ศพ – ตอนที่ 58 การมาป่าช้าเก่าเป็นครั้งที่สอง

ตอนที่ 58 การมาป่าช้าเก่าเป็นครั้งที่สอง

 

เสียงพึ่งจางหาย หลังจากเดินออกมาจากพุ่มไม้ อาจารย์และคนอื่นๆก็เริ่มเตรียมตัวสนับสนุนผู้อาวุโสหวางและนักพรตโป

เพราะท่านอาวุโสหวางอายุมากแล้ว จึงมีอาการเหนื่อยหอบ

แต่ทางนักพรตโปกลับเป็นเพราะอ้วน ตอนนี้เขาจึงหายใจเร็ว เหงื่อออกทั่วตัว และไม่สามารถทนต่อความเหนื่อยล้าได้

เมื่อเห็นท่าทางของพวกเขา ผมละรู้สึกไม่มั่นใจจริงๆ

นี่ยังไม่ได้เริ่มต่อสู้! พวกเขาก็เหนื่อยจนแทบจะล้มพับกันอยู่แล้ว

 

“ท่านผู้อาวุโส ต้องการพักสักหน่อยไหมครับ” นักพรตตู๋ที่อยู่ข้างๆพูดขึ้น

แต่ตาแก่นั้นกลับโบกมือ “ร่างกายไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่สู้กับหมาแมวไม่กี่ตัวเท่านั้น ไม่เป็นไร!”

แต่ตอนที่เขาพูดถึงประโยคสุดท้าย จู่ๆใบหน้าของท่านอาวุโสก็แสดงสีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาทั้งสองข้างเผยให้เห็นความดุร้าย

 

มือซ้ายของเขาถือไม้เท้าเอาไว้ แต่จู่ๆเขาก็เหวี่ยงมือขวาออกไป ทันใดนั้นแผ่นยันต์สีเหลืองก็ปรากฎขึ้นที่ปลายนิ้ว

ยันต์แผ่นนั้นดูเหมือน “ลูกดอก” มันลอยออกไปจากมือผู้อาวุโสหวางทันที

เขาพึ่งพูดจบ ยังไม่รอให้ทุกคนได้ตอบสนองใดๆ

 

ยันต์เหลืองแผ่นนั้นก็ลอยเข้าไปในพุ่มไม้ ทันใดนั้นเสียง “ปัง” ก็ดังขึ้น การระเบิดของคาถาได้เริ่มขึ้นแล้ว

หลังจากนั้น พวกเราก็ได้ยินเสียงกรีดร้องที่แหบแห้งของผู้ชายคนหนึ่ง “โอ๊ย!”

 

เมื่อได้ยินเสียงนี้ พวกเราทุกคนก็ตกตะลึงทันที หันไปมองตามสัญชาตญาณ

 

อาจารย์พูดกับผมว่า “เสี่ยวติง เข้าไปดูซิ!”

 

ผมไม่รอช้า รีบเข้าไปดูในพุ่มไม้ทันที เฟิงเฉ่วหานเองก็เดินตามหลังมาติดๆ

ผลลัพธ์หลังจากพวกเราสองคนแหวกพุ่มไม้ออก ผมสองคนก็นิ่งอึ้งไปทันที

เพราะพวกเราพบว่าในพุ่มไม้ มีผีร้ายในชุดขาวล้มลงกับพื้นหนึ่งตน

 

เห็นได้ชัดว่ายันต์เมื่อกี้ทำให้มันบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้มันจึงลุกขึ้นมาจากพื้นได้อย่างยากลำบาก

หลังจากผีตนนี้คายไอชั่วร้ายออกมา พวกเราก็ตัดสินได้ทันทีว่ามันเป็นผีร้าย

เมื่อเฟิงเฉ่วหานเห็นสิ่งนี้ สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมทันที “ไอ้ชั่ว!”

 

หลังจากพูดจบ เฟิงเฉ่วหานก็จับดาบขึ้นมาแทง โดยไม่ลังเลเลยสักนิด

ไม่รอให้ผีชั่วได้ตอบสนองใดๆ มันก็ถูกเฟิงเฉ่วหานแทงจนตายในทันที

 

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ตอนที่ผมหันกลับไปมองท่านผู้อาวุโส ผมก็อดไม่ได้ที่จะหายใจเข้าลึกๆ

เขามีความสามารถอย่างที่คิด ขณะที่พวกเราทุกคนไม่รู้ตัว

 

ท่านผู้อาวุโสหวางกลับรู้ถึงการมีอยู่ของมัน แถมยังใช้ยันต์หนึ่งแผ่น ในระยะไกลถึงห้าหกเมตรได้

ระยะไกลขนาดนี้ เขาก็ยังสามารถควบคุมคาถาได้

คุณคงรู้ว่ามันเป็นเพียงกระดาษแผ่นหนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงว่ามันจะแม่นยำจนแปะโดนตัวผีร้ายได้ไหม

 

แค่คิดว่าโยนมันให้ไกลได้ห้าหกเมตรนี่ก็บ้าแล้ว ไม่มีทางที่คนธรรมดาจะทำได้

แค่เรื่องนี้ ก็สามารถบ่งบอกพลังที่แท้จริงของเจ้าตัวได้แล้ว

 

“แค่ผีร้ายตัวเดียว โดนผมฆ่าตายแล้วครับ!” เฟิงเฉ่วหานรีบพูด

นักพรตตู๋พยักหน้าเล็กน้อย “กลับมาได้แล้ว!”

 

ตอนนี้ผมถึงได้สติ จึงเดินกลับมากับเฟิงเฉ่วหาน

ส่วนท่านผู้อาวุโสหวางไม่ได้แสดงท่าทีภูมิใจอะไรเลยสักนิด เขายังกำไม้เท้า และเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ

เมื่อพวกเราอยู่ห่างจากวัดร้างประมาณ 20 เมตร ทุกคนก็หยุดเดิน

 

เพราะต้องเปิดตาก่อน จึงจะเห็นได้ชัดเจนขึ้น รอบๆตัววัดมีพลังหยินแพร่ออกมาอย่างต่อเนื่อง

แสดงให้เห็นว่า ภายในวัดร้างแห่งนี้ ต้องมีสิ่งชั่วร้ายอยู่เป็นจำนวนมากแน่

 

ในเวลาเดียวกัน อาจารย์ก็เตรียมพร้อมให้ผมออกไปข้างหน้า เพื่อล่อให้ผีชั่วตนนั้นออกมาก่อน

แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงคือ ไม่ต้องรอให้ผมออกไปข้างหน้า

 

ทันใดนั้นทั้งสี่ทิศก็มีสายลมเยือกเย็น พัดเข้ามากระทบตัวพวกเราตรงๆ

จากนั้นเสียงทุ้มต่ำก็ได้ดังขึ้นทุกทิศทุกทาง ตามมาด้วยเสียงสะท้อนก้องว่า “ยังไม่ครบสามวัน พวกแกก็ร้อนตัวมารนหาที่ตายกันเลยงั้นเหรอ”

 

น้ำเสียงนั้นเย็นชาเข้ากระดูก แต่ก็แฝงด้วยความตื่นเต้น

แม้จะแค่ได้ยินเสียง แต่ก็เหมือนได้เห็นตัว เห็นได้ชัดว่านี่ก็คือเสียงของเจ้าผีชั่วตัวนั้น

ผมยกคิ้วขึ้น เดินไปข้างหน้าสองสามก้าวอย่างช่วยไม่ได้ “ฮึ! ใครจะตายหรือจะอยู่มันก็ยังไม่แน่หรอก! แต่ยังไงคืนนี้รังของแกก็ต้องถูกทำลาย!”

 

ผมพูดด้วยความดุร้าย บิดดาบไม้ที่อยู่ในมือ

 

เมื่อกี้ผมได้เห็นความสามารถของผู้อาวุโสหวางแล้ว ตอนนี้ผมจึงไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด

แต่เสียงพึ่งจางหาย เจ้าผีชั่วตนนั้นก็พูดกลับมาอีกครั้ง “ฮ่าฮ่าฮ่า! งั้นเหรอ……”

หลังจากพุดจบ ประตูวัดร้างที่ปิดไว้บานนั้น ก็มีเสียง “ฮึฮึฮึ” ดังออกมา

 

ประตูที่เคยปิดไว้ กลับค่อยๆเปิดออกทีละนิด ในเวลาเดียวกันพลังหยินก็ไหลทะลัก ออกมาทันที

มันทำให้คนรู้สึกอึดอัดมาก ผมขนลุกแล้วลุกอีก

 

ขณะที่ประตูเปิดออก พวกเรากลับเห็นแค่ว่าด้านในตัววัด กำลังมีร่างใครบางคนใช้ชุดขาวยืนอยู่

ใบหน้าขาวซีด ดวงตากลวงโบ๋ กำลังเขย่งเท้า จ้องมาที่พวกเราด้วยรอยยิ้มที่แสนเจ้าเล่ห์ และทั่วร่างของเขายังมีไอชั่วร้ายที่แสนเยือกเย็นไหลออกมา

 

เมื่อชายคนนี้ปรากฎตัว สีหน้าของทุกคนก็กลับมาเคร่งขรึมอีกครั้ง

ชายคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาก็เป็นผีชั่วนั่นเอง

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า! ฉันก็คิดว่าใครกินดีหมีมาถึงได้กล้าขนาดนี้ ที่ไหนได้ก็เป็นพวกแกนี่เอง!” จู่ๆผีชั่วก็พูดออกมา

แต่เสียงพึ่งจางหาย ทันใดนั้นแมวดำก็กระโดดลงมาจาก บนยอดของตัววัดร้าง

 

แมวอ้วนดำตัวนั้น เผยแววตาสีเขียวใส ขณะนี้มันกำลังยืนอยู่บนหลังคา ใช้ดวงตาทั้งสองข้างจับจ้องมาที่พวกเรา

จากนั้นมันก็แผดเสียงร้อง “เมี้ยว” ออกมา เสียงดังมาก และรุนแรงผิดปกติ

หลังจากเสียงแมวร้องดังขึ้น จู่ๆอุณหภูมิรอบตัวก็ลดลงไปเยอะมาก มันเปลี่ยนอากาศให้หนาวเย็นขึ้นในชั่วพริบตา

 

และพุ่มไม้ที่อยู่รอบๆก็เริ่มสั่นไหว “ซ่าซ่าซ่า” กิ่งไม้และใบไม้กระทบกัน นั่นเป็นความรู้สึกที่แย่มาก

แต่มันยังไม่จบเท่านั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หลังจากเสียงแมวร้อง ทั้งสองข้างของวัดร้าง และพุ่มไม้ทั้งซ้ายและขวา

กลับปรากฎ เงาคนในชุดสีขาวเดินออกมาทีละคนๆ

เงาคนเหล่านี้คือผีทั้งหมด พวกมันยังปล่อยไอชั่วร้ายที่หนาวเย็นออกมาด้วย โดยที่ไม่มีคนเป็นเลยสักคน

บางตนก็มีหน้าซีดขาวมาก แถมดวงตายังกลวงโบ๋

แต่บางตนก็เหมือนกับซากศพเดินได้ มีสีหน้าซีดเหลืองเหมือนคนพึ่งตาย ดวงตายังไม่เปลี่ยนเป็นสีขาวโพน ยังมีม่านตา แต่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ พวกมันต่างเดินออกมาจากพุ่มไม้ทั้งๆแบบนั้น

 

เมื่อมองดูรอบๆ ก็จะพบว่าพวกมันมีจำนวนมากจนน่าตกใจ ตอนนี้พวกมันเพิ่มจำนวนขึ้นถึง 30 ตนแล้ว

ผีเยอะขนาดนี้ พูดกันตรงๆ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่หวาดกลัว

 

ผมกลืนน้ำลายตามสัญชาตญาณ แต่ยังทำเป็นปากกล้า “ฮึ! แน่จริงแกก็เรียกทาสผีของแกออกมาให้หมดซิวะ จะได้จัดการทีเดียว!”

 

“ไอ้เด็กเวร แกนี่มันโอหังจริงๆ! อีกเดี๋ยวฉันจะไม่เหลือโอกาสให้แกได้ร้องไห้”

เจ้าผีชั่วตนนั้นตะโกนออกมาจากประตู ใช้นิ้วชี้มาที่ตัวผมทันที

 

ทันใดนั้น รอบๆก็ปรากฎพวกทาสผี 30 ตน ทุกตนต่างเงยหน้าขึ้น คำรามเสียง “โฮก” ออกมา หลังจากจ้องพวกเราเสร็จพวกมันก็พุ่งตัวเข้ามาหาทันที

 

ช่วงเวลานี้ ผมรู้สึกว่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อ กลัวจะตายอยู่แล้ว

แต่อาจารย์ นักพรตตู๋ และเหล่าฉินกลับเดินขึ้นไปข้างหน้า ยกดาบไม้ในมือขึ้น พร้อมแทงผีร้ายพวกนี้

แต่ผู้อาวุโสหวางและนักพรตโปที่อยู่ด้านหลัง กลับแสดงท่าทางสงบนิ่ง

 

ผมได้ยินท่านผู้อาวุโสหวางพูดออกมาเบาๆ “เสี่ยวโป ทำให้เจ้าพวกนี้ได้รู้ว่า ที่นี่ใครกันแน่ที่เป็นคนออกคำสั่ง”

 

เมื่อนักพรตโปได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ทำมือคารวะท่านอาวุโสหวางทันที “ครับ ท่านอาจารย์!”

หลังจากพูดจบ จู่ๆนักพรตโปก็ทำมือ

 

ผมหันไปมอง ก็พบว่า กระบวนท่าทำมือของนักพรตโปเร็วมาก

สุดท้ายผมก็เห็นมือของนักพรตโปประสานกัน และคายดาบออกมาหนึ่งเล่ม

จากนั้นเขาก็ตะโกนออกมาว่า “หลิน ปิง โต้ว เจอะ เจีย เจิ้น เลี่ย เฉียน ฉิง จงเปิดออก!”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset