ศพ – ตอนที่ 60 ท่านผู้อาวุโสออกโรง

ตอนที่ 60 ท่านผู้อาวุโสออกโรง

 

ในที่สุดพวกเราก็ได้เจอกับปรมาจารย์กุ่ย แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้านี้จะเป็นคนแปลกประหลาด

เขาไม่ใช่ผี และไม่ใช่คน แต่เจ้านี้กลับใส่ชุดคนตาย

และตอนนี้ ร่างของเขายังหายไป แต่ทันใดนั้นเพียงชั่วพริบตา ร่างของเขาก็ปรากฎตัวขึ้นที่ข้างตัวของนักพรตโป

ความเร็วของเขาทำให้ผู้คนที่เห็นถึงกับหวาดกลัว ถึงแม้จะเป็นนักพรตโปที่ทรงพลังขนาดนี้ ก็ยังไม่รู้สึกตัวว่าเขาได้เข้ามาอยู่ตรงนั้นแล้ว

ไม่ใช่แค่นี้ แม้แต่คนที่ยืนอยู่ข้างนอกอย่างพวกเรา ก็ยังเตือนเขาไม่ทัน

ผมหวาดกลัว แต่ในเวลาเดียวกันก็ยังกังวลแทนท่านนักพรตโป

 

ถ้าท่านนักพรตโปถูกกัดที่คอจริงๆละก็ เขาจะต้องทรมานมากแน่

ทันใดนั้นเอง ท่านอาวุโสหวางที่อยู่ด้านหลังของพวกเรา ก็พูดขึ้นอย่างกระทันหัน “โอหัง!”

ขณะที่พูด เขาก็ได้เสกคาถาเรียกดาบออกมาเรียบร้อย

เขาจ้องไปที่กุ่ยซานหยวน และพูดออกมาอีกครั้ง “อัญเชิญ!”

เสียงพึ่งจางหาย ดาบเล่มนั้นก็พุ่งไปหากุ่ยซานหยวนทันที

ทันใดนั้น “โอ๊ย” เสียงกรีดร้องของกุ่ยซานหยวนก็ดังขึ้น ร่างของเขากระเด็นออกไปทันที

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเร็วมาก ทุกคนยังไม่ทันตั้งสติ

ก็เห็นเจ้ากุ่ยซานหยวนที่หยิ่งผยองโดนอะไรเข้าไปไม่รู้ จู่ๆก็กระแทกลงกับพื้นอย่างแรง

 

เมื่อผีชั่วที่อยู่ข้างๆเห็น ก็เผยท่าทางหวาดกลัวออกมา “อาจารย์ อารจารย์ !”

ขณะที่พูด เขาก็วิ่งมาหาทันที

รีบประคองเจ้าปีศาจกุ่ยซานหยวนให้ลุกขึ้น ส่วนผีร้ายพวกนั้น ในเวลาเดียวกันก็เข้ามาล้อมรอบปรมาจารย์กุ่ยไว้สามชั้น คอยปกป้องเขาไว้ตรงกลาง

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ทุกคนก็ถอนหายใจออกมา

เพราะเมื่อกี้ท่านนักพรตโปตกอยู่ในอันตราย ทุกคนจึงกลัวจนเหงื่อออกเต็มไปหมด

ในเวลาเดียวกันก็ตกใจกับ พลังของท่านอาวุโสหวางด้วย

 

ด้วยพลังที่ “ห่างชั้น” แบบนี้ ถือว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัวจริงๆ

เพียงแค่ครั้งเดียว ก็สามารถทำให้คนบงการที่ร้ายกาจบาดเจ็บได้แล้ว

วิธีลงมือแบบนี้ ช่างเป็นคนที่ไม่ธรรมดาจริงๆ

ตอนนี้ พวกเราจะยังมีข้อสงสัยในตัวท่านผู้อาวุโสหวางได้ยังไงละ

ในใจของผมกำลังเคารพเขาอย่างยิ่ง แม้จะอยู่ในสายงานนี้มานานมากแล้ว

อาจารย์เป็นคนมีวิชาจริงๆ แต่ผมและอาจารย์เป็นแค่นักพรตธรรมดาๆ รู้เพียงวิชาปราบสิ่งชั่วร้ายเล็กๆน้อยๆเท่านั้น

 

จะเทียบกับผู้อาวุโสที่มีชื่อเสียงในลัทธิเต๋าได้ยังไง หรือจะเทียบกับนักเลงของนิกายต่างๆ นั่นก็ยังเทียบกันไม่ติด

เห็นได้ชัดว่า พลังของท่านอาวุโสหวาง จะต้องไม่เป็นสองรองใครในสาขาของเราแน่ บางทีเขาอาจเป็นคนหนึ่งที่อยู่บนจุดสูงสุดก็ได้

 

ขณะที่ผมกำลังช็อก ท่านนักพรตโปก็ได้บิดคอของเขาไปสองสามรอบแล้ว ส่งเสียง “ก๊อบก๊อบ” จากนั้นก็พูดว่า “บ้าเอ้ย อีกนิดเดี๋ยวก็เกือบกัดคอฉันได้แล้ว รนหาที่ตายจริงๆ!”

หลังจากพูดจบ เขาก็จับดาบทะลวงเข้าไปในวงล้อมของผีทันที

เมื่อเห็นท่านนักพรตโปลงมือ อาจารย์และคนอื่นก็ได้สติ รีบพูดขึ้นมาทันที “บุกเข้าไป!”

 

หลังจากพูดจบ นักพรตตู๋ อาจารย์ เหล่าฉิน ผมและเฟิงเฉ่วหาน ก็เริ่มโจมตีทันที

ส่วนพวกผีกระจอกๆพวกนั้น จะมาสู้กับนักพรตโปและพวกเราได้ยังไง

พึ่งสัมผัสตัว ก็ถูกนักพรตโปจู่โจมจนล้มระเนระนาด หรือบางตนก็ตกใจกลัววิ่งหนีไปตนละทิศละทาง

ผมยังไม่ได้ทำอะไร ผีพวกนั้นก็วิ่งหนีไปหมดแล้ว

เมื่อผีชั่วเห็นว่าพวกทาสรั้งไว้ไม่อยู่ มันก็เลยเข้ามาสู้กับนักพรตโป

“ฉันจะฉีกแกเป็นชิ้นๆ!” มันตะโกนเสียงดัง ยกกรงเล็บบนมือขึ้น

 

ตอนนี้ ใบหน้าของผีชั่วกลับมาบิดเบี้ยวอีกครั้ง

บนหน้าผากของมัน ได้มีดวงตางอกออกมาอีกหนึ่งดวง

พลังชั่วร้ายที่อยู่บนร่าง ก็เพิ่มขึ้นมายิ่งกว่าเดิม

“ท่านนักพรตโประวัง ไอ้ผีชั่วนี้ใช้วิชามาร!” อาจารย์รีบเตือน

แต่นักพรตโปไม่สนใจมันอยู่แล้ว “แค่ผีกระจอกที่เคยกินผีสองสามตัวเท่านั้น อย่างมากสภาพของแก ก็ทำให้คนทั่วๆไปตกใจกลัว ฮึกล้ามาทำโอหังต่อหน้าฉัน รนหาที่เองนะ”

หลังจากพูดจบ ท่านนักพรตโปก็กวัดแกว่งดาบเข้าไปทันที

 

ผีชั่วเองก็มีความสามารถอยู่บ้าง จึงสามารถหลบได้อย่างรวดเร็ว

แต่ขณะที่มันเอนตัวหลบ ท่านนักพรตโปก็ต่อยออกไป

ทันใดนั้นเสียง “ปัก” ก็ดังขึ้น หมัดนั้นต่อยโดนหัวของผีชั่วเต็มๆ

ผีชั่วตนนั้นจะรับไหวได้ยังไง วินาทีนั้นร่างของมันล้มลงไปกับพื้นทันที ในปากยังกรีดร้องออกมาอย่างโหยหวน

ผมอยู่ใกล้ผีชั่วที่สุด ตอนนั้นจึงไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

จับดาบไม้เข้าไปแทงมันทันที “ไปตายซะ!”

หลังจากพูดจบ ผมก็แทงลงไปตรงอกผีชั่ว

 

เจ้าผีชั่วก็กรีดร้องออกมาทันที จากนั้นร่างของมันก็ระเบิดดัง “ปัง” และจางหายไปอย่างไร้ร่องรอย

แน่นอน ว่าเจ้านี้จะสามารถเกิดใหม่ได้อีกไหมนั้น ตอนนี้พวกเราเองก็ยังไม่แน่ใจ

หลังจากเจ้าผีชั่วถูก “แทง” ผีเล็กผีน้อยที่เหลืออยู่ก็ต่างตายไป หรือไม่ก็หนีหายไปในความมืด

ตอนนี้ที่นี่เหลือก็มีเพียงเจ้าปีศาจกุ่ยซานหยวนคนเดียวเท่านั้น เขากำลังนั่งพิงอยู่ที่บันไดหิน และมีเลือดสีดำติดอยู่ที่มุมปาก

เมื่อกี้คาถาของผู้อาวุโสหวาง ทำให้มันบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้แม้แต่ลุกขึ้นมามันยังทำได้ลำบากเลย

ไม่รู้ว่าท่านอาวุโสหวางทำเกินไปหน่อย หรือเจ้านี้อ่อนแอเกินไปกันแน่

 

เพียงแค่แป๊บเดียว เขาก็สูญเสียพลังในการต่อสู้ไปแล้ว

“ไอ้ปีศาจ! วันตายของแกมาถึงแล้ว!” นักพรตโปพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชามากๆ

แต่กุ่ยซานหยวนไม่กลัวเลยสักนิด กลับกันยังหัวเราะ “ฮ่าฮ่า” ดังลั่น “คิดจะฆ่าข้างั้นเหรอ แกยังอ่อนเกินไป!”

 

“แกตกอยู่ในสภาพนี้แล้ว จะยังทำอะไรได้อีกฮะ” นักพรตโปโต้กลับ พร้อมกับเผยรอยยิ้มที่แสนภาคภูมิใจ

แต่ผีตนนั้นกลับยกคอขึ้นมาเล็กน้อย พูดด้วยเสียงแหบแห้งที่น่าขนลุก “ไม่มีใครสามารถฆ่าฉันได้……”

จากนั้น เขาก็ยกมือขวาขึ้น เผยให้เห็นเล็บมือที่มีสีดำสนิท

ดวงตาทั้งสองข้างจับจ้องมาที่พวกเรา พร้อมกับร้อยยิ้มที่แสนเจ้าเล่ห์

 

เขาไม่ลังเลเลยสักนิด ใช้เล็บที่แหลมคมเจาะเข้าไปที่คอของตัวเองทันที จากนั้นก็กระชากออกมาอย่างแรง

เล็บนั้นดูเหมือนกับดาบที่คมกริบ ฉีกลำคอของตัวเองจนเป็นแผลเหวอะ

เลือดสดๆไหลออกมาจากลำคอของเจ้าปีศาจทันที “บึก” ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็ล้มลงกับพื้น หลังจากกระตุกอยู่บนพื้นสองสามครั้ง เขาก็ไม่ขยับอีกเลย

เมื่อเห็นฉากที่น่าขนลุกนี้ ผมก็รู้สึกมึนงง

เจ้านี้ฆ่าตัวตายงั้นเหรอ และวิธีที่ใช้ยังน่าขนลุกขนาดนี้ด้วย ถึงกับกล้าใช้เล็บฉีกคอตัวเอง

ไม่ใช่เพียงแค่ผมที่มึนงง แม้แต่อาจารย์ นักพรตตู๋หรือคนอื่นๆ ก็ยังแสดงท่าทางตกใจ

 

เฟิงเฉ่วหานเข้าไปตรวจลมหายใจของมัน “ตายแล้วครับ!”

“ตายแล้วก็ดี กำจัดตัวอันตรายนี่ได้ ถิ่นของพวกเราก็จะได้สงบซะที” เหล่าฉินพูดพร้อมรอยยิ้ม

แต่จู่ๆท่านนักพรตโปก็ขมวดคิ้ว เดินเข้ามายืนหยุดอยู่ตรงหน้าศพ ใช้มือจับร่างกายของกุ่ยซานหยวนพักหนึ่ง

จากนั้นก็พูดว่า “ไม่ เขายังไม่ตาย นี่เป็นแค่ศพที่พึ่งตายไม่นานเท่านั้น!”

“อะไรนะ ไม่ใช่กุ่ยซานหยวนงั้นเหรอ” ทุกคนอึ้งไปในทันที

“ท่านนักพรตโป หมายความว่าอะไร เขาไม่ได้ฆ่าตัวตายต่อหน้าพวกเราเหรอครับ” ผมพูดด้วยความสงสัย

แต่ท่านนักพรตโปกลับจ้องไปที่ศพ และสูดหายใจเข้าลึกๆ “พวกคุณลองไปจับที่ศพดูซิ มันเย็นจนถึงกระดูกแล้ว ไม่ใช่อุณหภูมิของคนพึ่งตายเลยสักนิด”

 

“พวกคุณลองดูเลือดที่ไหลออกมา คนพึ่งตายจะมีเลือดสีแดงเข้มไหลออกมารึเปล่า”

จู่ๆก็ได้ยินท่านนักพรตโปพูดแบบนี้ ทุกคนจึงรู้สึกถึงความผิดปกติ

เข้าไปตรวจดูศพ สุดท้ายก็พบว่าเป็นอย่างที่นักพรตโปพูดไว้จริงๆ

ศพเย็นมาก แถมที่ลำคอและแขน ยังมีรอยช้ำที่เกิดจากเลือดแข็งตัวในศพด้วย

ถ้าดูคราวๆ ชายคนนี้ก็น่าจะตายมาหนึ่งวันแล้ว

ในเวลาเดียวกัน “เลือด” ของเขายังไม่ใช่สีแดง แต่เป็นเลือดสีดำที่มีกลิ่นเหม็นเน่า

เมื่อเห็นทุกอย่าง ผมก็รู้สึกตกตะลึงอีกครั้ง

 

“ท่านนักพรตโป หรือเจ้าปีศาจนั้นจะเข้าสิงร่าง ก่อนหน้านี้ก็แค่ควบคุมศพนี้ไว้เฉยๆ” เฟิงเฉ่วหานถาม

เสียงพึ่งจางหาย เสียงของท่านอาวุโสหวางที่อยู่ข้างหลังก็ดังขึ้น “ใช่ เจ้ากุ่ยซานหยวนมีชื่อเสียงเรื่องวิชามาร ยิ่งไปกว่านั้นยังชอบเลี้ยงผีและควบคุมศพ เมื่อก่อนมันเคยเป็นหายนะในพื้นที่ฉีลุ่ย แต่ไม่เคยปรากฎตัวขึ้นที่นี่มาก่อน!”

 

“ท่านอาวุโสหวาง เจ้าปีศาจนี่มีวิชามารที่กล้าแข็ง พวกเราทุกคนล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้”

“ถ้าเจ้าปีศาจนั้นไม่ตาย แล้วกลับมาหาพวกเรา……” ท่านนักพรตตู๋เริ่มกลัว

แต่หลังจากนักพรตตู๋พึ่งถามคำถามนี้ออกไป ทุกคนก็รู้สึกเครียดขึ้นมาทันที

พวกเราร่วมมือกัน ก็ยังสู้กับผีชั่วศิษย์ของกุ่ยซานหยวนไม่ไหวเลย

 

แล้วถ้าท่านอาวุโสหวางและลูกศิษย์กลับไป เจ้าพวกนี้จะไม่รีบย้อนกลับมาฆ่าพวกเรางั้นเหรอ ถ้าเป็นแบบนั้นชีวิตนี้พวกเราก็ได้จบเห่กันพอดี

ดังนั้นทุกคนจึงกังวล อยากรู้ว่าท่านอาวุโสหวางจะมีทางออกอื่นอีกไหม

 

แต่ท่านอาวุโสหวางกลับส่ายหัว เขาโบกมือให้กับพวกเรา “อย่าพึ่งกลัว แม้เจ้านั้นจะมีวิชาอยู่บ้าง แต่มันก็แค่หนูแก่ๆตัวหนึ่ง”

“แม้ว่าระหว่างพวกนายกับเขาจะมีปัญหากันเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่ความแค้นจนต้องเอาชีวิต”

“เขาได้เปิดเผยที่อยู่ของตัวเองแล้ว แถมต่อมายังกลัวจนหนีไป ถ้ากลับมาเขาก็จะถูกพวกเราฆ่าตาย แล้วแบบนี้เขาจะมีเวลากลับมาหาเรื่องพวกนายได้ยังไง!”

เมื่อได้ยินการวิเคราะห์ของท่านอาวุโสหวาง หัวใจที่กำลังหดหู่ของทุกคนก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

แต่ตอนนั้นเอง จู่ๆท่านผู้อาวุโสหวางก็มองเข้าไปในวัดร้าง

จากนั้นก็พูดว่า “แต่ว่าตอนนี้ พวกเราต้องทำลาย ของในวัดร้างแห่งนี้ซะก่อน……”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset