ศพ – ตอนที่ 518 โดดตึก

ตอนที่ 518 โดดตึก

ตอนผมและเฟิงเฉิวหานเห็นหยางเฉวกับอู่ฮุ่ยฮุ่ย เราก็อึ้งไปพักนึง

ดึกขนาดนี้แล้ว พวกเธอมายืนทําอะไรบนดาดฟ้า

บนหน้าผมเผยให้เห็นถึงความตกใจเล็กน้อย พร้อมพูดออกมาตามที่จิตใต้สํานึกบอก “หยางเฉ่ว อู่ฮุ่ยฮุ่ย พวกเธอทําอะไรอยู่ ?”

แต่เสียงผมเพิ่งเงียบลง ผมก็เห็นสิ่งผิดปกติทันที

บนหน้าของทั้งสองคน ไม่มีความรู้สึกใดๆเผยออกมา มันเป็นสีหน้าตายด้านไร้ความรู้สึกอย่างสมบูรณ์แบบ

ในเวลานี้พวกเธอกําลังมองไปข้างหน้า ไม่มีท่าทีว่าจะสังเกตเห็นผมและเหล่าเฟิงเลยสักนิด

ในระหว่างนั้น ในใจผมมีความรู้สึกไม่ดีปรากฏขึ้นทันที

เหล่าเฟิงดึงหน้าลง แล้วพูดขึ้นมาว่า “ไม่ดีแล้ว พวกเธอคงโดนควบคุมอยู่ ตอนนี้น่าจะกระโดดตึกลงมา !”

คําพูดนี้เพิ่งดังขึ้น ในสมองผมก็มีเสียงระเบิดดัง “ตูม”

มีผีร้ายที่คิดจะเอาชีวิตอยู่จริงๆ บางตัวก็ชอบกระโดดตึกหรือจมน้ําตาย พอตายไปแล้วผู้คนก็จะเข้าใจผิดว่าเป็นการฆ่าตัวตาย เวรละจบกัน

และดูจากท่าทางของพวกเธอ คงกําลังจะกระโดดตึกจริงๆ

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องตลก ถึงที่นี่จะเป็นชุมชนเล็กๆ ตัวอาคารไม่สูงมาก แต่ก็มีความสูงถึง 5 ชั้น

หากกระโดดลงมา ถ้าไม่ตาย แขนขาหัก ก็คงเป็นเรื่องโครตปกติเลยมั้ง

ถ้าซวยอีกหน่อย หัวกระแทกพื้น หัวสมองก็ต้องแตกเป็นเสี่ยงๆแน่ๆ

เพิ่งคิดมาถึงตรงนี้ ร่างกายของทั้งสองคนก็เริ่มขยับแล้ว ทั้งสองคนเดินไปข้างหน้าที่ละนิดๆ ไปตรงขอบของดาดฟ้า

เมื่อเห็นภาพนี้ ผมก็เครียดขึ้นมาทันที

จะทํายังไงดี เราอยู่ห่างกันขนาดนี้ ถึงผมกับเหล่าเฟิงจะขึ้นไป ก็อาจหยุดไว้ไม่ทัน

ในขณะที่ร้อนรน ผมก็วิ่งไปยังตําแหน่งที่ทั้งสองคนน่าจะกระโดดลงมา

ถึงจะหยุดไม่ได้ ก็ต้องรับเอาไว้ให้ได้! ไม่อย่างงั้นจะให้ผมยืนดูพวกเธอกระโดดลงมาตายเหรอ

ส่วนเหล่าเฟิง ในเวลานี้เขาก็นํากระจกหยินหยางออกมา

แต่ในวินาทีนั้นเอง อู่ฮุ่ยฮุ่ยก็เดินมาข้างหน้าก่อน

ผลลัพธ์การก้าวครั้งนี้ของเธอกลับเหยียบเข้ากับอากาศ ร่างกายจึงล่วงลงมาทันที พอเห็นอู่ฮุ่ยฮุ่ยล่วงลงมาจากชั้นห้า ใจผมก็ล่วงไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที อู่ฮุ่ยฮุ่ยเอาหน้าลงพื้น หากหล่นลงมากระแทกพื้น เธอต้องไม่รอดอย่างแน่นอน

ผมไม่สนใจอย่างอื่น รีบยื่นมือออกไป รอรับตัวเธอทันที

แน่นอน ในขณะที่ผมยื่นมือออกไป ผมก็รีบเคลื่อนพลัง เปิดใช้พลังทั้งหมดในทันที

หากใช้แค่พละกําลังของกล้ามเนื้ออย่างเดียว การรับตัวคนที่มีน้ําหนักประมาณ 50 และยังล่วงลงมาจากตึกที่สูงกว่า 5 ชั้น แม้จะรับเอาไว้ได้ แต่คนรับก็อาจรับแรงกระแทกจนต้องตายซะเอง

หลังเปิดใช้พลังแล้ว การทํางานทุกอย่างของร่างกายก็ดีขึ้นทันตา

ไม่ว่าจะเป็นด้านพละกําลัง หรือด้านการเคลื่อนไหว ก็เพิ่มขึ้นทั้งนั้น

แบบนี้ EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq ในเวลาเดียวกันก็เลี่ยงไม่ให้ตัวเองบาดเจ็บหนักได้อีกด้วย

ขณะคิดแบบนั้น ผมก็ยืนตัวตรง สูดหายใจเข้าเชือกหนึ่ง เกร็งกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกาย

ตึกห้าชั้น มีความสูงประมาณ 10 กว่าเมตร

ทางผมยังไม่ทันพร้อม อู่ฮุ่ยฮุ่ยก็ล่วงลงมาแล้ว

หลังเล็งตัวเธอที่ล่วงลงมาแล้ว ผมก็เอื้อมมือออกไปคิดจะคว้าตัวเธอมากอด ผมคิดว่าอาศัยกําลังของตัวเอง น่าจะคว้าตัวเธอมากอดไว้ได้

แต่ผมก็ประเมินแรงเฉื่อยของการล่วงลงมาจากตึกน้อยเกินไป ถึงผมจะใช้พลังทั้งหมดที่มีแล้ว

แต่ในวินาทีที่รับตัวอชุ่ยฮุยเอาไว้ได้ ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองแบกรับร่างของคนคนหนึ่งไม่ไหว

มันให้ความรู้สึกเหมือนแบกหินก้อนโตๆเอาไว้

แขนทั้งสองข้างมีความเจ็บปวดจากกล้ามเนื้อฉีกขาดเกิดขึ้น หรือแม้แต่มีเสียงกระดูกตรงมือหลุดออกจากกันดัง “บิ๊กก๊ก”

ส่วนตัวผม ก็ยืนไม่อยู่ หรือแม้แต่เกือบปล่อยมือออกจากกัน ผมรู้ดี หากผมฝืนรับตัวอู่ฮุ่ยฮุ่ยไว้แบบนี้มันคงเป็นไปไม่ได้

ในวินาทีนั้น ผมได้แต่ทนกับความเจ็บที่แล่นเข้ามา พยายามกอดตัวอชุ่ยฮุยเอาไว้ให้แน่น จนสุดท้ายผมก็ใช้ประโยชน์จากแนวโน้มและหมุนไปข้างหน้า

แบบนี้ ผมก็จะเลี่ยงการกระแทก ลดแรงเฉื่อย และปกป้องตัวผมและอู่ฮ่ยฮุยเอาไว้ได้

ขณะกอดตัวอู่ฮุ่ยฮุ่ย ผมก็ล้มลงไปกับพื้น โชคดีที่ตอนนั้นล้มลงไปบนพุ่มไม้พุ่มหนึ่งพอดี

ตัวพุ่มไม้ทั้งนุ่มและหนามาก มันช่วยลดแรงกระแทกให้เราสองคนเยอะมาก

ถึงจะเป็นแบบนั้น ด้วยแรงเฉื่อยที่มหาศาลก็ทําให้ผมเจ็บตัวไม่น้อย

ผมรู้สึกเจ็บที่แขนแล้ว โดยเฉพาะตรงท่อนแขน ดูเหมือนมันจะเคลื่อนแล้ว ผมออกแรงยกมันไม่ขึ้นเลยสักนิด

อู่ฮุ่ยฮุ่ย ทับผมอยู่แบบนั้น เธอไม่ขยับตัวเลยสักนิด ผมเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq อ้า !

แต่ทางผมยังไม่ทันตั้งตั้ง หยางเฉวที่ยืนอยู่บนดาดฟ้า ก็ขยับขาเหมือนท่อนไม้หรือแม้แต่เหมือนขาหุ่นยนต์

ผมมองขึ้นไป เห็นการขยับขาของหยางเจ่วพอดี

“พรึบ” สีหน้าผมเปลี่ยนไปทันที เนื้อตัวชาไปครึ่งหนึ่ง

ผมไม่สนแขนสองข้างของตัวเอง EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq “อย่า……”

ทางผมรับตัวอู่ฮุ่ยฮุ่ยไว้ จึงไม่อาจออกไปช่วยรับหยางเจ๋วได้อีก หากหยางเจ่วกระโดดลงมาจริงๆ ผลที่ตามมาคงไม่ต้องคิดเลย

แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆเหล่าเฟิงก็ตะโกนออกมา

ผมได้ยินเหล่าเฟิงตะโกนแค่ว่า “ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง เพี้ยง !” เสียงเพิ่งเงียบลง ผมก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังต่อจากนั้นผมก็เห็นแสงสว่างสีขาว ส่องกระทบ หน้าของหยางเนิ่ว

เมื่อโดนแสงสีขาวนี้ส่องกระแทบหน้า หยางเจ่วที่ทําตัวเหมือนท่อนไม้ ก็กรีดร้องขึ้นมาดื้อๆ “อร้าย”

จากนั้นก็ถอยหลัง และล้มลงไปบนพื้นดาดฟ้าทันที

พอผมมองเหล่าเฟิงอีกครั้ง ที่แท์เมื่อเหล่าเฟิงใช้กระจกหยินหยาง ยิงแสงออกไปผ่านกระจก เพื่อทําให้

หยางเฉ่วที่โดนควบคุม และสูญเสียสติกลับมาได้สติอีกครั้ง หรือช่วยให้หยางเฉ่วพ้นจากอันตราย

หลังจากเหล่าเฟิงหยุดไม่ให้หยางเจ่วกระโดดตึกได้แล้ว เขาก็รีบวิ่งมาหาพวกผมทันที

“เหล่าติง นายไม่เป็นไรใช่ไหม !” เหล่าเฟิงทําหน้าเป็นห่วง

ผมเห็นเหล่าเฟิงเข้ามา เลยกลั้นความเจ็บที่แขนเอาไว้แล้วพูดว่า “ไม่ ไม่เป็นไร เหมือนแขนฉันจะหลุด !”

และเสียงของผมเพิ่งเงียบลง จู่ๆอู่ฮุ่ยฮุ่ยที่ทับตัวผมอยู่ ก็ลืมตาขึ้นมา

ตอนเห็นผม เธอก็ค่อนข้างตกใจเลยทีเดียว “ติง ติงฝาน !”

พอเห็นอู่ฮุ่ยฮุ่ยได้สติแล้ว และยังเรียกชื่อผมด้วย ผมก็รู้ในทันทีว่าไม่มีปัญหาอะไรมากแล้ว

ผมฝืนยิ้ม “ใช่ ใช่ฉันเอง เธอลุกก่อนได้ไหม เธอทับจนฉันเจ็บ เจ็บมาก !”

พออู่ฮุ่ยฮุ่ยได้ยินผมพูดถึงขนาดนี้ เธอถึงได้สติว่าตัวเองกําลังทับตัวผมอยู่ และยังมาอยู่ตรงสวนด้านล่างตึกอย่างไม่รู้ตัวด้วย

และบนตัวเธอ ก็ยังสวมใส่ชุดนอนเนื้อบางอยู่ แต่ดันมาแนบชิดติดตัวผมถึงขนาดนี้

อู่ฮุ่ยฮุ่ยประหม่าขึ้นมาทันที เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นเป็นพิเศษ จนหน้าแดง

“ขอ ขอโทษ !” ขณะพูด อู่ฮุ่ยฮุ่ยก็รีบลุกขึ้น แต่ผมแขนเคลื่อน เลยยังลุกขึ้นไม่ได้

เหล่าเฟิงรีบเข้ามาตรงหน้าผม ใช้มือข้างหนึ่งจับแขนผม จากนั้นก็พูดกับผมว่า “ทนหน่อยนะ

หลังจากพูดจบ เจ้าหมอนี่ก็บิดแขนผมอย่างแรง “บิ๊กก๊ก” และแล้วแขนผมก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

อู่ฮุ่ยฮุ่ยยืนอยู่ข้างๆ พอเห็นฉากนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะทําหน้าตกใจ

เธอทําตาโต และอ้าปากค้างทันที

“ติง ติงฝาน เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ ? ฉัน ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ? เมื่อกี้ฉันจําได้ว่า ฉันกับหยางเฉ่วอยู่ด้วยกันน หลังจากนั้น หลังจากนั้นฉันก็จําอะไรไม่ได้แล้ว” เห็นได้ชัดว่าอู่ฮุ่ยฮุ่ยเสียความทรงจําไปช่วงหนึ่ง

ผมกลั้นความเจ็บเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ส่วนเหล่าเฟิงก็ยกแขนอีกข้างของผมขึ้นมาแล้ว หลังจากนั้นเขาก็พูดกับอู่ฮุ่ยฮุ่ยที่อยู่ข้างหลังว่า

“เธอกับหยางเฉ่วไม่ได้สติ เมื่อกี้กระโดดลงมาจากตึก โชคดีที่พวกฉันมาทัน เหล่าติงรับตัวเธอเอาไว้ได้ทัน ไม่อย่างงั้นหัวของเธออันนั้น คงแตกเป็นลูกแตงโมไปแล้ว !”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset