ศพ – ตอนที่ 512 ดูไปตามสถานการณ์

นิยาย ศพ ตอนที่ 512 ดูไปตามสถานการณ์

ตอนท่านนักพรตตู๋พูดคําพูดพวกนี้ออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาพูดออกมาจากใจ ในแววตาไม่มีความลังเลและความรู้สึกปิดบังอยู่เลยสักนิด

มันชัดเจนมาก คําพูดนี้ของท่านนักพรตติคือสิ่งที่เขาพูดออกจากใจจริง

สําหรับท่านนักพรตตู๋ ชีวิตของเขาในชาตินี้ เขาได้ทําตามหน้าที่คนปราบภูติผีมาพอแล้ว

มันก็เหมือนคําพูดของเขา มีชีวิตในฐานะนักพรต ตายก็ตายอย่างนักพรต

คนอย่างท่านนักพรตตู๋ เป็นอะไรที่ผมให้ความเคารพสุดๆ

ความรู้สึกเที่ยงธรรมเช่นนั้น และทัศนคติที่มีต่อความเป็นความตาย

หากไม่เคยผ่านประสบการณ์เยอะๆมา ไม่มีทางมีจิตใจแบบท่านนักพรตตู๋ได้แน่นอน

แม้ท่านนักพรตตู๋จะไม่ให้ความสําคัญกับชีวิต แต่สําหรับผม ผมไม่อาจให้ท่านนักพรตตู๋ตายได้ และยิ่งไม่อาจปล่อยให้ช่วงสุดท้ายของชีวิตเขาต้องกลายเป็นตัวประหลาดครึ่งคนครึ่งสัตว์ได้

ผมคิดว่า ทางด้านของมู่หลงเหยียน ต้องสามารถหาทางรักษาท่านนักพรตตู๋ และต้องหยุดการกลายร่างของท่านนักพรตตู๋ได้อย่างแน่นอน

ต่อจากนั้น พวกเราก็คุยกันต่อในห้องโถงอีกพักหนึ่ง

จากคําพูดของท่านนักพรตตู๋ ท่านนักพรตตู๋ได้ไปเยี่ยมหูเหมยที่ศาลเจ้ามาแล้ว

หูเหมยซี่โครงซ้ายหัก แต่ไม่ได้บาดเจ็บถึงอวัยวะภายใน เพียงต้องการเวลาพักรักษาตัวระยะนึ่ง

อาการไม่ได้หนักนาสาหัสอะไรมาก

ส่วนเรื่องที่นอกเหนือจากนั้น สิ่งที่พวกเราให้ความสําคัญคือ จะรับมือกับเจ้าปีศาจเสือดาวที่หนีไปยังไง

และงานสําคัญของพวกเราในขั้นต่อไปคืออะไร เพราะปีศาจเสือดาวพูดเอาไว้อย่างชัดเจนว่าจะกลับมาแก้แค้นพวกเรา พอพูดมาถึงตรงนี้ ของที่ผมสั่งซื้อจากข้างนอกก็มาส่ง

ตอนนี้เป็นเวลากินข้าวพอดี ทุกคนเลยเข้ามาล้อมวงกัน

อาจารย์บาดเจ็บ แต่ก็ยังบอกให้ผมรินเหล้าให้เขาสองจอกเล็กๆ

พวกเรากินข้าวไป ปรึกษากันไปว่าจะรับมือกับสํานักสื่อเย่ยังไง และจะระวังตัวจากองค์กรตาผียังไง

พวกเราเริ่มปรึกษากันง่ายๆ

คงไม่พูดถึงองค์กรตาผีแล้ว หลังศึกจากเขาเขี้ยวหมาป่า กุยซานหยวน จางจีเทา ยัยป้ามั่นหน้าทั้งสามคนนี้ก็หายเงียบไปในทันที

ส่วนทางด้านมู่หลงเหยียน ก็จะใกล้ได้เวลาลงมือกับฝ่ายนั้นแล้ว สําหรับเรื่องนี้พวกเราไม่ต้องกังวลเลยสักนิด

ตอนนี้สิ่งที่สําคัญที่สุด น่าจะเป็นเจ้าสํานักสื่อเย่นี่ และยังมีเรื่องของเจ้าปีศาจเสือดาวตัวนั้น

เนื่องจากหากตัดสินกันจากข้อมูลในปัจจุบันแล้ว แม้แต่สํานักต่างๆ ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีข้อมูลของสํานักสื่อเย่นมากนัก

ปีศาจเสือดาวที่พวกเราไปหาเรื่อง และดูเหมือนตําแหน่งของเจ้าปีศาจเสือดาวในสํานักสื่อเย่จะดูค่อนข้างสูงด้วย โดนขนานนามว่า “ท่านเทพ” จะเห็นได้ว่าอีกฝ่ายให้ความเคารพขนาดไหน

การปล่อยให้เจ้าหมอนหนีไปได้ ต้องสร้างภัยจากแรงแค้นที่รุนแรงตามมาในอนาคตแน่ๆ

พวกเรามีแค่ไม่กี่คน มีเพียงพลังแค่หยิบมือ หากอีกฝ่ายตามมาฆ่าถึงตําบลชิงฉือจริงๆ ผลที่ตามมาคงเป็นหายนะอย่างแน่นอน

แต่หลังปรึกษากันมาพักใหญ่ พวกเรากลับหาทางออกดีๆไม่ได้เลยสักทาง

หากพูดเรื่องหนี ! ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครยินดี

ถ้าไม่หนี ! ก็อาจต้องเผชิญหน้ากับการล้างแค้นของอีกฝ่าย แน่นอน ตอนนี้เจ้าปีศาจเสือดาวตัวนั้นยังไม่รู้ว่าฐานของพวกเราก็คือตําบลชิงฉือ

ตอนผมและอาจารย์เข้าไปในศาลเจ้า เจ้าปีศาจเสือดาวยังแปลกใจมาก บอกว่าพวกเราถึงกลับตามเขามาจนถึงที่นี่ได้

จากเรื่องนี้ อีกฝ่ายคิดว่าพวกเราใช้วิธีบางอย่าง ตามมาจนถึงตําบลชิงฉือ และไม่สงสัยเลยสักนิดว่าพวกเราอาศัยอยู่ที่ตาบลชิงฉือแห่งนี้

จากมุมนี้ เหมือนสถานการณ์ของพวกเรา จะไม่ได้เสี่ยงอันตรายอย่างที่คิดเอาไว้

เนื่องจากอีกฝ่ายยังไม่รู้ตําแหน่งของพวกเรา เมื่อเป็นแบบนี้ ถึงอีกฝ่ายจะอยากแก้แค้นขนาดนั้น

เขาก็จะหาพวกเราไม่เจอได้ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ

เมื่อมีความคิดแบบนี้แล้ว บวกกับที่ทุกคนเองก็ไม่อยากหนี

ท้ายที่สุดท่านนักพรตตู๋และอาจารย์จึงตบขาเสียงดัง ท่าทางดูเหมือนจะไม่กลัวว่าตัวเองมีศัตรูเพิ่มขึ้น

จากนั้นก็พูดกับผมและเหล่าเฟิงว่า จะมีอะไรเกิดขึ้นก็ให้มันเกิดเถอะ เราเพียงรับมือไปตามน้ําก็พอแล้ว

จากกันลึกของใจผม ผมเองก็ไม่อยากไปจากที่นี่

ผมเติบโตอยู่ที่ตําบลชิงฉือตั้งแต่เด็ก มีความรู้สึกกับที่นี่อย่างลึกซึ้ง หากให้ผมไปจากที่นี่จริงๆ ผมก็คงไม่อยากไปสักเท่าไหร่ ตอนนี้เราไปยุ่งกับสํานักสื่อเย่และองค์กรตาผี ทําให้สถานการณ์ในปัจจุบันไม่ค่อยดีเท่าไหร่

แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ซ่อนไปก็ไม่ใช่ทางออก อีกอย่างสําหรับผมแล้ว ที่นี่ก็มีพวกปู่หลิ่วคอยคุ้มครอง

และยังมีพวกม่หลงเหยียน ทางนี้เองก็ไม่ใช่ว่าสู้ไม่ได้ไปซะทีเดียว

สิ่งสําคัญที่สุดคือ ด้านหลังของพวกเรามีประตูนรกอยู่ บางครั้งที่กองทัพทหารผีเดินข้ามแดน

เป็นทางเข้าออกของเหล่าวิญญาณ

หากไม่ไหวจริงๆ พวกเราก็วิ่งไปที่นั้นได้

ผมไม่เชื่อว่า คนชั่วพวกนั้นจะกล้าโอทั้งต่อหน้ากองทัพผี

ด้วยเหตุนี้ เรื่องของสํานักสื่อเย่และเจ้าปีศาจเสือดาวตัวนั้น จึงจบลงเพียงเท่านี้

สําหรับเรื่องพิษปีศาจในตัวท่านนักพรตตู๋ เรื่องนี้พวกเราหาเบาะแสไม่ได้จริงๆ ได้แต่ดูไปตามสถานการณ์เท่านั้น……

เรื่องก็เป็นแบบนี้ พวกเราล้อมวงคุยกันเรื่องนี้ ตั้งแต่ตอนเที่ยงจนถึงช่วงหัวค่า

สุดท้ายหลังจากท่านนักพรตตู๋และเหล่าเพิ่งกินข้าว และดื่มกันนิดหน่อยที่บ้านผมแล้ว พวกเขาถึงได้กลับไปที่ร้านไปจ่าว

หลังจากท่านนักพรตตู๋และเหล่าเฟิงออกไป อาจารย์ก็ค่อนข้างเหนื่อยแล้ว บวกกับดื่มเข้าไปนิดหน่อย

เขาเลยกลับเข้าไปพักผ่อนในห้องทันที

ในห้องโถงเหลือเพียงผมแค่คนเดียว ผมเองก็ยังไม่ค่อยง่วง เลยนั่งพิงโซฟาแล้วเปิดทีวีดูผ่านไปไม่นาน รายการทีวีก็เปลี่ยนเป็น “เรื่องสยองในเมือง” ที่มีชื่อเสียงของบ้านเรา เวลาดูเจ้ารายการนี้ผมรู้สึกว่ามันดูไร้สาระมาก โดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญในรายการ ทุกครั้งที่เห็นพวกเขาวิพากษ์วิจารณ์ ผมก็มีความรู้สึกอยากจะสําลักข้าวออกมา

แต่ผมก็หยุดดู อยากรู้ว่าจะมีเรื่องแปลกๆอะไรอีก

ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เจ้าพิธีกรหน้าแหลม และผอมจนเหมือนลิงก็ออกมาปรากฏตัว

เจ้าหมอนี่ยังเป็นเหมือนเดิม เพิ่งออกมาปรากฏตัวก็ทําให้บรรยากาศดูลึกลับทันที

“ขอต้อนรับทุกท่านที่กําลังรับชมรายการเรื่องสยองในเมืองอยู่ ผมเป็นพิธีกรในวันนี้ จางเสี่ยวเอ้อร์……”

จางเสี่ยวเอ้อร์ “……”

เพิ่งพูดมาถึงตรงนี้ ก็มีภาพอันน่าตกใจพุ่งออกมา

พอเห็นภาพพวกนั้น ผมก็ตะลึงไปพักหนึ่ง

เพราะผมพบว่าตําแหน่งบนรูปภาพพวกนี้ ก็คือสวนสาธารณะเล็กๆของเมือง

และรายละเอียดในภาพ ยังมีพวกกระดูกคนผุๆ และยังมีคราบเลือดสีดําๆแห้งๆบางส่วน หรือแม้แต่มีชุดคลุมดําของสํานักสื่อเย่อยู่ด้วย…..

ม่านตาผมขยายอย่างรวดเร็ว และตื่นตัวขึ้นมาในทันที

คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่ผมรู้ดีเลยละ

โครงกระดูกผุๆบนภาพพวกนี้ และยังมีคราบเลือดสีดําพวกนั้น ต่างบ่งบอกว่าเป็นสาวกสํานักลื่อเย่ที่ตายไป แล้วสุดท้ายก็กลายสภาพเป็นโครงกระดูกเช่นนี้

จากสถานที่บนรูปภาพ และยังมีตําแหน่งของศพ ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์

ภายในรายการ ก็คือศพลูกน้องเจ้าปีศาจเสือดาว ที่โดนพวกเราฆ่าตายในสวนสาธารณะเมื่อคืนก่อน

เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผม ผมเลยเริ่มสนใจมันขึ้นมา

ต่อจากนั้นก็ได้ยินเจ้าพิธีกรที่ชื่อจางเสี่ยวเอ้อร์พูดต่อ “ ในสวนสาธารณะที่มีโครงกระดูกมนุษย์ปรากฏขึ้น และยังมีคราบเลือดแห้งๆ แต่เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่บนตัวกลับดูใหม่เอี่ยม นี่คือฉากของการฆาตกรรม

หรือเป็นการฆ่าคนแล้วโยนศพ หรือจะเป็นผีร้ายออกมากินคน ”

ต่อจากนั้น เจ้าพิธีกรก็เริ่มเล่าที่มาที่ไปของโครงกระดูกอย่างละเอียด หลังจากนั้นก็เข้าไปถามชายชราสองสามคนที่กําลังออกกําลังกายอยู่ในสวนสาธารณะด้วยท่าทางลับๆล่อๆ

และยังทําท่าทางประหลาดใจเมื่อรู้ว่าที่นี่เคยเป็นที่ตั้งของประตูผี เป็นประตูผีของเมืองอะไรสักอย่าง

ซึ่งมันเป็นสถานที่ที่ใช้ประหารคนในสมัยก่อน

บอกว่าในสถานที่นี้มีผีร้ายอยู่ แล้วเจ้าผีตัวนั้นก็ออกมากินคน จากนั้นก็เหลือทิ้งเอาไว้เพียงโครงกระดูกเน่าๆนี้

หลังจากเล่ามาได้ประมาณ 20 นาที กระตุ้นต่อมอยากรู้อยากเห็นของผู้ชมแล้ว เขาก็เปิดหน้าจอขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นจางเสี่ยวเอ้อร์ก็พูดว่า “ แน่นอน สังคมในปัจจุบัน ไม่มีอะไรที่วิทยาศาสตร์ หาคําตอบไม่ได้

ต่อจากนี้ พวกเราจะขอเชิญแขกรับเชิญประจํารายการ ผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงในด้านศาสตร์พยากรณ์และการแกะรอย คุณหลี่ซงฉานมาวิเคราะห์ให้พวกเราฟัง ”

ต่อจากนั้น แขกรับเชิญประจําของเรื่องสยองในเมือง หรือ “ผู้เชี่ยวชาญ” หัวโล้นที่ใช้แว่นกรอบทองคนหนึ่ง ก็เดินขึ้นมาบนเวที……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset