว

และควันด่าที่เจ้าปีศาจเสือดาวพ่นออกมา ก็ยังมีฤทธิ์รุนแรงกว่า

แม้จะเป็นกรดซัลฟิวริก EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq และเหลือไว้เพียงกิ่งก้าน

ผมตกใจสุดๆ ใบหน้าเผยให้เห็นความตกตะลึง

โชคดีที่เมื่อกี้ผมหลบทัน ไม่อย่างนั้นตอนนี้ผมอาจโดนควันพวกนั้นกัดกร่อนจนเหลือแต่กระดูกแล้ว

แม่ใจจะกําลังเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดมาก

เพราะหลังเจ้าหมอนั่นพ่นควันดําออกมาเสร็จ มันก็หมุนตัวแล้ววิ่งออกไปนอกศาลเจ้าทันที

สิ่งที่ผมต้องทําในตอนนี้ คือลงมือกับเจ้าหมอนั่นอีกครั้ง ทําให้มันตายให้จงได้

ผมยังไม่ได้ขยับตัว ทางปู่หูลิ่วก็ระเบิดเสียงโมโหออกมาแล้ว “ทําร้ายหลานฉันแล้ว อย่าหวังว่าจะหนีไปได้เลย !”

หลังจากพูดจบ ปู่หูลิ่วก็พุ่งออกไปแล้ว เขาเคลื่อนไหวเร็วมาก

ผมเองก็ไม่รอช้า ถือมีดปลิดวิญญาณ แล้ววิ่งตามไปเช่นกัน

ผ่านไปเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว ผมและปู่หูลิ่วก็ออกมาอยู่ตรงหน้าประตูศาลเจ้าแล้ว

แต่เพิ่งมาถึงประตู เราก็เห็นเจ้าปีศาจหยิบขวดขนาดเล็กออกมาหนึ่งขวด จากนั้นก็เทยาบางอย่างออกมาหนึ่งเม็ด แล้วสุดท้ายก็กลืนหายเข้าไปในปาก

ผมและปู่หูลิ่วต่างค่อนข้างงุนงง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกินยาอะไรเข้าไป

แต่เจ้ายานี้เพิ่งถูกกินเข้าไป ในร่างกายของเจ้าปีศาจก็ดูเหมือนจะมีคลื่นพลังบางอย่างปรากฏขึ้น

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาคิด เราวิ่งไปข้างหน้าต่อ คิดจะฆ่าอีกฝ่ายให้จบเรื่อง

แต่ผมและปู่หลิ่วก้าวเท้าไปข้างหน้า จู่ๆอีกฝ่ายก็ยกมือขึ้นมาประสานอิน

ตอนผมเห็นอีกฝ่ายทํามือประสานอิน ในใจก็มีเสียงดัง “บิ๊ก” เจ้าท่าทางประสานมือนี่ไม่ใช่ท่าเสกคาถาศาสตร์ฉีเหมินตันเจียที่เจ้าหมอนั่นใช้หนีไปเมื่อคืนเหรอ

ผมทําหน้าตกใจ รีบพูดขึ้นมาทันที “แย่แล้ว มันคิดจะหนี !”

เสียงเพิ่งเงียบลง เจ้าปีศาจเสือดาวตนนั้นก็จ้องมาทางผมและปู่หลิ่วอย่างดุร้าย จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “เพี้ยง !”

คําพูดนี้เพิ่งดังขึ้น รอบตัวเจ้าปีศาจตนนั้นก็มีประแสลมเกิดขึ้นอย่างรุนแรง

ต่อจากนั้น ม่านหมอกสีดําทมิฬก็ปรากฏขึ้น เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวพวกมันก็ห้อมล้อมตัวเจ้าปีศาจเอาไว้จนหมด

แม้ปู่หูลิ่วจะเร็วมาก แต่กรงเล็บที่ตวัดออกไป ก็โดนเข้ากับหมอกดํา

ผลลัพธ์การโจมตีของปู่หลิ่วในครั้งนี้ ไม่เพียงไม่อาจทําร้ายอีกฝ่ายได้ แม้แต่ขนเส้นเดียวเขาก็ยังคว้าไว้ไม่ได้

หลังพวกเราก้าวเข้าไป เราก็พบว่าหมอกดําพวกนั้น เริ่มกระจายตัวออกแล้ว

ปีศาจเสือดาวที่อยู่ในศาลเจ้าเมื่อกี้ ก็ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว

และหมอกดํากลุ่มนั้น ก็หายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน

เพียงแต่ตรงตําแหน่งที่ปีศาจเสือดาวยืนอยู่เมื่อกี้ มีรอยสลักรูปปาถั่วเหลือทิ้งเอาไว้เท่านั้น

เมื่อเห็นถึงตรงนี้ ผมก็อดกัดฟันไม่ได้ ในใจเต็มไปด้วยความโมโห “เวรเอ๊ย ปล่อยให้หนีไปได้อีกแล้ว !”

ปู่หลิ่วพยายามสูดดมกลิ่นจากอากาศไม่หยุด เขาอยากใช้ทักษะการดมกลิ่น ตามหาร่องรอยของอีกฝ่าย

แต่หลังจากที่ปู่หลิ่วดมกลิ่นมาได้พักหนึ่ง เขาก็เลิกคิ้วขึ้น แล้วตะโกนออกมาว่า “ทางนี้ !”

หลังจากพูดจบ ปู่หูลิ่วก็พุ่งออกไปทางหน้าต่างด้านข้างทันที

เมื่อเห็นปู่หลิ่วเจอร่องรอยของปีศาจเสือดาว จากการดมกลิ่น ในใจของผมก็เริ่มกลับมามีความหวังเล็กน้อย

ผมไม่รอช้า รีบพุ่งออกไปทางหน้าต่างที่ปู่หูลิ่วกระโดดออกไปทันที จากนั้นก็วิ่งตามปู่หูลิ่วไปติดๆ

ผลลัพธ์เพิ่งไล่ตามออกมาได้ประมาณ 100-200 เมตร ผมก็พบกับรอยเลือดสดๆบนพื้น

หยดเลือดยังร้อนอยู่ เห็นได้ชัดว่าน่าจะเป็นเลือดของเจ้าปีศาจเสือดาว

เขาใช้วิธีพิเศษบางอย่างจากศาสตร์ฉีเหมินตันเจี่ย ถึงหลบหูตาพวกเราได้ และหนีออกมาได้ระยะหนึ่ง

แต่ระยะที่ว่ามีจํากัด เนื่องจากคนคนหนึ่ง ไม่มีทางหายไปอย่างไร้ร่องรอยได้แน่นอน

ในเวลานี้เมื่อเจอร่องรอยของอีกฝ่ายแล้ว ผมก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาไม่น้อย

ปู่หูลิ่ววิ่งไปด้านหน้าเรื่อยๆ ใช้จมูกดมไม่หยุด คอยตามร่องรอยไปเรื่อยๆ

แม้พวกเราจะเจอเบาะแสและร่องรอยที่อีกฝ่ายทิ้งเอาไว้แล้ว แต่ผมและปู่หูลิ่วก็ยังตามอีกฝ่าย ไม่ทัน

การตามครั้งนี้ ทําให้พวกเราตามมาจนถึงท่าเทียบเรือในตําบล เมื่อมองออกไปไกลๆ เราก็เห็นร่างดําๆของใครบางคนกําลังวิ่งไปตามริมแม่น้ําเรื่อยๆ

คนๆนั้นเอามือกุมหลังไว้เท้าเซไปเซมา เขาไม่ใช่ใครอื่นๆ เจ้าหมอนั่นก็คือปีศาจเสือดาวที่ โดนมีดของผมเข้าไปนั่นเอง

พอหลิ่วเห็นแบบนั้น ก็ทําสีหน้ามืดมน ตะโกนไปทางปีศาจเสือดาวที่อยู่ตรงริมแม่น้ําว่า

“ไอ้ชั่ว หยุดเดี๋ยวนี้ !”

หลังจากพูดจบ ปู่หลิ่วก็ไล่ตามไปฆ่าอย่างรวดเร็ว ผมเองก็รีบตามไป อยากจะหยุดอีกฝ่ายให้ ได้ตรงท่าเทียบเรือ

แต่ใครจะคิดเมื่อเจ้าหมอนั่นไปถึงท่าเทียบเรือ มันก็กระโดดขึ้นไปบนเรือตกปลาล่าหนึ่ง สะบัดกรงเล็บ

ตัดเชือกที่ผูกเรือเอาไว้ให้ขาด แล้วจากนั้นก็เริ่มพายเรือไปตามลําน้ําทันที แม้อีกฝ่ายจะบาดเจ็บ แต่ก็พายเรื่อได้เร็วมาก

ในขณะที่เรือน้อยลอยลําออกไป ผ่านไปไม่นานมันก็ออกไปไกลกว่าสิบเมตรแล้ว

เมื่อผมและปู่หูลิ่วมาถึงที่ฝั่งท่าเทียบเรือ อีกฝ่ายก็ออกไปอยู่ตรงกลางแม่น้ําแล้ว

และทั่งท่าเทียบเรือ นอกจากเรือเล็กๆที่ปีศาจเสือดาวพายออกไปแล้ว ก็ไม่มีเรือลําอื่นอีก

หรือจะพูดอีกอย่างว่า ถึงพวกเราในตอนนี้ จะอยากตามอีกฝ่ายไปแค่ไหน แต่สุดท้ายเราก็ได้ แต่มองเรือของอีกฝ่ายข้ามฝั่ง มองอีกฝ่ายหนีไปจากเงื้อมมือพวกเรา

เมื่อเห็นถึงตรงนี้ ผมและปู่หูลิ่วก็โมโหสุดๆ แต่สุดท้ายเราก็ทําอะไรไม่ได้อยู่ดี

เจ้าปีศาจเสือดาวที่กําลังพายเรืออยู่ จู่ๆก็หยุดพายในเวลานี้ จากนั้นลุกขึ้นยืน แล้วค่อยๆกลายร่างกลับมาเป็นคนอีกครั้ง

หลังจากนั้นเขาก็หันหน้ามาทางพวกเรา แล้วพูดกับพวกเราด้วยน้ําเสียงเย็นชา “แค้นในวันนี้ข้าจะกลับมาทวงคืนในไม่ช้า !”

“ข้าหลิ่วจะรอ !” ปู่หูลิ่วเองก็ตะโกนกลับไป เหมือนดวงตาจะเต็มไปด้วยไฟแค้น

ผมไม่ได้พูดอะไร เพียงจ้องอีกฝ่ายเท่านั้น

ในใจรู้สึกเสียใจสุดๆ แม้อีกฝ่ายจะบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ไม่คิดว่าจะปล่อยให้อีกฝ่ายหนีไปได้อีก

ต่อจากนั้น เจ้าปีศาจเสือดาวก็พายเรือต่อ ผ่านไปไม่นานเราก็เห็นอีกฝ่ายไปถึงฝั่ง จากนั้นร่างของเจ้านั่นก็ค่อยๆเลือนหายเข้าไปในความมืดยามค่ําคืน

ปู่หูลิ่วถอยหายใจ “ชหม่า เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเรากลับกันเถอะ !”

ผมพยักหน้าเบาๆ แม้จะหยุดท่านเทพแห่งสํานักสื่อเย่ หรือนักเลงตัวพ่อเอาไว้ได้ แต่อย่างน้อยเราก็ทําให้อีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัส

เจ้าหมอนี้โดนมีดปลิดวิญญาณเข้าไป จะต้องมีพลังไหลออกมาเยอะมากแน่ๆ ถึงเขาจะมีชีวิตรอด แต่หากไม่พักฟื้นสักระยะนึงก็อย่างหวังว่าจะหายเป็นปกติได้

และอาจารย์กับหูเหมยก็บาดเจ็บ พวกเราจึงต้องรีบกลับไปดูแลโดยด่วน

ดังนั้น ผมจึงตอบกลับปู่หูลิ่วว่า “อือ” จากนั้นเราก็รีบกลับมาที่ศาลเจ้าทันที

ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็กลับมาถึงศาลเจ้าอีกครั้ง

เมื่อพวกเราเข้ามาด้านในอีกครั้ง ศพของพวกสาวกทั้งแปดตน ก็เน่าเละจนเหลือแต่กระดูกนานแล้ว

หากไม่ใช่มืออาชีพ หรือนักวิเคราะห์ที่ละเอียดสุดๆ ก็ไม่มีทางดูออก ว่านี่คือกระดูกคนหรือกระดูกสัตว์

แต่พวกเราไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เรารีบเข้าไปในศาลเจ้าทันที

ต่อจากนั้นเราก็พบว่ายายหูชีกําลังดูแลหูเหมยและอาจารย์อยู่ สีหน้าอาจารย์ดีขึ้นมากแล้ว ในเวลานี้กําลังนั่งเอนตัวอยู่ทางด้านหนึ่ง

แผลที่หลังของเขาดูน่ากลัวมาก แต่ก็เป็นแค่แผลภายนอก เนื้อหนังโดนกัดกร่อน ดังนั้นจึงไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต

ส่วนหูเหมย ในเวลานี้ได้กลายร่างเป็นจิ้งจอก นอนอยู่บนกองหญ้าทางด้านหนึ่ง

“น้องเจ็ด หลานฉันเป็นยังไงบ้าง ?” ปู่หูลิ่วดูร้อนรน

แต่ยายหูชีกลับส่งสัญญาณให้ปู่หลิ่วเบาเสียงลงหน่อย จากนั้นก็พูดว่า “เสี่ยวเหมยเจ็บภายในนิดหน่อย ซี่โครงซ้ายหัก แต่ฉันต่อกระดูกให้เธอแล้ว ตอนนี้กําลังพักผ่อนอยู่”

พอปู่หูลิ่วได้ยินดังนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา และรู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที

ส่วนผมเองก็เดินไปหาอาจารย์ อาจารย์เห็นผมเดินเข้ามา จึงถามด้วยเสียงอ่อนแรง “เป็นยังไงบ้าง! จัดการเจ้าหมอนั่นได้ไหม ?”

พอได้ยินอาจารย์ถามแบบนั้น ผมก็ทําหน้าเศร้าหน่อยๆ พร้อมพูดด้วยน้ําเสียงเศร้าใจ “ น่าเสียดายสุดๆ

เจ้าหมอนั่นหนีขึ้นเรือไปได้……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset