ศพ – ตอนที่ 54 ปรากฎตัว

ตอนที่ 54 ปรากฎตัว

จู่ๆก็ได้ยินเสียงนี้ ผมและอาจารย์ที่อยู่ในบ้านจึงมึนงง พร้อมกับใบหน้าที่ตกตะลึง

ในบ้านหลังนี้มีเพียงผมและอาจารย์อาศัยอยู่เท่านั้น แล้วจะมีเสียงผู้หญิงโผล่ขึ้นมาได้ยังไงละ

อาจารย์ทำหน้าตกใจ รู้สึกว่ามันอันตราย จนกำยันต์ในมือจนแน่น

แต่หลังจากที่ผมผ่านช่วงอารมณ์ตกใจ กลับแสดงสีหน้ามีความสุขออกมา

เพราะเสียงนี้ สำเนียงนี้ จะต้องเป็นผีเมียของผมมู่หลงเหยียนแน่นอน

เนื่องจากอาจารย์ไม่เคยได้ยินเสียงผีเมีย ดังนั้นเขาจึงรู้สึกหวาดกลัว

ในเวลาเดียวกัน ผมสองคนก็มองหาต้นเสียงตามสัญชาตญาณ

 

หลังจากหันไป ตำแหน่งโซฟาที่อยู่ไม่ไกล ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้กลับมีหญิงงามปรากฎตัวขึ้น

ผู้หญิงคนนั้นผิวขาวราวหิมะ หน้าผากมนเยี่ยงจักจั่น งดงามราวกับหยก เธอสวยจนเหมือนกับนางฟ้าที่ลงมาจากสวรรค์

ตอนนี้ร่างของเธอกำลังแอบอิงอยู่กับโซฟา ท่าทางเฉยเมย ลูบผมยาวๆของตนเองอย่างสบายอกสบายใจ

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ใบหน้าของผมก็ปรากฎรอยยิ้มขึ้นมาทันที

ครั้งที่แล้วได้เห็นตัวจริงของเธอ ก็ตอนที่อยู่กลางป่ากลางเขา

แต่ตอนนี้ผมกลับได้เห็นเธออีกครั้ง จึงอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย “น้องศพ! เธอมาได้ยังไง!”

 

จู่ๆอาจารย์ก็ได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะพูดเลียนแบบผม “น้อง น้องศพ”

เสียงพึ่งจางหาย เขาก็หันมามองหน้าผมด้วยความตกตะลึง จากนั้นก็หันกลับไปมองมู่หลงเหยียนอีกครั้ง “หรือว่า หรือว่าเธอคือคู่สมรสของศิษย์ฉันงั้นเหรอ”

ผีเมียลุกขึ้นยืนช้าๆ จากนั้นก็ยิ้มให้อาจารย์เล็กน้อย

รอยยิ้มนั้นให้ความรู้สึกเหมือนมันจะสามารถละลายน้ำแข็งที่มีอายุหลายพันปีได้เลยทีเดียว อบอุ่นมาก และงดงามมากด้วยเช่นกัน

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นมู่หลงเหยียนยิ้ม แต่กลับคิดไม่ถึงว่าตอนที่เธอยิ้มมันจะงดงามได้ถึงขนาดนี้

 

“ท่านนักพรตติงสุภาพเกินไปแล้วค่ะ!” มู่หลงเหยียนพูดออกมาหนึ่งประโยค เห็นได้ชัดว่าเธออ่อนโยนมาก

ไม่เหมือนกับมู่หลงเหยียนผู้หญิงระเบิดมังกรที่ผมรู้จักเมื่อก่อนหน้านี้เลยสักนิด ราวกับเป็นคนละคน

อาจารย์เห็นว่ามู่หลงเหยียนพูดจาสุภาพ เขาจึงหัวเราะเสียงดังขึ้นมา “ดี ดี! คิดไม่ถึงเจ้าศิษย์โง่ของฉันจะได้คนแบบเธอมาเป็นภรรยา คงเป็นเพราะโชคจากชาติที่แล้ว!”

เมื่อมู่หลงเหยียนได้ยินเธอก็ยิ้ม “ยิงฟัน” ท่าท่างและการกระทำนั้น เกือบทำให้ผมสำลักความหวานตาย

ผมมีความรู้สึกเหมือนเห็นภาพลวงตา ก่อนที่จะรู้จักมู่หลงเหยียน ยัยเด็กนี้เคยเป็นเหมือนเฟิงเฉ่วหานไหมนะ ที่มีหนึ่งร่างสองวิญญาณ

 

ไม่หยุดเพียงแค่นี้ มู่หลงเหยียนยังตอบกลับว่า “ใช่เขาค่อนข้างโง่ แถมเขายังห่วยอีกด้วยค่ะ”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ผมที่กำลังถูกความสวยดึงดูด ก็ได้สติขึ้นมาทันที จึงกลอกตาใส่เธอ

อาจารย์เป็นคนพูดน้อย แต่เขาก็ยังหัวเราะ “ฮ่าๆ” ออกมา

แต่ผมก็ไม่ยอมรับ ตั้งแต่รู้จักจนถึงตอนนี้ ทุกครั้งที่ผมได้ยินคำว่าห่วย ผมก็ไม่รู้จริงๆ ว่าตัวผมเป็นผู้ชายไร้น้ำยาตรงไหนกัน

เธอลบเพื่อนของผม ตอนกลางดึกยังวาดหน้าผม แถมไม่ให้ผมเรียกชื่อ เอาแต่รังแกผมตลอด นอกจากนี้เธอยังขู่ผม แล้วสุดท้ายยังด่าผมว่าห่วยอีกเนี่ยนะ

 

แล้วแบบนี้ผมจะทวงความยุติธรรมจากที่ไหน ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห จนผมไม่มีอารมณ์กังวลกับผีร้ายที่กำลังทุบประตูอยู่

จากนั้นก็พูดกับมู่หลงเหยียนว่า “ฉันสงสัยจริงๆ ทำไมฉันถึงห่วย”

ผลลัพธ์กลับไม่ต้องรอให้มู่หลงเหยียนตอบ อาจารย์ของผมกลับส่ายหัว เขามองผมด้วยสายตาที่โหดร้าย

ไม่ส่งสัญญาณล่วงหน้า ทันใดนั้นเขาก็ตบหัวผมทันที “ไอ้เด็กนี้จะถามอะไรให้มันเยอะแยะ เมียแกบอกว่าแกห่วย แกก็เปลี่ยนตัวเองก็พอแล้วนิ แล้วถ้ายังพูดมากอีก อาจารย์จะปล่อยแกไปตายซะ!”

เมื่อเห็นอาจารย์ทำท่าทางแบบนั้น ผมก็มึนงงทันที

อาจารย์ อาจารย์เป็นอาจารย์ของผมนะ แล้วยัยเด็กนี้ก็คือมู่หลงเหยียนผู้หญิงที่คิดจะระเบิดมังกรน้อยของผมนะครับอาจารย์

 

ไม่ช่วยผมก็ชั่ง แต่ทำไมต้องไปช่วยยัยผีนี้กดขี่ผมด้วยละครับ

ผมพูดอะไรไม่ออก กลัวว่าตาแก่นี่จะตัดขาดผมอีกรอบ

แต่ทันใดนั้นมู่หลงเหยียนก็หันมาพูดกับผม “นายห่วย ไสหัวไปทางโน้น!”

ขณะที่พูดเธอก็หันมาจ้องหน้าผม จากนั้นก็เข้ามายืนตรงหน้าของผมกับอาจารย์

ในเวลาเดียวกัน ยันต์สามแผ่นที่อาจารย์ติดไว้ที่ประตู กลับหลุดกระจายออกมา ดูเหมือนการสลายตัวทั่วๆไป  แต่มันกลายเป็นขี้เถ้าและกระจายตัวลงบนพื้น

เมื่อขี้เถ้าจากยันต์แผ่นสุดท้ายหล่นลงบนพื้น “ปัง” ทันใดนั้นประตูบ้านก็ถูกเปิดออก

 

จากนั้น สายลมอันหนาวเย็น ก็พัดเข้ามาในบ้านทันที

วินาทีนั้นเงินกระดาษได้ถูกลมพัดจนปลิวไปทั่วบ้าน และสายลมนั้นยังเย็นจนเข้ากระดูก

ราวกับสายลมในเดือนสิบสอง(ตามปฏิทินจันทรคติจีน) เมื่อเข้ามาสัมผัสตัว ก็เหมือนกับวินาทีที่ถูกเข็มแทง

ความรู้สึกแบบนี้มันทรมานมาก ผมขนลุกไปทั่วทั้งตัว

แต่มันยังไม่จบเท่านี้ นอกจากสายลมที่หนาวเหน็บแล้ว

ที่หน้าประตู ยังมีร่างของผีร้ายในชุดขาวปรากฎขึ้น 5-6 ตน

และผู้นำของพวกมัน ก็คือผีชั่วที่สมควรตายตนนั้นนั่นเอง

 

มันพึ่งปรากฎตัว ก็หัวเราะ “ฮึฮึฮึ” ด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่หยิ่งยโส “ยันต์กระจอกๆ คิดว่ามันจะหยุดข้าได้งั้นเหรอ คืนนี้แหละที่ข้าจะมาเก็บวิญญาณของพวกแก!”

หลังจากพูดจบ ผีชั่วตนนั้นก็หันมาสนใจมู่หลงเหยียนที่กำลังยืนอยู่ในบ้าน

มันใช้ดวงตาสองข้างจ้องมอง และไม่ละสายตาไปจากเธอพักหนึ่ง

เมื่อกี้มันยังหัวเราะด้วยน้ำเสียงที่เจ้าเล่ห์ แต่ตอนนี้มันกลับตัวแข็งทื่อ มองรูปร่างหน้าตามู่หลงเหยียนอย่างลืมตัว

“ที่ ที่นี่ยังมีสาวงามหายากอยู่ด้วยว่ะ ดีคืนนี้ฉันจะได้ฟิน……”

ขณะที่พูด ใบหน้าของมันยังแสดงความหื่นกามออกมาด้วย

 

แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อเห็นไอ้ผีชั่วมองมู่หลงเหยียนแบบนี้ และยังพูดจาแบบนั้น ในใจของผมกลับรู้สึกอึดอัดมาก

เหมือนกับใจของตัวเองถูกขโมยไปแบบนั้น ถึงมู่หลงเหยียนจะสวยมาก แต่ความรู้สึกที่ผมมีต่อเธอมันกลับไม่ค่อยดีเท่าไหร่

แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อผมได้ยินมันพูดแบบนั้นกลับรู้สึกอึดอัดมาก เหมือนอยากจะด่าคน

นอกจากนี้ผมยังเดินไปข้างหน้าอย่างลืมตัว มองหน้าผีชั่วและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แม่..ซิไปล้างปากเน่าๆของแกก่อนเถอะ……”

ขณะที่พูด ผมกลับแสดงความโกรธที่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นมาจากที่ไหน ใช้ดาบไม้ในมือชี้หน้าผีชั่วทันที

 

ตอนนี้ ผมไม่กลัวเลยสักนิด จึงพูดเพิ่มตามสัญชาตญาณของตัวเอง “ฉันจะปกป้องเอง”

มู่หลงเหยียนเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง แม้เธอจะไม่พูดอะไร

แต่ใบหน้าของเธอ กลับมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

เมื่อผีชั่วเห็นผมพูด มันก็ใช้เสียงเย็นชาพูดกลับมาทันที “แกมีสิทธิพูดด้วยเหรอฮะ แหลกไปซะไอ้เด็กน้อย!”

เสียงพึ่งจบลง ทันใดนั้นผีชุดขาวที่อยู่ข้างหลังสี่ตนก็พุ่งเข้ามาทันที

แต่ละตนต่างไม่มีนัยน์ตา ใบหน้าน่าเกลียดน่ากลัว แถมยังยกแขนและกางกรงเล็กออก

ตอนแรกที่พวกมันปรากฎตัว ก็พุ่งเข้ามาหาผมทันที

 

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็จับดาบไม้ในมือจนแน่น เตรียมรับมือกับผีร้าย

แต่มู่หลงเหยียนที่อยู่ข้างๆกลับยกคิ้วขึ้น จู่ๆเธอก็พูดว่า “ใกล้จะตายอยู่แล้ว ยังกล้าทำอวดดีอีกนะ!”

หลังจากพูดจบ มู่หลงเหยียนก็ยกมือขึ้นมาข้างหนึ่ง

ขณะที่มู่หลงเหยียนยกมือขึ้นมา ผมกลับรู้สึกถึงลมหายใจที่เย็นยะเยือกกำลังไหลทะลักออกมาจากตัวมู่หลงเหยียน

จากนั้น รอบๆก็มีเสียงกรีดร้อง “อร๊าย” ดังขึ้น ผีร้ายสี่ตนที่พึ่งพุ่งเข้ามาในบ้าน

กลับกระเด็นออกไปทันที และแต่ละตนยังไม่สามารถลุกขึ้นมาต่อสู้ได้อีก

 

ร่างของพวกมันสั่นเทา มีแสงกระพริบออกมาจากร่าง และในปากของพวกมันยังกรีดร้องโหยหวน

เห็นได้ชัดว่า ผีร้ายสี่ตนถูกมู่หลงเหยียนทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส จนไม่มีกระจิตกระใจอยากต่อสู้อีกต่อไป และเมื่อดูจากท่าทาง วิญญาณของพวกมันกำลังจะแตกสลายอีกด้วย

เมื่อผมและอาจารย์เห็นภาพนี้ ก็ตกตะลึงในทันที

สุดยอด สุดยอดเลยนี่มันแข็งแกร่งเกินไปมั้ง

นี่มันแค่การโบกมือเพียงครั้งเดียวเองนะ ยังไม่ได้สัมผัสกับร่างกายเลยสักนิด แม้แต่การสู้ตัวต่อตัวยังเรียกไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

ผีร้ายสี่ตน ผีร้ายสี่ตนกลับถูกผีเมียจัดการง่ายๆขนาดนี้เนี่ยนะ

สวรรค์! ยัย ยัยมู่หลงเหยียนนี่มีพลังขนาดไหนกัน จะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset