ศพ – ตอนที่ 6 ต่อสู้กับผีร้าย

ผมก็คิดไม่ถึงว่าผีร้ายตนนี้จะแข็งแกร่งได้ขนาดนี้ เมื่อเห็นศีรษะของผีร้าย หมุน 180 องศาต่อหน้า ผมถึงกับยืนนิ่งไปในทันที

ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึกและไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น ผมคงจะทำหน้าแบบนี้ต่อไป

แต่ผีร้ายตนนั้น กลับอ้าปากกว้าง  แล้วพุ่งตรงเข้ามากัดคอของผมทันที  ในขณะที่สติของผมยังไม่กลับมา

เมื่ออาจารย์ที่อยู่ห่างออกไปมองเห็น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที  เขาร้องตะโกนออกมา “ระวัง!”

หลังจากที่พูดจบ เขาก็ไม่สนอะไรทั้งสิ้น รีบโยนดาบไม้ที่อยู่ในมือมาทางผมทันที

 

เหมือนผีร้ายตนนั้นจะรับรู้ได้ว่าดาบไม้กำลังลอยมาทางนี้ เดิมทีที่มันจะตรงเข้ามากัดคอผม ทันใดนั้นมันก็รีบพุ่งหลบออกไปทันที

เพราะถ้ามันไม่หลบ ถึงจะกัดผมให้ตายได้ ตัวมันเองก็จะโดนดาบไม้แทงอยู่ดี ดังนั้นมันเลยไม่คุ้มค่า

แต่ขณะที่มันหลบ ตอนนั้นผมก็กลับมามีสติอีกครั้ง

แม้ว่าใจของผมจะกลัว แต่ก็ไม่อยากตายอยู่ที่นี่ และยิ่งไม่อยากถูกผีร้ายกัดตาย

ร่างกายจึงขยับถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว เพื่อออกห่างจากผีผู้ชาย

แต่หลังจากที่ผีผู้ชายตนนั้นหลบดาบไม้เสร็จ มันก็กลับมองมาที่ผมอีกครั้ง ทำหน้าตาน่าเกลียดมาก “วันนี้ฉันจะเอาชีวิตน้อยๆของแกไป!”

 

ขณะที่พูด มันก็พุ่งเข้ามาหาผมอีกครั้ง

ผมทำหน้าหวาดกลัว ร่างกายก็ขยับถอยไปข้างหลัง แต่ทันใดนั้นผมก็ลื่นล้มลงไปกับพื้นเสียงดัง “ปัก”

เมื่อผีผู้ชายเห็นสภาพผมเป็นแบบนั้น มันก็ยิ่งได้ใจ มันเห็นผมเป็นเหมือนเนื้อที่อยู่ในจาน

มันอ้าปากกว้างอีกครั้ง เผยให้เห็นฟันที่แหลมคม และตรงเข้ามากัดที่คอของผมเหมือนเดิม

อาจารย์อยากจะเข้ามาช่วยผม แต่ตอนนี้เขากลับถูกผีผู้หญิงขวางทางเอาไว้

ยิ่งไปกว่านั้นดาบไม้ที่เคยมีอยู่ในมือก็ดันโยนออกไปแล้ว ดังนั้นในเวลาอันสั้นนี้เขาจึงไม่สามารถเข้ามาช่วยผมได้

 

ตอนนี้ผีผู้ชายได้พุ่งเข้ามาอยู่ตรงหน้าของผมแล้ว มันทับร่างของผมเอาไว้ กรงเล็บที่แหลมคมคู่นั้นบีบมาที่คอของผม

หัวผมยิ่งจมดิ่งลงไปใหญ่ และมันยังเผยให้เห็นเส้นเลือดใหญ่ที่คอของผม

“ติงฝาน!” ดวงตาของอาจารย์แดงก่ำ แต่กลับช่วยอะไรผมไม่ได้

ในช่วงเวลานี้ ผมเองก็กลัวจนถึงขีดสุด

การที่ได้สัมผัสกับบรรยากาศที่หนาวเย็นและใบหน้าที่น่าสยองของผีร้าย มันทำให้ผมแทบจะเป็นบ้า

แต่ผมก็ยังมีความปรารถนาจะอยู่รอดที่แรงกล้า ผมจึงพยายามดิ้นรนอย่างสุดความสามารถ

และเมื่อถึงวินาทีที่ผีร้ายตนนั้นก้มมากัดที่คอของผม มือของผมไม่รู้ว่ากำอะไรอยู่ ผมกำมันมาและกระแทกเข้าที่หัวของผีผู้ชายทันที

 

ผีผู้ชายตนนี้หยิ่งยโสยิ่งกว่าอะไร แต่เดิมเขาก็ไม่เคยเห็นผมอยู่ในสายตา

ดังนั้นในเวลานี้มันจึงไม่ยอมหลบเลยสักนิด เพราะคิดว่าผมทำร้ายมันไม่ได้

แต่ตอนที่ผมกำมือกระแทกใส่หัวของมัน ผีผู้ชายตนนั้นกลับแสดงท่าทางเหมือนถูกไฟช็อต

ร่างกายสั่นกระตุก สีหน้าเปลี่ยนไป และร้อง “โอ๊ย” ออกมา

จากนั้นร่างของมันก็ผงะออกไปทันที เห็นได้ชัดว่ามันกำลังเจ็บปวดทรมาน

เมื่อกี้มันยังทำสีหน้าดีใจแบบน่าขนลุกอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับกลัวจนหวาดระแวง

มือทั้งสองข้างกุมที่หัวและร้องออกมาอย่างต่อเนื่อง “โอ๊ยเจ็บ เจ็บมาก เจ็บจะตายอยู่แล้ว!”

 

ส่วนผมก็รู้สึกดีใจกับชีวิตที่ยังเหลืออยู่ของตัวเอง ในเวลาเดียวกันผมก็มองเห็นชัดแล้วว่าในมือของตัวเองกำลังกำอะไรอยู่

ที่แท้มันก็คือกระจก 8 ทิศเจินหยิงเค่อซา ไม่น่าแปลกที่ผีผู้ชายจะได้รับความเจ็บปวดขนาดนั้น แล้วยังท่าทางการตอบสนองที่ร้ายแรงขนาดนั้นอีก

เพียงแค่คิดไม่ถึงเท่านั้น ว่าสิ่งที่อยู่ในมือในช่วงเวลาคับขันจะเป็นกระจก 8 ทิศ

กระแทกเข้าที่หัวผีผู้ชายอย่างไม่ตั้งใจ และช่วยชีวิตตัวเองเอาไว้ได้

เวลานั้นตัวผมเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จับกระจก 8 ทิศในมือและถอยหลังไปเรื่อยๆ ทันใดนั้นผมก็เห็นดาบไม้ที่อาจารย์โยนมาเมื่อกี้พอดี

 

ไม่รอให้ผีผู้ชายตอบสนองกลับขึ้นมาอีกครั้ง ผมหยิบมันขึ้นมาทันที

เมื่อผีผู้หญิงตนนั้นเห็นสามีของตัวเองเจ็บปวดแบบนั้น เธอก็ไม่สนใจอาจารย์อีกต่อไป

รีบวิ่งไปทางผีผู้ชายทันที เขย่งเท้าไปหาด้วยความเคร่งเครียดและแผดเสียงที่แหบแห้งออกมา “ผัวจ๋า คุณเป็นยังไงบ้าง ผัว……”

อาจารย์เห็นโอกาสอันน้อยนิด เขาจึงรีบตรงมาที่ด้านหน้าของผม

จากนั้นเขาก็ดึงดาบเหรียญจีนออกมาจากกระเป๋าเป้ “เสี่ยวฝานรีบไป อาจารย์จะต้านเอาไว้ให้แกเอง วิ่งตรงไปทิศตะวันออกจะมีศาลเจ้าเฉินหวงอยู่ และอย่าหันหลังกลับมาเด็ดขาด”

 

“อาจารย์ ผมไม่ไป ผมจะไปพร้อมอาจารย์!” ผมพูดออกมาตรงๆ

แม้ว่าจะรู้สึกกลัว และกลัวตายอยู่บ้าง แต่ผมก็ไม่อยากทิ้งอาจารย์เอาไว้

ตอนที่ผมยังเล็ก อาจารย์รับผมเป็นบุตรบุญธรรม เขาเป็นญาติเพียงคนเดียวของผม

ตอนนี้จะให้ผมหนีเอาชีวิตรอดคนเดียว ผมจะทำใจได้ยังไง

เมื่ออาจารย์เห็นผมไม่ยอมไป เขาก็ผลักผมออกไปทันที

แล้วจ้องผมด้วยดวงตาสีแดงก่ำ “ไปซิ! แกอยู่ที่นี่ก็เป็นภาระให้ฉันเอาซะเปล่าๆ จะอาจารย์หรือศิษย์ก็จะไม่มีใครรอดกันสักคนถ้าไม่มีคนออกไป!”

 

ดวงตาของอาจารย์แทบจะทะลุออกมา เวลาพูด เขาก็ยังสาดน้ำลายมาที่หน้าของผม

แต่ผมยังคงทำหน้าหดหู่ เพราะอยากอยู่ต่อ

แต่เมื่อได้ยินคำพูดของอาจารย์ ผมก็ไม่กล้าอยู่ต่ออีก

ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ขืนอยู่ที่นี่ต่อก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เป็นได้แค่ภาระของอาจารย์เท่านั้น

เมื่ออาจารย์เห็นว่าผมไม่พูด เขาจึงกลับไปมองผีร้ายสองตนนั้นอีกครั้ง

เมื่อเห็นว่าผีผู้ชายไม่ได้เจ็บปวดเหมือนก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าเขาฟื้นตัวขึ้นแล้ว

 

เขาจึงหันกลับมาพูดกับผมอีกครั้ง “รีบไป! ถ้ายังไม่ไปจะไม่ทันแล้วนะ!”

แม้ว่าจะรู้สึกลังเล แต่เมื่อเห็นสถานการณ์ในตอนนี้

ผมก็พูดกับอาจารย์ทันที “อาจารย์ ต้องรีบตามมานะครับ!”

หลังจากพูดจบ ผมก็หยิบดาบไม้ขึ้นและรีบหันหลังวิ่งออกไปทันที

เมื่อผมหันกลับมามอง ก็เห็นผีร้ายสองตนพุ่งเข้ามาอีกรอบ และอาจารย์ก็กำลังรั้งพวกผีสองตนนั้นเอาไว้

ผมไม่กล้าหยุด ได้แต่รีบวิ่งต่อไปข้างหน้าทันที

หลังจากที่ผมวิ่งผ่านสวนด้านหลังมา ก็เจอเข้ากับทางเดิน ขณะที่ผมกำลังจะวิ่งไปข้างหน้า

 

ทันใดนั้นก็มีเสียงแหบแห้งดังขึ้น “ชีวิตของแก ฉันขอล่ะ!”

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ผมก็รู้สึกเย็นที่หลัง ขนลุกขึ้นมาทันที

เมื่อหันไปมอง ผมก็เห็นผีผู้หญิงกำลังไล่ตามมา

เพื่อหนีเอาตัวรอด ผมจึงวิ่งเร็วกว่าเดิม แต่ขาทั้งสองข้างจะวิ่งเร็วกว่าผีร้ายไปได้ยังไง

เพียงชั่วพริบตา ผีร้ายตนนั้นก็ไล่มาถึงด้านหลังของผม

กรงเล็บที่แสนคมของผี ถูกยกขึ้นสูง และฟาดลงมาอย่างรวดเร็ว

 

ผมตกใจจนเสียสติ คิดว่าคืนนี้ตัวเอง คงหนีไม่รอดอีกต่อไปแล้ว

ในใจจึงรู้สึกผิดขึ้นมา ผมรู้สึกผิดเกี่ยวกับเรื่องของอาจารย์

ในช่วงเวลาแบบนี้ ความสิ้นหวังก็แพร่กระจายอยู่ในใจของผม

แต่ ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ ที่มุมถนนตรงหน้าผม กลับมีร่างคนปรากฎขึ้น

และคนๆนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือเหล่าฉินที่ออกไปก่อนหน้านี้นั้นเอง

สีหน้าของเหล่าฉินเคร่งขรึม ในมือกำลังถือขันใบหนึ่ง

ขณะที่เขาปรากฎตัว เขาก็ตะโกนออกมาเสียงดัง “มาลองเลือดหมาดำของฉันดู!”

 

เสียงพึ่งจางลงเท่านั้น เหล่าฉินก็ราดใส่ผีผู้หญิงที่อยู่ด้านหลังของผมทันที

เนื่องจากอยู่ในระยะกระชั้นชิด และกระทันหันมาก

อีกทั้งความสนใจของผีผู้หญิงตนนั้นยังมุ่งมาที่ตัวผม ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ตอบสนองใดๆ ในวินาทีนั้นผมเบี่ยงหัวหลบตามสัญชาตญาณ

ได้ยินเพียงเสียง “ซ่า…” เลือดหมาดำขันนั้นไหลลงบนตัวของผีผู้หญิง

เลือดหมาดำนั้นใช้ได้ผลกับสิ่งชั่วร้าย  แล้ววิญญาณชั่วร้ายพวกนี้จะทนมันได้ยังไงล่ะ

และแล้วก็ได้ยินเสียงร้อง “อร๊าย” ของผีผู้หญิงดังขึ้น เธอก็ล้มลงไปกับพื้นทันที

 

ตอนนี้เลือดหมาดำก็เหมือนกับน้ำกรด มันกัดกินร่างกายของผีผู้หญิงอย่างต่อเนื่อง จนมีเสียงดัง “แซ่…” ดังออกมาจากผิว

ใบหน้าด้านซ้ายของเธอ ถูกกัดจนเห็นเนื้อสีแดงสด ดูแล้วน่าสยดสยองมาก

ฉากนั้นน่ากลัวเกินไป เวลานั้นผมตกใจจนพูดอะไรไม่ออก

ดูเหมือนว่าเหล่าฉินเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์กับการต่อสู้ครั้งใหญ่แบบนี้มาก่อน เขาจึงแสดงท่าทางวุ่นวายสับสนทำอะไรไม่ถูกออกมาให้เห็น

ส่วนผีผู้หญิงตนนั้นก็ล้มลงไปที่พื้นด้วยความทุกข์ทรมาน ร่างกายสั่นกระตุกอย่างต่อเนื่อง

 

แต่ปากของเธอก็ยังกรีดร้อง และพูดอ้อนวอนของความช่วยเหลือ “ผะ ผัวช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย!”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ผมก็ได้สติขึ้นมาทันที ทำไมตัวเองไม่ฆ่าเธอตอนนี้เลยละ จะรอไปถึงเมื่อไหร่กัน

ผมยกดาบไม้ขึ้น และแทงเข้าไปที่ท้องของผีผู้หญิง

ผีผู้หญิงกำลังบาดเจ็บจากเลือดหมาดำ เธอจะหลบพ้นได้ยังไง

ในช่วงที่แทงดาบลงไป มันก็แทงทะลุเข้าที่ท้องของผีผู้หญิงทันที

ผีผู้หญิงตนนั้นก็กรีดร้องเสียงดังบาดแก้วหูอีกครั้ง สีหน้าเจ็บปวด แต่เหมือนจะยังแทงไม่โดนจุดสำคัญ

เมื่อผมเห็นว่าผีผู้หญิงยังไม่ตาย ผมเลยคิดจะแทงลงไปอีกครั้ง

 

แต่มันช้าเกินไป เพราะตอนนี้ผีผู้ชายตนนั้นได้มาถึงแล้ว

“เมีย” เขาร้องเสียงหลง ผีผู้ชายปรากฎตัวห่างจากพวกเราประมาณ 10 เมตร

เมื่อเหล่าฉินเห็นผีผู้ชายปรากฎตัว เขาเผยสีหน้าที่หวาดกลัวออกมาทันที

เขารีบคว้าตัวผมเอาไว้ ไม่เหลือโอกาสให้ผมได้ลงมืออีก เขารีบลากตัวผมหนีออกไปทันที

แต่พวกเราออกมาได้ไม่ไกล ผีผู้ชายตนนั้นก็มาปรากฎที่ด้านหน้าของผีผู้หญิง

เขาจับมือของผีผู้หญิงเอาไว้ จากนั้นก็หันมามองผมและเหล่าฉินด้วยสายตาที่อาฆาต ปากยังไม่หยุดพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำและโมโห “ฉันจะให้พวกแกมีชีวิตอีกสองวัน!”

 

หลังจากพูดจบ เขาและผู้หญิงที่นอนอยู่บนพื้น “ปัง” ก็กลายเป็นหมอกสีดำทันที จากนั้นพวกมันก็ค่อยๆเลือนหายไปจากสายตาของพวกเรา

ผมและเหล่าฉินหยุดมองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็คิดเรื่องที่อาจารย์ยังอยู่ที่สวนด้านหลังได้

ผมไม่ลังเลเลยสักนิด จึงรีบหมุนตัววิ่งกลับไปสวนด้านหลังทันที

เมื่อผมและเหล่าฉินมาถึงสวนด้านหลัง ก็พบว่าอาจารย์นอนจมกองเลือดอยู่

“อาจารย์!” ผมตกใจจนเสียขวัญ รีบพุ่งเข้าไป แล้วอุ้มอาจารย์ขึ้นมาทันที

 

พบว่าที่หน้าอกของอาจารย์มีบาดแผลถึง 3 แผลด้วยกัน และมันยังมีเลือดไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง

เหล่าฉินเองก็ทำหน้าเสียขวัญ บอกให้ผมรีบกดแผลของอาจารย์เอาไว้ก่อน เขาจะไปเอาผ้าพันแผลและยาห้ามเลือดมาให้

เมื่อผมเห็นบาดแผลของอาจารย์ และเลือดที่ไหลนองเต็มพื้น

ตัวผมที่เป็นวัยรุ่น ก็ร้องไห้ออกมาทันที

แต่ทันใดนั้นอาจารย์ก็ลืมตาขึ้น แล้วพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง “อาจารย์ดวงซวยเอง! แค่สงสารเด็กน้อยอย่างแกก็เท่านั้น พวกคนชั่วนี้ อาจารย์คง

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset