ศพ – ตอนที่ 514 ขั้นเต้าชื่อ

นิยาย ศพ ตอนที่ 514 ขั้นเต้าชื่อ

วินาทีที่ผ่านมาได้ ลมปราณในร่างผมก็เหมือนกับน้ําที่ล้นตลิ่ง และยังเหมือนม้านับหมื่นกําลังวิ่งปั่นป่วนอยู่ในตัวผม

ไม่เพียงแค่จุดทั้งเจ็ดมีความเจ็บปวดเกิดขึ้น แม้แต่เส้นเอ็นทั้งตัวผม ก็ดูเหมือนจะโดนระเบิดเข้าไปลูกใหญ่

ร่างกายเองก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ผมจึงสลบไปในทันที

พอรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง ผมก็สัมผัสได้ถึงแสงแดดที่กําลังสาดส่องลงบนใบหน้าของผม

ผมมีความรู้สึกอุ่นสบาย ต่อจากนั้น ผมก็ค่อยๆลืมตาขึ้น ทันใดนั้นผมก็พบว่าตอนนี้ฟ้าสางแล้ว อากาศเองก็สดชื่นขึ้น ราวกับฟ้าหลังฝนไม่มีผิด

ผมค่อยๆลุกขึ้นพิงหัวเตียงจากนั้นก็เริ่มสํารวจร่างกายตัวเอง

ผมพบว่าความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เช้านี้มันได้หายเป็นปลิดทิ้ง และมีความรู้สึกผ่อนคลายเข้ามาแทนที่

ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าเมื่อคืนผมฝึกสําเร็จไหม ดังนั้นผมเลยลุกขึ้นนั่งสมาธิอีกครั้ง จากนั้นก็เริ่มเดินลมปราณ

ผมเพิ่งเริ่ม ตัวผมก็สั่นในทันที ในสมองมีเสียงดัง “ตูม” ปรากฎขึ้น

เพราะผมพบว่า ลมปราณในจุดตันเถียนของตัวเอง เพิ่มมากว่าเมื่อก่อนเยอะมาก

ไม่ใช่แค่นั้น ผมยังเจอกับอะไรที่น่าตกใจมาก คือผมเลื่อนขั้นแล้ว

ใช่ ผมเลื่อนขั้นแล้ว

ผมพบว่าตอนนี้ระดับพลังของตัวเอง อยู่เหนือเต้าฉือขั้นสุดแล้ว ตัวผมได้เลื่อนขึ้นมาอยู่ในระดับเต๋าซือขั้นแรกแล้ว

ผมเองก็ไม่ได้สัมผัสถึงความรู้สึกตอนอยู่ตรงคอขวด เพียงรู้สึกถึงกระแสพลังที่ปั่นป่วนเป็นบางครั้งเท่านั้น

หลังจากอึ้งไปพักหนึ่ง ตัวผมก็รู้สึกดีใจขึ้นมาในทันที พร้อมกันนั้นบนหน้าก็มีคําว่าดีใจเขียน

“ฉันเลื่อนขั้นแล้ว ฉันเลื่อนขั้นแล้ว !” ผมบ่นกับตัวเอง ในเวลาเดียวกันก็หัวเราะ “ฮ่าๆๆๆ” ออกมา

อาจารย์ตั้งเป้าให้ผมภายในสองปี ส่วนมู่หลงเหยียนก็ให้เวลาผมครึ่งปี

แต่ตอนนี้ ผมกลับใช้เวลาเพียงครึ่งเดือน ก็สามารถเลื่อนระดับไปถึงขั้นเต้าซื้อได้แล้ว

ความเร็วในการฝึกของผม หากพูดออกไปคงไม่มีใครเชื่อ

ระยะเวลาสั้นๆเพียงแค่หนึ่งปี ผมก็เริ่มจากศูนย์ ก้าวจากเต้าถงเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้าลัทธิ มาเป็นเต้าฉือ จนสุดท้ายก็มาถึงเต้าซื้อในวันนี้ สามารถพูดว่าเป็นการพัฒนาแบบก้าวกระโดด หรือฝึกได้เร็วโครตๆก็ว่าได้

ในขณะที่กําลังดีใจ แต่ผมก็ยังนึกถึงเรื่องนึงขึ้นมาได้ นั่นก็คือวิชาเฟินเทียนกง

ตอนนี้ระดับพลังของผมเลื่อนไปถึงขั้นเต้าซื้อแล้ว หากเป็นแบบนี้ การฝึกวิชาเฟินเทียนกงขั้นแรกของผมก็สําเร็จแล้วใช่ไหมละ

พอคิดมาถึงตรงนี้ ผมก็ทนไม่ไหวแล้ว อยากเห็นแผนภาพเดินลมปราณในวิชาเฟินเทียนกงเร็วๆ

ผมอยากมั่นใจจริงๆ ว่าเมื่อคืนตัวเองไปถึงจุดสูท้ายได้ไหม ฝึกวิชาเฟินเทียนกงขั้นแรกสําเร็จแล้วจริงๆหรือเปล่า

ดังนั้น ผมจึงเริ่มรวบรวมพลังวิญญาณ เตรียมตัวเปิดใช้พลัง

ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ตะโกนออกมาว่า “เปิด !” ทันใดนั้น ผมก็เปิดแผนภาพเดินลมปราณวิชาเฟินเทียนกงขึ้นมา แล้วเริ่มเดินลมปราณทันที

แต่ในขณะที่ผมกําลังจะเดินลมปราณ สิ่งที่ตกใจยิ่งกว่าเดิม และภาพที่น่าดีใจยิ่งกว่าเก่าก็ปรากฏขึ้น

ผมสามารถเดินลมปราณผ่านทั้ง 38 จุดของวิชาเฟินเทียนกง ได้ภายในครั้งเดียว พลัง วิญญาณแปรเปลี่ยนเป็นพลังเต่ํา และมันยังเป็นพลังเต่ที่ทรงพลังมาก

เมื่อความรู้สึกนี้ปรากฏขึ้น ผมก็ทําตัวไม่ถูกในทันที

ก่อนหน้านี้การฝึกวิชาเฟินเทียนกง จําเป็นต้องกดพลังเต่เอาไว้ ค่อยๆพัฒนาไปได้ทีละขั้น

แต่ตอนนี้ เพิ่งเดินลมปราณในวิชาเฟนเทียนกง จุดลมปราณทั้ง 38 จดก็เชื่อมโยงกันในทันที ราวกับว่าเดิมที่มันก็เป็นอันเดียวกันอยู่แล้ว

นี่หมายความว่าอะไร มันก็คือในขณะที่ผมไปถึงจุดที่ 38 แล้วสลบไปนั้น ผมได้พัฒนาไปจนถึงจุดนั้นแล้ว หรือฝึกวิชาเฟินเทียนกงขั้นแรกสําเร็จแล้วนั่นเอง

ตอนนี้ผมไม่จําเป็นต้องควบคุมอีกต่อไป ขอแค่เดินลมปราณวิชาเฟินเทียนกง จุดลมปราณทั้ง 38 จุดก็จะเชื่อมต่อโดยอัตโนมัติ

ตอนนี้ ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ว่าตัวเองฝึกวิชาเฟินเทียนกงขั้นแรกสําเร็จแล้ว

แน่นอน วิชาเฟินเทียนกงไม่ใช่สิ่งที่คาดไม่ถึงที่สุด

หลังจากจุดลมปราณของวิชาเฟนเทียนกงเชื่อมต่อกันแบบอัตโนมัติ ความรู้สึกที่มีต่อพลังในร่างกายของผมก็เปลี่ยนไป นั่นถึงจะเป็นจุดที่สําคัญที่สุด

วิชาเฟินเทียนกง ทําให้เหมือนพลังที่อยู่ด้านในได้รับการกระตุ้นภายในชั่วพริบตา เดิมที่ยังเป็นแค่หยดน้ํา

แต่หลังจากนั้นมันก็แปรเปลี่ยนเป็นกระแสน้ําที่เชี่ยวกราก

ไม่ว่าจะเป็นระดับความเข้มข้น ปริมาณของพลังเต่ํา หรือจะเป็นสัมผัสอันเฉียบคมภายในร่างกาย

ต่างแข็งแกร่งขึ้นหลังจากฝึกวิชาเฟินเทียนกงขั้นแรกสําเร็จ

โดยเฉพาะพลังที่วิชาเฟนเทียนกงปลดปล่อยออกมา ให้ความรู้สึกที่แข็งแกร่งมาก มันเป็นความรู้สึกเหมือนมีแค่ผมคนเดียวที่มี……

ในขณะที่รับรู้ได้ว่าพลังมีการเปลี่ยนแปลงไป และพลังที่วิชาเฟินเทียนกงนําพามาให้ผมแล้ว ผมก็ดีใจขึ้นมาทันที

“นี่ นี่ก็คือพลังจากวิชาเฟินเทียนกงงั้นเหรอ เป็นอะไรที่ทรงพลังมาก……” ผมมองมือตัวเอง จากนั้นก็ลองต่อยออกไปสองครั้ง

มันทรงพลัง น่าเกรงขาม และดูดุดันมาก

ดูเหมือนพลังเต้าซื้อขั้นแรกของตัวเอง จะแข็งแกร่งขึ้นหลังจากเปิดใช้งานวิชาเฟินเทียนกง และทําให้ตัวผมมีระดับพลังใกล้เคียงกับเต้าซื้อขั้นกลาง

ผมลองเปิดใช้งานวิชาเฟินเทียนกง จากนั้นก็ขยับตัวอยู่ในห้องประมาณพักหนึ่ง ในระหว่างนั้น ผมก็พบว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นจริงๆ

โดยเฉพาะตอนเสกคาถา มันทรงพลังขึ้นมากกว่าเมื่อก่อนไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่

แต่ ผมก็ยังพบข้อเสียอยู่เล็กน้อย

วิชาเฟินเทียนกง EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq และไม่มีเวลาจํากัด

แต่วิชาเป็นเทียนกงก็กินพลังวิญญาณจํานวนมากเช่นกัน

ต้องใช้การสนับสนุนพลังวิญญาณจากจุดตันเถียนอย่างต่อเนื่อง นี้ก็น่าจะใช้งานไปได้ ประมาณ 10 นาทีแล้ว

หลังผ่านไปสิบนาที เพราะพลังวิญญาณมีไม่พอ จึงไม่อาจเปิดใช้งานวิชาเฟินเทียนกงได้อีก

และในทางกลับกันผมยังตกอยู่ในช่วงที่อ่อนแอด้วย

แค่วิชาเป็นเทียนกงก็ทําให้ผมตกใจมากพอแล้ว วิชาที่แข็งกล้า ย่อมทําให้พลังเต่ทรงพลัง

ถึงแม้พลังของผมในตอนนี้จะสามารถเปิดใช้วิชาเฟินเทียนกงได้เพียงแค่ประมาณ 10 นาที แต่ผมเชื่อว่า

ขอแค่ผมพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆ ช่วงเวลาในการใช้งานก็คงยืดออกไปเรื่อยๆ

และนี่ยังเป็นวิชาเฟนเทียนกงขั้นแรก เพียงแค่ขั้นแรกก็ยังทําให้ปลดปล่อยพลังออกมาขนาดนี้แล้ว

ทําให้ผมพัฒนาขึ้นหนึ่งขั้นแล้ว

ถ้าหากผมฝึกขั้นสอง ขั้นสาม ขั้นสี่เสร็จจะได้ผลลัพธ์ขนาดไหน

ต้องรู้ว่าภาพฝึกพลังที่บันทึกอยู่บนเกล็ด มีทั้งหมด 9 ภาพ

หรือจะพูดอีกอย่างว่า วิชาเฟินเทียนกงน่าจะต้องใช้เวลาฝึกเก้าขั้น ยิ่งฝึกนานวันเข้าก็ต้องยากขึ้นแน่ๆ

ขั้นแรกก็สามารถทําให้ผมเลื่อนระดับไปได้หนึ่งขั้นแล้ว หากฝึกขั้นที่สองสําเร็จ ผมจะไม่เลื่อนระดับไปอีกขั้นเลยเหรอ

ผมคิดไม่ออกจริงๆ หากผมฝึกวิชาเฟินเทียนกงนี่สําเร็จเก้าชั้นแล้ว มันก็ไม่ได้หมายความว่า ผมจะอยู่แค่ระดับเต่าซื้อในตอนนี้ แต่เพียงใช้แค่วิชาเฟินเทียนกง พลังของผมก็จะไม่เพิ่มขึ้นไปถึงขั้นเต้าจงเลยเหรอ

แน่นอน นี่เป็นการคาดเดาในปัจจุบันของผม แต่ผมมั่นใจ หากยิ่งฝึกไปเรื่อยๆ ความสามารถของ

วิชาเฟินเทียนกงที่ปรากฏออกมา ต้องยิ่งทรงพลังมากแน่ๆ

แน่นอน สําหรับผมแล้ว มันไม่ใช่สิ่งที่สําคัญในตอนนี้ ตอนนี้เลื่อนมาถึงขั้นเต้าซื้อได้แล้ว EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq ผมใจเต้นแรง รีบลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องทันที

เพิ่งออกมาข้างนอก ผมก็เห็นอาจารย์กําลังพับเงินกระดาษอยู่บนโซฟา

พออาจารย์เห็นผมออกมา เขาก็ไม่ได้สนใจผมมากนัก

เขาพับเงินกระดาษไป และพูดกับผมด้วยน้ําเสียงไม่แยแส “เสี่ยวฝาน อาจารย์ไม่ได้ว่าแกนะ แต่ทรมานตัวเองตั้งแต่เช้าตรู่ ทําตัวเองหายใจไม่สําเสมอ พลังไม่นิ่ง แบบนี้มันเรียกฝึกหรือไง! อยากฝึกให้ได้เร็วๆนะซิไม่ว่า”

“นี่มันขั้นเต้าซื้อเลยนะ ! เป็นระดับที่มีเส้นแบ่งเช่นกัน แกทําแบบนี้ต่อไป มันก็ไม่ได้ช่วยให้เลื่อนขั้นได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมหรอกนะ หรือแม้แต่อาจติดอยู่ในขั้นนี้ ไม่อาจพัฒนาต่อไปอีก ถ้าแกไม่ใช่ลูกศิษย์ ฉันไม่มีทางพูดอะไรแบบนี้กับแกแน่……”

อาจารย์พูดด้วยน้ําเสียงสบายๆ เห็นได้ชัดว่าเขาสังเกตเห็นผมฝึกอยู่ในห้อง

ในเวลานี้ในฐานะคนที่ผ่านน้ําร้อนมาก่อน เขาจึงพูดประสบการณ์ของเขาให้ผมฟัง

แต่ผมกลับฉีกยิ้ม แล้วพูดด้วยน้ําเสียงสบายๆ “อาจารย์ เหมือนมันจะไม่ได้ยากเหมือนอย่างที่อาจารย์พูดนะ ! ผมเลื่อนขั้นแล้ว….

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset