ศพ – ตอนที่ 519 ผีร้ายสิงร่าง

ตอนที่ 519 ผีร้ายสิงร่าง

เหล่าเฟิงหันหลังในขณะที่อธิบายให้อู่ฮุ่ยฮุ่ยฟัง เสียงเพิ่งเงียบลง เหล่าเฟิงก็ออกแรงอีกครั้ง

แขนอีกข้างหนึ่งของผม ส่งเสียงดัง “บิ๊กก๊ก” มันกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง

แขนหลุดไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก ขอแค่ทําให้มันกลับเข้าที่ได้ทันเวลา แขนก็จะกลับมาขยับได้อีกครั้ง

เพียงแต่ตอนเชื่อมกระดูก จะเจ็บมากหน่อย

หลังช่วยต่อแขนให้ผมแล้ว เหล่าเฟิงก็ถอนหายใจออกมา “เหล่าติง นายลองขยับดู ส่วนฉันจะขึ้นไปดูข้างบนก่อน !”

หลังจากพูดจบ เหล่าเฟิงก็ไม่สนใจผมกับอู่ฮุ่ยฮุ่ย รีบวิ่งขึ้นไปบนตึกทันที

เพราะหยางเฉ่วยังอยู่ข้างบน และผีร้ายตัวนั้น ก็อาจยังไม่จากไปยังอยู่ตรงนั้นต่อ

ส่วนผม ก็ค่อยๆลุกขึ้นนั่งในพุ่มไม้ แล้วขยับแขนทั้งสองข้าง พวกมันยังเจ็บอยู่นิดหน่อย แต่ก็ไม่เป็นอะไรมากแล้ว

เนื่องจากช่วยอู่ฮุ่ยฮุ่ยไว้ได้แล้ว และพวกเราสองคนยังไม่ได้เป็นอะไร นี่คือผลลัพธ์ที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

ผมเห็นว่าไม่เป็นอะไรแล้ว เลยลุกขึ้นยืน “โชคดีที่ร่างกายฉันแข็งแรงพอ….”

ผมแขวะตัวเอง หลังจากนั้นก็ก่าลังจะขึ้นไปบนตึก

แต่ในวินาทีที่ผูกขึ้น ผมกลับพบว่าอู่ฮุ่ยฮุ่ยก่าลังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม และใช้ดวงตาอันแดงก่ํามองมาที่ผม

อู่ฮุ่ยฮุ่ยเป็นนักแสดง รูปร่างดีมาก หน้ารูปไข่คงไม่ต้องพูดถึงแล้ว

ตอนนี้เธอกําาลังใส่ชุดนอน และมองผมด้วยดวงตาแดงก่า

หากคนนอกมาเห็นฉากนี้เข้า พวกเขาคงเข้าใจผิดว่าผมไปรังแกเธอ

ผมอึ้งไปพักหนึ่ง “อู่ฮุ่ยฮุ่ย เธอเป็นอะไรไป ?”

ทันใดนั้นในดวงตาของอู่ฮุ่ยฮุ่ย ก็แวววาวขึ้นมา อู่ฮุ่ยฮุ่ยถามผมกลับ “ติง ติงฝาน……”

ในวินาทีนั้น ผมพบว่าน้ําเสียงของอู่ฮุ่ยฮุ่ยเปลี่ยนเป็นน้ําเสียงของคนร้องไห้ คําพูดที่ออกมาก็ไม่ค่อยชัดเจน

เมื่อเห็นถึงตรงนี้ ผมก็เริ่มเข้าใจ เธอคงซาบซึ้งกับการกระทําของผมเมื่อก่อนหน้านี้

เนื่องจากพอเธอโทรมา ผมก็รีบมาทันที และเมื่อกี้ยังช่วยชีวิตเธอเอาไว้อีก แต่ผมกลับยิ้มอ่อน “เรื่องเล็กน่า ถ้าจะขอบใจไม่ต้องแล้วนะ”

ผมตบไหล่เธอ “เรื่องข้างบนยกให้พวกเราจัดการเอง เธอรออยู่นี้แป๊บนึงนะ !”

หลังจากพูดจบ ผมก็รีบขึ้นไปบนตึกทันที

เวลานี้ไม่ใช่เวลามาถนอมบุปผา ช่วยคนสําคัญกว่า ฟ้ารับรู้หากชักช้าในตอนนี้ หยางเจ่วอาจได้เจ็บตัวอีกรอบ

หลังผมรีบขึ้นไปบนชั้นห้า ผมกลับได้ยินเสียงต่อสู้ดังมาเบาๆ

ไม่ใช่แค่นั้น ในชั้นห้านี้ ยังมีพลังหยินที่แรงมากอยู่ด้วย

เห็นได้ชัด ว่าที่นี่มีผีร้ายอยู่ ผมตั้งสติ ไม่กล้าลีลาแต่อย่างใด ต่อจากนั้น ผมก็วิ่งไปตามเสียงต่อสู้ และเจอเข้ากับประตูบานหนึ่ง

และที่นี่ ก็คือห้องของอู่ฮุ่ยฮุ่ย ผมไม่ลังเลเลยสักนิด รีบพุ่งเข้าไปทันที

แต่เพิ่งเข้ามาในห้อง ผมกลับเห็นเหล่าเฟิงกําลังสู้กับหยางเจ่ว หยางเจ่วทั้งตบทั้งกัด สภาพดุร้ายสุดๆ

พอเห็นถึงตรงนี้ สีหน้าผมก็เข้มขึ้น และถามออกไปทันที “เกิดอะไรขึ้น ?”

เหล่าเฟิงมีสีหน้าจริงจัง เขาตอบกลับทันที “หยางเฉวโดนสั่ง เข้ามาช่วยเร็ว เอาเจ้านั้นออกมา……

หลังจากพูดจบ เหล่าเฟิงก็เข้าไปคิดจะโจมตีด้วยยันต์

แต่หยางเฉ่วกลับแคลื่อนไหวเร็วมาก เธอรีบหลบ ขณะเดียวกันมุมปากก็ยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์พร้อมตวัดมือไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

ผมได้ยินเพียงเสียงดัง “ปัก” เหล่าเฟิงโดนซัดกระเด็นออกมา ตัวล้มกระแทกเข้ากับโต๊ะชา

“ปัง” โต๊ะชาแยกออกเป็นชิ้นๆ

เมื่อเห็นถึงตรงนี้ ผมก็โมโหสุดๆ ตะโกนใส่หยางเนิ่วทันที “เดรัจฉาน !”

หลังจากพูดจบ ผมก็หยิบยันต์ออกมา แล้วพุ่งเข้าไปหาหยางเจ่ว

ที่ไม่ใช้ดาบไม้เพราะ กลัวจะไปทําให้หยางเจ่วบาดเจ็บ

เนื่องจากร่างกายนี้ ยังเป็นของหยางเจ่ว

ผมเพิ่งพุ่งเข้าไป หยางเฉวก็หันมามองผมทันที

เธอไม่เพียงไม่หลบ แต่ยังแลบลิ้นออกมาเลียปากสองสามครั้ง บนหน้ายังเปื้อนรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์

พอเห็นสภาพของอีกฝ่าย ผมก็โมโหหนักกว่าเดิม เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายกําลังดูถูกผม ไม่เห็นผมอยู่ในสายตา

ในวินาทีนั้น ผมเปิดใช้พลังทั้งหมด มันเป็นพลังขั้นเต้าชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย

พอเหล่าเฟิงที่เพิ่งลุกขึ้นมาสัมผัสได้ถึงพลังที่ผมปล่อยออกมาในตอนนี้ เขาก็อดทําหน้าตกใจไม่ได้

“เต้าชื่อ นายเลื่อนระดับแล้ว !” ในวินาทีที่เหล่าเฟิงตกใจ ผมก็ได้ลงมือไปแล้ว

ยันต์ตรงเข้าไปที่หน้าของหยางเฉ่ว ส่วนหยางเฉวก็เบี่ยงตัวหลบ จากนั้นก็รีบถีบมาทางผมทันที

การเคลื่อนไหวของเธอเร็วมาก ถ้าเป็นผมเมื่อก่อน คงหลบไม่ทันแน่นอน

แต่ตอนนี้ ผมเป็นคนปราบสิ่งชั่วร้ายขั้นเต้าชื่อ พลังที่มีสูงกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย หลังเห็นทิศทางการโจมตีของอีกฝ่ายแล้ว ผมก็รีบเบี่ยงตัวหลบทันที

เท้าข้างนั้นของหยางเจ่ว ลอยผ่านตัวผมไป

แต่มันยังไม่จบเท่านี้ ผมพลิกมือคิดจะจับขาของหยางเจ่ว ขณะเดียวกันก็ตะโกนออกมาว่า “อ้า !”

ต่อจากนั้น ผมก็ออกแรงเหวี่ยงตัวเธอไปยังโซฟาที่อยู่ข้างๆ

ผีร้ายที่สิงอยู่ในตัวหยางเฉ่ว คงคิดไม่ถึงว่าผมจะทําแบบนั้น หรือไม่ก็คงคิดไม่ถึงว่าผมจะอยู่ในขั้นเต้าชื่อ

มันเลยอดไม่ได้ที่จะตกใจ

แต่ มันช่าไปแล้ว

ได้ยินเพียงเสียงดัง “ปัก” ตัวหยางเฉวโดนผมโยนลงไปบนโซฟาแล้ว

เหล่าเฟิงที่ลุกขึ้นยืน ก็ได้สติกลับมาจากการตกใจแล้ว

เนื่องจากก่อนหน้านี้พลังของผมยังอยู่ต่ํากว่าเขา แต่ตอนนี้ ผมกลับอยู่เหนือเขาแล้ว ขึ้นไปถึงขั้นเต้าซื้อก่อนเขาแล้ว

แต่เหล่าเฟิงไม่ใช่คนลังเล ตอนนี้เขาไม่คิดมาก เขาเด็ดขาดมาก ยกกระจกหยินหยางในมือขึ้น แล้วส่องไปที่อีกฝ่ายทันที

ในขณะเดียวกันก็ตะโกนออกมาว่า “ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง เพียง !”

ในระหว่างนั้น ภายในกระจกหยินหยาง ก็มีล่าแสงสีขาวปรากฎออกมาทันที

ล่าแสงสีขาวไม่โอนเอียงเลยสักนิด มันพุ่งตรงไปที่หน้าของหยางเฉ่วทันที

หยางเจ่วที่กําลังคิดจะลุกขึ้น กรีดร้องเป็นเสียงผู้ชายออกมาทันที

“อ้า !” เสียงนั่นแสบหูมาก เห็นได้ชัดว่าเขาทรมานมาก

และหน้าของหยางเจ่ว ในตอนนี้กลับมีหน้าของผู้ชายคนหนึ่งซ้อนทับอยู่

แม้แต่ร่างกายของหยางเฉ่ว ก็ยังมีรูปร่างของผู้ชายปรากฏขึ้น

ผมและเหล่าเฟิงเข้าใจดี รูปร่างและหน้าตาของผู้ชายคนนั้น ก็คือผีร้ายที่สิงอยู่ในตัวหยางเฉ่ว เมื่อเห็นถึงตรงนี้ ผมก็ไม่หยุดอยู่กับที่ หลังเค้นเสียงดัง แล้ว ผมก็กระโจนเข้าไปทันที ในขณะเดียวกันผมก็หยิบยันต์แผ่นหนึ่งขึ้นมา แล้วตรงไปแปะลงบนหน้าผากของหยางเจ่ว “เดรัจฉา ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้ !

เสียงเพิ่งเงียบลง ยันต์แผ่นนั้นของผมก็แปะลงบนหน้าผากของหยางเจ่วแล้ว

ยันต์เพิ่งสัมผัสกับหน้าผากหยางเจ่ว พลังของยันต์ก็ระเบิดออกมาทันที

ผีผู้ชายที่สิงอยู่ในตัวหยางเฉ่ว กรีดร้องออกมาอีกครั้ง อ้า……

ต่อจากนั้น ผมก็เห็นร่างอันเลือนลางของใครคนหนึ่ง พุ่งออกมาจากหัวหยางเจ่ว แล้วสุดท้ายก็ไปยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง

นี่คือผีผู้ชายตนหนึ่ง เขาใส่ชุดขาว ใบหน้าขาวซีดและดุร้าย ตาปลาตายจองพวกเราตาไม่กระพริบ

ผมมองเขา แล้วถามออกมาตรงๆ “ผีร้ายจากที่ไหนฮะ ? ถึงได้กล้ามาทําตัวโอหังที่นี่ !”

ผีผู้ชายตนนั้นจ้องพวกเรา เขาไม่ได้พูดออกมาในทันที เพียงทําตัวให้ดูดุร้ายกว่าเดิม ขณะเดียวกันก็ทําเสียง “ฮือๆๆ” ออกมาเบาๆ ราวกับโมโหและไม่พอใจพวกเราสุดๆ

เมื่อเหล่าเฟิงเห็นแบบนั้น เขาก็พูดเพิ่มว่า “เจ้าหมอนี่ คงไม่เหลือสตินานแล้ว อย่าไปพูดได้สาระกับมันเลย เราสองคนเข้าไปพร้อมกัน วันนี้ต้องทําให้มันวิญญาณแตกสลายให้ได้ !”

หลังจากพูดจบ เหล่าเฟิงก็กระตุ้นพลังอีกครั้ง เขาคิดจะลงมือเลย แต่ทันใดนั้นเอง ผีผู้ชายที่ทําหน้าดุ ตัวก็สั่นในทันที

ในระหว่างนั้น เสื้อที่เคยเป็นสีขาว ก็เปื้อนอะไรสักอย่าง มันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอย่างรวดเร็ว

พอเห็นถึงตรงนี้ ม่านตาผมก็ขยายใหญ่ และอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยความตกใจ

“แย่แล้ว มันกําลังจะเลื่อนระดับ กลายเป็นผีร้ายชุดเหลือง….”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset