ศพ – ตอนที่ 517 กู้ภัย

ตอนที่ 517 กู้ภัย

ดึกดื่นป่านนี้ กําลังจะเตรียมตัวเข้านอน จู่ๆเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เมื่อเห็นว่ามีคนโทรมา ผมก็รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย ห้าทุ่มแล้ว ดึกขนาดนี้แล้ว ยังจะมีใครโทรมาหาผมได้ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพร้อมความสงสัย แต่เพิ่งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ผมก็อึ้งในทันที บนหน้าจอเป็นเบอร์โทรของอู่ฮุ่ยฮุ่ย

พอเห็นว่าเป็นอู่ฮุ่ยฮุ่ย ผมก็รู้สึกคิดไม่ถึงพอสมควร

เพราะความสําเร็จอันยิ่งใหญ่จากหนังภูติจิ้งจอก ความนิยมของอู่ฮุ่ยฮุ่ยในช่วงนี้จึงมีแต่คําว่า “ปังปังปัง”

บวกกับรูปลักษณ์และทักษะการแสดงของอู่ฮุ่ยฮุยข่มนางเอก เธอเลยดังยิ่งกว่านางเอกของเรื่อง

ไม่เพียงแค่ได้รับงานโฆษณาจากบริษัทในพื้นที่ของเรา เธอยังเข้าร่วมกิจกรรมของร้านค้าหลายแห่งในเมืองเราอีกด้วย

ชื่อเสียงในพื้นที่ของพวกเรา เธอจัดว่าเป็นที่หนึ่งเลย

เธอในตอนนี้ ไม่ใช่คนที่ผมรู้จักในตอนแรก ที่เป็นแค่นักแสดงตัวเล็กๆ เพิ่งเข้าวงการหมาดๆ ตอนนี้ไม่ว่าจะพูดยังไงเธอก็ถือเป็นนักแสดงหมายเลขส์เลขห้าได้

ช่วงนี้เธอน่าจะกําลังยุ่งอยู่ถึงจะถูก แต่ดึกดื่นขนาดนี้ เธอกลับโทรมาหาผมเนี่ยนะ

แม้จะสงสัย แต่ผมก็ยังกดรับโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว

แต่เพิ่งรับสายเท่านั้น ยังไม่ทันได้พูดทักทาย จ่ๆทางอู่ฮุ่ยฮุยก็พูดขึ้นมาด้วยน้ําเสียงที่หวาดกลัว

“ติง ติงฝาน รีบ รีบมาช่วยฉัน รีบมาช่วยฉัน……”

น้ําเสียงดร้อนรนมาก แต่เธอกลับทําเสียงเบามาก

ราวกับอู่ฮุ่ยฮุ่ยกําลังเจอกับเรื่องอะไรที่น่าหวาดกลัวมากอยู่ เธอถึงได้ไม่กล้าพูดเสียงดัง

เพิ่งได้ยินค่าพูดนี้ ผมก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติทันที

ผมเด้งตัวลุกขึ้นนั่งทันที จากนั้นก็พูดว่า “เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้นใช่ไหม ?” ผมขมวดคิ้ว สัมผัสได้ลางๆว่าต้องเป็นเรื่องไม่ดี

อู่ฮุ่ฮุยยังดูกลัวมาก เธอกดเสียงลงต่า “ฉัน ฉันกลัวมาก……”

พอพูดมาถึงตรงนี้ อู่ฮุ่ยฮุ่ยก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป “ฮือๆๆ” เธอร้องไห้ออกมาทันที

ผมคิดว่านี่เป็นเรื่องเร่งด่วน เลยถามต่อว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เธออยู่ที่ไหน ฉันจะไปหาเธอ เดี๋ยวนี้แหละ !”

ผมพูดด้วยน้ําเสียงจริงจังสุดๆ ส่วนทางอู่ฮุ่ยฮุ่ย ดูเหมือนจะหวาดกลัวเหมือนเดิม “ฉัน ฉันซ่อนอยู่ในตู้

ใน ในบ้านฉันมีผี……”

คําพูดนี้เพิ่งหลุดออกมา ในใจผมก็มีเสียงดัง “ถูก” มีผี ทําไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

แม้จะไม่เข้าใจ แต่อู่ฮุ่ยฮุ่ยต้องเจอปัญหาที่ตัวเองจัดการไม่ได้แน่นอน และปัญหาก็ค่อนข้างใหญ่ด้วย

ผมไม่ได้นั่งบนเตียงต่อ เสี้ยววินาทีนั้นผมรีบลุกขึ้น แล้วเดินไปใส่เสื้อผ้าและคุยโทรศัพท์ไปในเวลาเดียวกัน

“ไม่ต้องกลัวนะ ! ฉันจะไปหาเดี๋ยวนี้แหละ ยันต์คุ้นครองที่ฉันให้ไว้เมื่อครั้งก่อน เธอยังพกติดตัวเอาไว้หรือเปล่า มีเจ้านั่นอยู่ ผีทั่วไปเข้าใกล้เธอไม่ได้แน่นอน !” ผมรีบพูด

อู่ฮุ่ยฮุ่ยพูดด้วยน้ําเสียงร้องไห้ และพยายามทําเสียงเบาๆ “ฉัน ฉันกําอยู่ มันยืนอยู่ที่ห้องรับแขกหน้าซีดมาก ตายัง ตายังไม่มีนัยน์ตา เท้าลอยเหนือพื้น ฉัน ฉันกลัวมาก ฉันไม่รู้ต้องทํายังไง……”

ผมทําหน้าหนักใจ จากนั้นก็พูดต่อว่า “ไม่ต้องกลัว เธอหยิบยันต์แผ่นนั้นออกมา เอามันไปแปะไว้ที่ประตูตู้ ทําแบบนี้มันจะปกป้องเธอได้ แล้วก็ เธอส่งที่อยู่มา เดี๋ยวฉันก็ไปถึงแล้ว !”

หลังจากพูดจบ ผมก็คว้าดาบ และยังมีพวกยันต์กับของอื่นๆ เพราะเป็นเรื่องเร่งด่วน ผมเลยลืมบอกอาจารย์ ตอนนั้นรีบพุ่งออกจากบ้านไปทันที

อู่ฮุ่ยฮุ่ยกลัวมาก แต่เธอก็ส่งรายละเอียดของที่อยู่ตัวเองมาให้ผม

ที่อยู่คือเมืองภาพยนตร์ แต่ไม่ใช่ตึกเก่าๆที่ฉิงหมิงเฉิวอยู่ มันเป็นตึกในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง

ผมเพิ่งออกมาถึงหน้าบ้าน ก็เดินตรงไปที่รถ จากนั้นสตาร์ทรถ แล้วเริ่มขับไปที่เมืองภาพยนตร์ ทันที

เดิมที่ผมคิดจะปลอบใจอฮียฮุยตลอดทางที่ไป แบบนี้เธอจะได้ไม่ต้องกลัวมาก และผมเองก็จะได้ควบคุมสถานการณ์ฝังนั้นได้

ผลลัพธ์ผมเพิ่งสตาร์ทรถติด ไม่รู้เป็นเพราะอะไร จู่สายผมก็โดนตัดไปดื้อๆ

เดิมที่คิดจะโทรกลับไปอีกครั้ง แต่มันดันเตือนตลอดว่าไม่อยู่ในพื้นที่ให้บริการ

ผมค่อนข้างร้อนใจ กลัวอู่ฮุ่ยฮุ่ยเป็นอะไรไป

จากที่นี้ ถึงผมจะขับเร็วเว่อร์ขนาดไหน ก็ต้องใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

หนึ่งชั่วโมงนี้จะพูดว่าสั้นก็สั้น แต่หากพูดว่ายาวมันก็ยาว

แต่ถ้าหากอีกฝ่ายเป็นวิญญาณร้ายที่จ้องเอาชีวิตคน ในช่วงเวลาหนึ่งชั่วโมงนี้ พวกมันคงก่อเรื่องไม่น้อยอย่างแน่นอน

ผมไม่รู้ว่ายันต์ของตัวเอง จะปกป้องอู่ฮุ่ยฮุ่ยได้นานขนาดไหน เวลาเป็นสิ่งที่กดดันกับผมมาก

ถึงผมจะรีบเดินทางไปจากที่นี่ประมาณหนึ่งชั่วโมง แต่ถ้าให้หยางเจ่วที่อยู่ในเมืองรีบไปก่อนแบบนั้นเวลาจะที่ใช้จะน้อยลงกว่าเดิมเยอะมาก

จากมหาลัยของเธอ ถ้ารีบหน่อย ก็น่าจะใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที

ผมไม่ลังเล รีบโทรหาหยางเฉ่วทันที ผมอยากให้หยางเฉ่วไปถ่วงเวลาที่นั่นก่อน

ตอนผมโทรไป หยางเฉ่วนอนเรียบร้อยแล้ว

เธอยังถามผมแบบน้ําเสียงคนง่วงนอนว่าโทรมาทําไม ผมไม่มีเวลามาอธิบายกับหยางเจ่วเลยรีบพูดกับเธอว่า “เกิดเรื่องแล้ว ดูเหมือนอู่ฮุ่ยฮุ่ยจะโดนผีร้ายจ้องเล่นงาน ! เธออยู่ใกล้กว่า เธอรีบไปดูก่อน เดี๋ยวฉันจะตามไปให้เร็วที่สุด !”

“อะไรนะ ? ผีร้าย ?” หยางเนิ่วตื่นทันที ราวกับเธอช็อกไปพักหนึ่ง

“ใช่ ที่อยู่คือตึกในเมืองภาพยนตร์…..”

ผมรีบพูด บอกให้หยางเฉ่วไปที่นั่นก่อน

หยางเฉ่วเองก็ไม่รอช้า บอกว่าจะรีบไปทันที

หลังวางสาย ผมยังโทรไปหาเหล่าเฟิงต่อ

ก่อนหน้านี้เหล่าเพิ่งยังเล่นเกมอยู่กับผมหนึ่งตา ตอนนี้จึงยังไม่นอนเหมือนกัน

หลังรับสายผมแล้ว เขาก็บอกให้ขับรถมารับเขาเลย

พอผมขับรถไปถึงหน้าร้านไปฉาว เหล่าเฟิงก็ยืนอยู่หน้าประตูร้านแล้ว

หลังรับเหล่าเฟิงมาแล้ว ผมก็เหยียบคันเร่ง รีบวิ่งมาที่เมืองภาพยนตร์ทันที

เหล่าเฟิงนั่งอยู่ข้างคนขับ เขาขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ อยู่ดีๆจะมีผีร้ายเข้ามาในบ้านเธอได้ยังไง ?”

พอได้ยินเหล่าเฟิงถามแบบนั้น ผมก็ส่ายหัว สําหรับเรื่องนี้ ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจอยู่เหมือนกัน ส่วนสาเหตุของเรื่องนี้ ผมเองก็ไม่รู้ ตอนนี้รู้แค่ว่ามีผีกําลังจ้องเล่นงานอู่ฮุ่ยฮุ่ยอยู่เท่านั้น

และเมื่อกี้ก็รีบ ผมเลยไม่มีเวลาถาม

เพียงตอบกลับเหล่าเพิ่งไปว่า “ฉันเองก็ไม่ค่อยแน่ใจ เมื่อกี้ไม่ทันได้ถาม โทรศัพท์ก็โดนตัดสายไปแล้ว

อู่ฮุ่ยฮุ่ยบอกว่า เจ้านั่นยืนอยู่ที่ห้องรับแขก ตอนนี้เธอซ่อนอยู่ในตู้……”

พอเหล่าเพิ่งฟังจบ สีหน้าเขาก็อดบิดเบี้ยวขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ “ ถ้าแบบนั้น เจ้าผีร้ายตนนั้นก็อยู่ในบ้าน

อู่ฮุ่ยฮุ่ยแล้วน่ะซิ พวกเราอยู่ไกลขนาดนี้ คงไปไม่ทัน ”

สิ่งที่ผมกําลังกังวลในตอนนี้ ก็คือเรื่องนี้แหละ

แต่ผมก็ยังพูดกับเหล่าเฟิงว่า “ฉันบอกหยางเจ่วแล้ว ให้เธอเข้าไปก่อน แล้วก็ ในมืออู่ฮุ่ยฮุ่ยยังมียันต์ของฉันอยู่หนึ่งแผ่น หวังว่าเจ้ายันต์แผนนั้นจะถ่วงเวลาได้หน่อย….”

เหล่าเฟิงพยักหน้าเบาๆ ต่อจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

ช่วยคนเหมือนช่วยดับไฟ ผมเยียบคันเร่งจนมิด จนเครื่องยนต์แทบจะระเบิดออกมา

ระยะทางที่ต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ผมใช้เวลาไป 50 นาที ก็มาถึงสถานที่ที่อู่ฮุ่ยฮุ่ยอยู่ก่อน

10 นาที

แต่ในระหว่างการเดินทางครั้งนี้ พวกเราไม่ได้รับโทรศัพท์หรือข่าวจากหยางเฉวกับอู่ฮุ่ยฮุ่ยอีกเลย

ผมและเหล่าเฟิงจึงกังวลกันสุดๆ

ในเวลานี้เมื่อรถเพิ่งจอด ผมและเหล่าเฟิงก็รีบคว้าอาวุธแล้วพุ่งเข้าไปในหมู่บ้านทันที

เราสองคนไม่มีบัตรผ่านประตู ได้แต่ปืนเข้าทางก่าแพง

กําแพงรอบๆไม่สูง พวกมันเลยหยุดผมกับเหล่าเฟิงไว้ไม่ได้

หลังผมและเหล่าเฟิงปืนกําแพงเข้ามาแล้ว เราก็มาถึงตึกที่อู่ฮุ่ยฮุ่ยอยู่เร็วมาก ต่อจากนั้น ผมสองคนก็รีบวิ่งไปที่บันไดหนีไฟ

แต่เพิ่งมาถึงสถานที่ ผมและเหล่าเฟิงก็มีนกันทันที

เพราะผมกับเหล่าเฟิงพบว่า ในเวลานี้บนดาดฟ้าของตึกหลังนี้ มีผู้หญิงกําลังยืนอยู่สองคนท่าทางเหมือนพวกเธอกําลังจะกระโดดลงมาจากดาดฟ้า

วันนี้แสงจันทร์ไม่สว่างมาก แต่ผมกับเหล่าเฟิงจ่าพวกเธอได้ทันที

ไม่ใช่ใครอื่น พวกเธอก็คืออู่ฮุ่ยฮุ่ยที่โทรมาขอความช่วยเหลือจากผม และยังมีหยางเฉวที่รู้ข่าวจากผม

แล้วรีบมาช่วยก่อน…..

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset