ศพ – ตอนที่ 516 แป๊บๆก็ผ่านไปครึ่งเดือน

ตอนที่ 516 แป๊บๆก็ผ่านไปครึ่งเดือน

ในช่วงครึ่งเดือนนี้ เหล่าฉันและท่านนักพรตทั้งสองก็ออกจากโรงพยาบาลแล้ว

อาการของเหล่าฉันจะยุ่งยากนิดหน่อย ต้นขาของเขาบาดเจ็บโดนสาวกสํานักสื่อเย่ทําร้ายเมื่อก่อนหน้านี้ ต้องพักรักษาตัวกว่าสองเดือน

ส่วนนักพรตหวังและนักพรตเฉิน ตอนนี้ฟื้นตัวไปกว่า 70-80% แล้ว ไม่มีปัญหาอะไรมากแล้ว

และพวกเขาในตอนนี้ได้เข้ามาพักอยู่ในตัวเมืองแล้ว เราสามารถติดต่อกับพวกเขาได้ตลอดเวลา

ปัจจุบันหลังได้ข่าวจากสํานักเหมาชานและอู่ตั้งแล้ว สํานักสื่อเย่ได้ดึงดูดความสนใจของสํานักธรรมะทั้งหลายแล้ว

จากข่าวที่หยางเจ่วและนุ่ยเฉิงจึงส่งมา จะมีศิษย์สํานักอื่นมาเข้าร่วมกับพวกเราด้วย

หากสาวกสํานักสื่อเย่ปรากฏตัวขึ้นอีก เราก็จะโจมตีอย่างสายฟ้าแลบทันที

นอกจากนี้ จุ่ยเฉิงจึงยังบอกข่าวที่ทําให้ผมตกใจยิ่งกว่าเดิม

คําพูดที่เคยได้ยินจากเจ้าผู้นําหลิงเทียนคนนั้น ในตอนที่แอบเข้าไปในบริษัทหมิงโลจิสติกส์เมื่อก่อนหน้านี้

หนึ่งในนั้นมีโอสถ โลหิตศพ และยังมีตระกูลเหมียวหนานเหยียนอยู่ด้วย

ส่วนเจ้าข่าวนี้ ก็เกี่ยวข้องกับตระกูลเหมียวหนานเหยียน

ในฐานะศิษย์ของสํานักเหมาชาน จุ่ยเฉิงจึงจึงพึ่งสํานักเหมาชาน สํานักเหมาชานมีข้อมูลลึกล้ํา และลูกศิษย์อีกจํานวนมาก

ในสํานักมีบันทึกโบราณนับไม่ถ้วน พวกมันต่างบันทึกเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงของสํานักธรรมะต่างๆทั่วโลกเอาไว้

หลังฉยเฉิงจึงส่งเรื่องตระกูลเหมียวหนานเหยียนกลับไปที่สํานักแล้ว ในที่สุดช่วงไม่กี่วันนี้เธอก็ได้รับข่าวกลับมา

จากการสืบค้นของสํานักเหมาชาน ตระกูลเหมียวหนานเหยียนที่ผู้นําหลิงเทียนพูดถึงเมื่อตอนนั้น

คือตระกูลเหมียวเจียงที่ซ่อนตัวอยู่ในทางใต้ ตอนนี้ได้รับการยืนยันแล้ว

ตระกูลเหมียวนี้ยึดอํานาจอยู่ในที่ราบตอนกลางของทางใต้ ศิษย์ในสํานักฝึกวิชาเกี่ยวกับสัตว์พิษ EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq ใช้ตัวอ่อนเหล่านี้หล่อเลี้ยงและพัฒนาร่างกาย

เพราะมีแมลงต่างกันดังนั้นความสามารถของศิษย์ตระกูลเหยียนนี้ จึงแตกต่างกันไป

เช่นแมลงในร่างกายของศิษย์ตระกูลเหยียนบางคนเป็นแมลงพิษ แบบนั้นใครคนนั้นก็จะไม่ต้องเปลืองแรงฝึกวิชาที่เกี่ยวกับพิษมากนัก เพราะทั้งตัวของเขาล้วนเต็มไปด้วยพิษ

หากจะให้แปลกไปอีกหน่อย ปัสสาวะของเจ้าหมอนั้นอาจมีพิษร้ายด้วยก็ได้

ยกตัวอย่างศิษย์ตระกูลเหยียนบางคนที่ใช้แมลงรักษาเพิ่มอีกหน่อย เช่นคนที่ใช้ไหมน้ําแข็งกําจัดพิษอะไรพวกนั้น

หากเป็นแบบนั้นศิษย์ตระกูลเหยียนก็จะมีสกิลการรักษาชั้นเลิศ ไม่จําเป็นต้องพกยาแก้พิษไปไหนต่อไหนด้วย

หรือแม้แต่บนร่างกายของใครคนนั้น อาจมีภูมิคุ้มกันต่อพิษหลายชนิด ถึงจะติดพิษร้ายขอแค่ในร่างกายมีแมลงที่ร้ายกาจพออยู่ เขาก็อาจใช้แมลงในร่างแก้พิษ หรือแม้แต่ยืดอายุขัยของตัวเองได้อีกด้วย

สามารถพูดได้ว่า นี่คือวิชาที่ร้ายกาจมาก และพิเศษมากเช่นกัน

นอกจากในทางตอนใต้ตระกูลเหมียวยังมีผู้ฝึกแมลงพิษที่โดดเด่นมาก

แน่นอน สิ่งที่คนพวกนี้เก่งที่สุดก็คือเลี้ยงแมลง ใช้แมลงและเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวกับแมลง

บางครั้งยังสามารถฆ่าคนได้อย่างไร้ร่องรอย หรือไม่มีเทพหรือผีรับรู้ได้อีกด้วย

ตอนนี้ในสํานักยึดห้าอสรพิษเป็นหลัก

เมื่อก่อนเคยได้ยินเฟิงเฉิวหานพูดว่า ศิษย์ห้าอสรพิษนี่ มีแมลงอยู่ทั้งตัว

และแมลงพวกนี้สามารถฟักตัวหรือตื่นขึ้นได้ทันทีเมื่อกระตุ้นพลัง หรือสามารถแพร่พันธุ์ออกมาได้จํานวนมากในเวลาสั้นๆด้วย

ส่วนศิษย์ห้าอสรพิษพวกนี้ มีความสามารถในการควบคุมแมลง เป็นอะไรที่แปลกสุดๆ

ลัทธิเต๋ในปัจจุบันมีคนน้อยมากที่มีเรื่องกับตระกูลเหมียว

เพราะหากไม่ระวังก็อาจโดนแมลงกองมหาศาลกัดกินร่างเมื่ออยู่ข้างนอกได้

แน่นอน ตระกูลเหยียนที่กล่าวถึงนี้ ในด้านฝีมือการใช้แมลงพิษ ดูเหมือนจะเป็นอะไรที่ผิดมนุษย์ยิ่งกว่า

อาจโหดเหี้ยมหรือต่ําทรามยิ่งกว่าพวกห้าอสรพิษซะอีก

ฉยเฉิงจึงยังบอกว่าในบันทึกของสานักเหมาชาน คนในตระกูลเหยียน มักใช้คนเป็นๆ เลี้ยงแมลง

เพราะแมลงที่เลี้ยงออกมาจากคนจะแข็งแกร่งยิ่งกว่า

และในบันทึกของสํานักเหมาชาน ช่วงเวลาที่ตระกูลนี้ออกมาปรากฏตัว กลับเกิดขึ้นเมื่อ 300 ปีก่อน

ตระกูลเหยียนและตระกูลเหมียวเป็นสํานักที่ใหญ่ที่สุดในเวลานั้น พวกเขาต่อสู้ชิงอํานาจกับสํานักห้า

อสรพิษในตอนนี้ และรวมกับความแค้นแต่ครั้งเก่าก่อนด้วย

ท้ายที่สุดห้าอสรพิษก็ร่วมมือกับสํานักอื่นเพื่อไปโจมตี จนลูกหลานตระกูลเหยียนล้มตาย ไม่ก็บาดเจ็บหนัก

เพื่อการปกปิดร่องรอย พวกเขาจึงแทบไม่ออกมาปรากฏตัวอีกในช่วงสามปีนี้

สํานักฝ่ายธรรมะทั้งหลายจึงคิดว่า ตระกูลเหมียวเหยียนที่ทรงพลังพวกนี้ได้สูญหายไปจากโลกนี้แล้ว

ตอนนี้เมื่อได้ยินคนพูดถึงตระกูลเหยียนอีกครั้ง สํานักเหมาชานจนถึงคนที่อยู่ในลัทธิเต๋า ทั้งหมดต่างก็ตกใจกันไปพักหนึ่ง

หากตระกูลเหมียวหนานเหยียนออกมาปรากฏตัวอีกครั้งจริงๆ ก็อาจส่งผลร้ายต่อลัทธิเต๋าในปัจจุบัน

หรือแม้แต่อาจเป็นเพราะความแค้น ลงมือแก้แค้นกับสํานักห้าอสรพิษในตอนนี้และสํานักอื่นๆ อีกมากมายที่ร่วมมือกันในตอนนั้น

หนึ่งในนั้น ก็มีสํานักอู่ตั้งและเหมาชานอยู่ด้วย

และข้อสันนิษฐานนี้อาจเป็นไปได้มากสุดๆ เพราะข่าวทั้งหมดที่หาได้ในตอนนี้ เจ้าสํานักสื่อเย่ นี่อาจได้ติดต่อตระกูลเหมียวหนานเหยียนนี้แล้ว

หากสํานักชั่วและตระกูลโรคจิตที่ใช้พิษร่วมมือกัน มาต่อสู้กับลัทธิเต๋ก็อาจพูดได้ว่าต้องเกิดความเสียหายอย่างหนักหรือไม่ก็อาจล้มสลายกันเลยทีเดียว

ไม่มีใครอยากเห็นจุดจบแบบนั้น ดังนั้นตอนนี้ทุกสํานักจึงให้ความสําคัญกับสํานักปีศาจลื่อเย่ และตระกูล

เหยียนที่ยังไม่ออกมาปรากฏตัวนั่นด้วย

นุ่ยเฉิงจึงเป็นคนบอกข่าวด้านบนกับผมทั้งหมด

ถึงจะรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของพวกสํานักต่างๆ แต่ที่จริงแล้วมันก็เกี่ยวข้องกับคนปราบภูติผีทั่วไปอย่างพวกเราด้วย

หากลักทธิชั่วออกมาเบ่งอํานาจ พวกเราคนปราบภูติผี ก็จะมีที่ยืนอยู่เพียงน้อยนิด หรือแม้แต่อาจส่งผลกระทบจากคนธรรมดาจํานวนมาก

แต่หากพูดอีกอย่าง ในฐานะคนตัวเล็กๆ ในลัทธิ นอกจากคอยจับตาดูเรื่องนี้แล้ว เราจะยังทําอะไรได้อีก……

นอกจากเรื่องพวกนี้แล้ว ในช่วงครึ่งเดือนนี้ ผมยังติดต่อมู่หลงเหยียนผ่านป้ายวิญญาณด้วย

ผมเล่าเรื่องเลื่อนขั้นเป็นระดับเต้าชื่อ และเตือนเรื่องข้อตกลงที่ทําไว้ก่อนหน้านี้กับมู่หลงเหยียน

มู่หลงเหยียนเป็นเหมือนอาจารย์ ต่างก็ตกใจกับความเร็วในการฝึกของผม

แต่ในเวลาเดียวกันก็ดีใจแทนผม และบอกผมว่า

สําหรับเรื่องเขาเขี้ยวหมาป่า อาจเกิดขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้า เธอเลยบอกไว้เพื่อให้ผมเตรียมตัวเอาไว้ก่อน

สําหรับเรื่องนี้ ผมตั้งตารอมานานแล้ว แค่คิดว่าได้ตามมู่หลงเหยียนไปด้วย และได้ไปจัดการองค์กรตาผีที่เขาเขี้ยวหมาป่ากับผีที่ทรงพลัง ในใจของผมก็ตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกแล้ว

นอกจากนี้ มู่หลงเหยียนก็พยายามหาวิธียับยั้งพิษปีศาจ เพื่อหยุดการกลายร่างเป็นปีศาจของท่านนักพรตต์

เพราะพิษปีศาจซึมเข้าสู่กระดูกของท่านนักพรตต์ หากอยากขับและกําจัดมันออกมาให้สิ้นซากในตอนนี้

มันเป็นเรื่องที่ยากมาก

ดังนั้น มู่หลงเหยียนยังหาวิธีไม่เจอ ส่วนทางท่านนักพรตต์ ก็ได้แต่กินยายับยั้งสภาพสัตว์ แต่การกลายร่างก็ยังดําเนินต่อไปอย่างช้าๆ

แม้จะกังวลอยู่บ้าง แต่สิ่งที่พวกเราทําได้ในตอนนี้ นอกจากรอแล้วก็คือรอ ส่วนเรื่องอื่นพวกเราทําอะไรไม่ได้จริงๆ

และในวันนี้ผมกําลังเฝ้าร้านอยู่

ผมไม่ได้ติดต่อกับอู่ฮียฮุยมานานมากแล้ว แต่จู่ๆเธอก็ทักวีแชทมาหาผม

พอลองเปิดเมสเสจุด ผมก็เห็นข้อความเสียงหนึ่งอัน ผมเลยกดฟังดู ติงฝาน วันนี้หนังภูติจิ้งจอกออกตอน 12.00 น.นะ อย่าลืมดูละ!

พอได้ยินถึงตรงนี้ ผมก็อดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้ ผมตอบกลับเธอแค่คําเดียว “ได้”

ตอนถ่ายหนังภูติจิ้งจอกก็คือตอนที่ผมได้รู้จักกับจุ่ยเฉิงจึง

คิดไม่ถึง เพียงแค่ชั่วพริบตาเวลาก็ผ่านไปเกือบ 5 เดือนแล้ว

สําหรับหนังของอู่ฮียฮุยผมสนใจอยู่พอสมควร

คราวนี้เธอรับบทเป็นนางรองผมเองก็อยากดูเธอแสดงอยู่เหมือนกัน

เพราะเรื่องนี้ ผมเลยเอาเรื่องนี้ไปบอกในกลุ่มแชทที่มีผม เหล่าเฟิง จี่ยเจิงจิง หยางเจ่วอยู่ด้วย

นอกจากหยางเฉวจะเป็นคนปราบภูติผี และศิษย์สํานักอู่ตั้งแล้ว เธอยังบ้าเรื่องซุบซิบในวงการบันเทิงด้วย

ไม่พูดเรื่องวงการบันเทิงยังว่าไปอย่าง แต่ถ้าพูดเรื่องวงการบันเทิงขึ้นมา ยัยนี้พูดไม่หยุดเลยละ

ตอนนั้นอู่ฮียฮุยยังไม่ได้แสดงเรื่องพยาบาลตามหาผีเธอยังเป็นแค่นักแสดงตัวเล็กๆ หยางเนิ่ว ยังเรียกอู่ฮียฮุยว่า “ฮียเอ๋อร์” แล้ว จะเห็นได้ว่าเธอให้ความสําคัญกับเรื่องในวงการบันเทิงขนาดไหน

หยางเฉวคุยกับนุ่ยเฉิงจิง บอกว่าถ้าดาราคนไหนแอบมีชู้ เธอจะหาเบาะแสบางอย่างเจอแน่นอน

ดาราคนไหนแอบมีความสัมพันธ์กับใคร ใครแอบชอบใคร ทุกอย่างล้วนอยู่ในข่าวซุบซิบทั้งนั้น

พอหยางเฉวเป็นคนบ้าแบบนั้นขึ้นมา ผมกับเหล่าเฟิงก็รอดูเรื่องสนุกอยู่ข้างๆ บางครั้งก็พูดแทรกประโยคสองประโยคเป็นครั้งคราวเท่านั้น

เพราะเป็นหนังออนไลน์ ดังนั้นผมเลยไม่จําเป็นต้องไปโรงหนัง

เมื่อถึงเวลาเที่ยงวัน ผมก็เข้าเน็ตเตรียมดูหนังภูติจิ้งจอกของอู่ฮียฮุย มันมีความยาวประมาณชั่วโมงครึ่งจากต้นจนจบ ผมคิดว่าถ่ายออกมาได้ไม่เลว

ดีและล้ําค่า หรือแม้แต่กดหนังที่มีนักแสดงระดับสองและสามไปได้

และหนังเพิ่งเริ่มฉาย ความนิยมในตัวอ่ฮ่ยฮุยก็พุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง แม้เธอจะเป็นนางรอง แต่การแสดงก็อยู่เหนือกว่านางเอก

หนึ่งอาทิตย์ต่อมา อู่ฮียฮุยก็ออกข่าวบันเทิงมากมาย ทุกคนต่างบอกว่าเธอแสดงเก่ง และตัวคนก็สวยด้วย

เพราะอู่ฮียฮุยเป็นคนบ้านเรา สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นของเรา เลยโปรโมทโดยไม่ต้องเสียค่า โฆษณาด้วยซ้ํา

และมีรายการบันเทิง บอกว่าเพราะเรื่องภูติจิ้งจอก อู่ซุ่ยฮุยเลยได้เซ็นสัญญากับบริษัทฟอร์มยักษ์บางแห่ง

ทําให้เธอดังในทันทีเดิมที่เรื่องพวกนี้เป็นข่าวดี ไม่ว่าจะพูดยังไงอู่ฮียฮุยก็เป็นเพื่อนกับผม

ต่อไปมีเพื่อนเป็นดาราสักคนเวลาออกไปไหนก็เชิดหน้าชูตาได้บ้างแล้ว

แต่เรื่องนี้เพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่วัน ในขณะที่อู่ซุ่ยฮุยกําลังดังขึ้นเรื่อยๆ เธอยังไม่ได้กลายเป็นดาราดังอย่างเต็มตัวก็มีเรื่องวุ่นๆเกิดขึ้นซะแล้ว

ในคืนนี้ ผมเพิ่งถอดเสื้อผ้าเสร็จ เตรียมตัวจะเข้านอน จู่ๆผมก็ได้รับโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากอฮียฮุย ……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset