ศพ – ตอนที่ 62 การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน

ตอนที่ 62 การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน

หลังจากผีสาวจากไป สายตาของทุกคนก็หันกลับมามองโถที่เหลืออีก 10 ใบ

ยึดตามที่ผู้อาวุโสหวางพูด ที่เหลืออีก 10 ใบ มีวิญญาณที่บริสุทธิ์อยู่ 9 ใบ

พวกเขาถูกทำให้เป็นผีร้าย โดยการฝังไว้ที่นี่

เพราะการมีอยู่ของยันต์ชีวิตผี ทำให้พวกเขาไม่สามารถออกไปไหนได้

แต่ก็มี 1 ตน ซึ่งเป็นวิญญาณชั่วร้ายที่คอยควบคุมวิญญาณเหล่านี้ มันก็คือโถของผีชั่ว

โถใบนั้นคือโถชีวิตของมัน ดังนั้น มันจึงต่างจากวิญญาณตนอื่น

โถก็เหมือนกับชีวิตและความตาย ถ้าโถไม่แตก มันก็ไม่ตาย

 

ถ้าอยากจะทำให้ผีชั่วตนนี้ตายอย่างแท้จริง ก็ต้องทำลายโถของมัน

เมื่อมองไปรอบๆ โถทุกใบล้วนหน้าตาเหมือนกัน หาสิ่งที่แตกต่างไม่เจอเลยสักนิด

แต่นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป ขอแค่ทำลายโถพวกนี้ อีกเดี๋ยวพวกเราก็จะได้รู้เอง ว่าใครกันแน่ที่เป็นผีชั่ว

เหล่าฉินไม่รอช้า รีบพูดออกมาทันที “อย่าชักช้า รีบทำลายโถพวกนี้เร็ว”

“ปล่อยวิญญาณที่บริสุทธิ์ออกมา แต่ถ้าเป็นผีชั่ว ก็ฆ่าทิ้งทันที!”

ทุกคนพยักหน้ารับ แยกย้ายกันหยิบโถขึ้นมาจากพื้น และโยนมันลงอย่างไม่ลังเล

ทันใดนั้นเสียง “เพล้งเพล้งเพล้ง” ก็ดังอย่างต่อเนื่อง โถดินพวกนี้ ถูกทำลายในชั่วพริบตา

แต่ขณะที่ผมกำลังจะทำลายโถใบที่สอง จู่ๆผมก็รู้สึกเย็นที่แขน

 

ทันใดนั้นด้านในโถดิน ก็มีไอเย็นระเบิดออกมา

ผมอยากจะปล่อยมือจากมัน แต่ตอนนั้นมันสายไปแล้ว ตรงหน้าของผมมีร่างของใครคนหนึ่งปรากฎขึ้นบนอากาศ

เมื่อชายคนนี้ปรากฎตัว ทั้งร่างของผมก็แข็งทื่อไปทันที

เพราะชายคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือผีชั่วนั่นเอง

เขาพึ่งปรากฎตัว ก็เอื้อมมือมาแย่งโถดินออกจากมือผมทันที

ไม่ใช่แค่นั้น มันยังใช้มืออีกข้างหนึ่ง บีบคอผมเอาไว้

กรงเล็บที่แหลมคม บีบคอของผมทันที

 

“อ่า!”

ความรู้สึกเจ็บปวดจากการถูกบีบคอ ทำให้ผมกรีดร้องออกมาตามสัญชาตญาณ

ในเวลาเดียวกัน อาจารย์ ผู้อาวุโสหวางและคนอื่นๆก็สังเกตเห็นผมแล้ว

“เสี่ยวฝาน!”

“ไอ้ชั่ว!”

ทุกคนต่างคนต่างพูด แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเจ็บคอมาก จึงไม่สามารถพูดอะไรได้

ส่วนผีชั่วที่อยู่ตรงหน้าผม กลับเผยใบหน้าสยดสยองออกมา “คิดจะทำลายโถฉันงั้นเหรอ ฮึฝันไปเถอะ ถ้าคืนนี้ไม่ปล่อยฉันไป ข้าก็จะฆ่าเจ้าเด็กนี้!”

 

หลังจากพูดจบ มือของเจ้านี้ก็บีบแรงยิ่งกว่าเดิม

กรงเล็บอันนั้นบีบแรกมากขึ้น ตอนนี้ผมรู้สึกว่าที่คอของผมกำลังเจ็บปวดทรมานเหมือนกับถูกรัดคอด้วยเชือกเส้นหนึ่ง

หายใจได้ลำบากมาก รู้สึกทรมานโครตๆ

“ไอ้ชั่ว ถ้ายังกล้าทำอีกฉันจะทำให้วิญญาณแกแตกสลาย!” อาจารย์โมโห

เฟิงเฉ่วหานและคนอื่นๆก็ดึงดาบไม้ออกมาเช่นกัน มองผีชั่วด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม เดินเข้ามาล้อมรอบมันเอาไว้

แต่เจ้าผีชั่วกลับเลิกคิ้วขึ้น “พูดมาก รีบถอยไป!”

 

หลังจากพูดจบ เจ้าผีชั่วก็เพิ่มแรงอีกครั้ง

ทันใดนั้นเลือดสดๆก็ไหลลงมาตามคอของผมที่ถูกกงเล็บบีบ ผมแสดงสีหน้าทุกข์ทรมานยิ่งกว่าเดิม อ้าปากกว้าง สูดหายใจเข้าออกอย่างยากลำบาก

แต่แววตาของผมกลับมั่งคง ไม่ร้องขอความเมตตาเลยสักคำ

ผมกลัวตายก็จริง แต่ยังไงก็ไม่มีทางอ้อนวอนร้องขอชีวิตจากไอ้ผีชั่วตัวนี้แน่

อีกอย่างผมเชื่อว่า อาจารย์และผู้อาวุโสหวางอยู่ที่นี่ พวกเขาจะต้องคิดหาวิธีช่วยชีวิตผมแน่

เมื่ออาจารย์เห็นผมทรมาน สีหน้าของเขาก็แย่ยิ่งกว่าเดิม

ในเวลาเดียวกันก็ทำอะไรไม่ถูก ขณะที่เขากำลังคิดจะเปิดทางให้

 

ทันใดนั้นผู้อาวุโสหวางก็พูดว่า “เจ้าผีเอ๋ย ความตายมาถึงแล้ว ยังไม่รู้จักสำนึกผิดอีกนะ!”

“ไอ้แก่ อย่าพูดมาก รีบเปิดทาง!”

ดวงตาของผมเลื่อนขึ้นจนเห็นตาขาว ความอดทนมาถึงขีดสุดแล้ว

แต่สีหน้าของท่านผู้อาวุโสหวางยังคงเหมือนเดิม เพียงใช้ดวงตาสองข้างจ้องผีชั่ว

ขณะที่ผีชั่วตนนั้นกำลังอ้าปากจะพูดอีกครั้ง ผู้อาวุโสหวางก็ใช้มืออีกข้างเสกคาถาขึ้นอย่างรวดเร็ว

จู่ๆเขาก็ตะโกนออกมา “อัญเชิญ!”

เสียงดังกึกก้อง สะท้อนไปทั่วทั้งวัดร้าง

 

วินาทีที่เสียงนี้ดังขึ้น ผมก็เห็นมืออีกข้างที่ผีชั่วใช้ถือโถไว้

“ปัง” ทันใดนั้นโถก็หล่นลงพื้นจนแตกออกเป็นสี่ห้าส่วน

ต่อมาใบหน้าของผีชั่วที่อยู่ตรงหน้าผม ก็เปลี่ยนไปทันที เขาทำหน้าช็อก

ในปากยังแผดเสียงออกมา “ไม่!”

ขณะที่พูด ตามสัญชาตญาณ เขาเอื้อมมือไปจับเถ้ากระดูกที่ตกลงบนพื้น……

แต่นี้ก็เป็นช่วงเวลาสติแตก ดังนั้นนักพรตโปที่ยืนอยู่ข้างๆผู้อาวุโสหวาง ร่างกายของเขาก็ก้าวไปข้างหน้า และพุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว

ไม่รอให้เจ้าผีชั่วได้สติ “ฉึก” ใช้ดาบไม้ในมือแทงเข้าไปที่ท้องของผีชั่วทันที

 

ร่างของผีชั่วแข็งทื่อ กรีดร้องออกมาครั้งหนึ่ง

และในเวลานั้นเองผมก็รีบคว้าโอกาส หนีจากพันธนาการของผีชั่วทันที

ผมใช้มือกดที่คอไว้ ไอออกมาหลายครั้งอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นก็สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่

ตอนนี้ ผมพึ่งรู้ว่าการได้หายใจนั้นเป็นเรื่องที่สวยงามมากแค่ไหน

ความรู้สึกที่มีคนมาบีบคอของตัวเอง มันช่างทรมานจริงๆ

“เสี่ยวฝาน เสี่ยวฝานแกไม่เป็นอะไรใช่ไหม!” อาจารย์รีบเข้ามาหาผมทันที

ผมส่ายหัว “ไม่เป็นไร ผมไม่เป็นอะไรครับอาจารย์!”

 

และในเวลาเดียวกัน ท่านนักพรตโปยังพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ไอ้ชั่ว แกควรตายตั้งนานแล้ว!”

หลังจากพูดจบ เขาก็ถีบผีชั่วล้มลงไปกับพื้น

เจ้าผีชั่วไม่ได้ดูสงบเหมือนสองสามครั้งก่อนหน้านี้ เขายังไม่ตาย แต่ร่างกายก็สั่นไปหมด

นอนราบลงกับพื้น เอื้อมมือออกมาคลำเศษโถที่แตกอยู่กับพื้น “ไม่ ไม่ไม่อยากตาย ฉันไม่อยาก ไม่อยากวิญญาณแตกสลาย โถของฉัน โถชีวิตของฉัน……”

แต่โถของเขาได้ผสมปนเปกับเศษโถของวิญญาณดวงอื่นแล้ว ตอนนี้เขาทำได้แค่จับที่พื้นมั่วๆเท่านั้น

เมื่ออาจารย์เห็นผมไม่เป็นอะไร ก็หันหลังกลับอย่างรวดเร็ว จ้องเจ้าผีชั่วอย่างดุร้าย “ไอ้ผีชั่ว กล้าทำร้ายศิษย์ฉัน!”

 

หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็ยกดาบขึ้น และพุ่งเข้าไปแทงทันที

ตอนนี้เจ้าผีชั่วหลบได้ที่ไหนละ ดังนั้นมันจึงถูกแทงทะลุหลังทันที

ตอนนี้โถชีวิตก็แตกแล้ว เมื่อรวมกับอาการบาดเจ็บสาหัส แถมอาจารย์ยังเข้าไปแทงซ้ำอีก

หลังจากนั้นเจ้านี้ก็กรีดร้องออกมาทันที ทันใดนั้น “ปัง” เสียงระเบิดก็ดังขึ้น

ขณะนั้นมีแสงสว่างขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็จางหายไปจากในวัด

เพียงแค่นี้ ผีชั่วที่มีโถชีวิต ก็ได้วิญญาณแตกสลายไปซะที

ทุกคนถอนหายใจออกมา เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานกว่าหนึ่งสัปดาห์แล้ว แถมยังเชิญท่านผู้อาวุโสหวางที่เป็นถึงยอดฝีมือมา ในที่สุดก็กำจัดผีชั่วตนนี้ได้

 

จากนี้ไป ในพื้นที่ของพวกเรา ก็น่าจะสงบลงไม่น้อย

หลังจากจัดการผีชั่วได้ ทุกคนก็เข้ามาดูบาดแผลของผม

เมื่อเห็นว่าไม่เป็นอะไรมาก ก็หยิบหุ่นฟางและยันต์ชีวิตขึ้นมาจากพื้น

ทำเหมือนก่อนหน้านี้ ฉีกพวกมันออกเป็นชิ้นๆ จากนั้นก็ปล่อยวิญญาณที่เหลือออกมา

ขณะที่หุ่นฟางและยันต์พวกนี้ถูกทำลาย วิญญาณแต่ละตนก็ได้ปรากฎตัวขึ้นในวัด

เพียงแค่ชั่วพริบตา ในวัดก็มีวิญญาณทั้งชายและหญิงปรากฎขึ้นถึง 9 ตน

ตอนแรกพวกเขาก็เหมือนกับผีตนนั้น หลังจากปรากฎตัว ก็แสดงท่าทางหวาดกลัวอย่างรุนแรง ดูกลัวพวกเราสุดๆ

 

หลังจากที่พวกเราได้บ่งบอกถึงฐานะที่แท้จริง และพูดให้ชัดเจน วิญญาณพวกนี้ก็เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นทันที

แต่ละตนต่างก้มหัวขอบคุณพวกเรา พวกเขาดูซาบซึ้งใจมาก

ท่านนักพรตโปยังคงบอกพวกเขาเป็นอิสระแล้ว รีบไปเกิดใหม่ ถ้าช้ากว่านี้ พวกเขาอาจต้องเผชิญหน้ากับหมอผีอีกครั้ง และก็ถูกจับตัวไปอีก

วิญญาณทั้ง 9 ดวงพยักหน้า หลังจากขอบคุณ ก็รีบออกไปจากวัดร้างทันที

ขณะที่ผีพวกนี้จากไป และวิญญาณที่ชั่วร้ายแตกสลาย ไอชั่วร้ายที่อยู่ในวัดร้างแห่งนี้ ก็หายไปกว่า 90%

ตอนนี้เรื่องที่ควรทำก็ได้ทำแล้ว แต่ตอนที่พวกเรากำลังเตรียมตัวกลับบ้าน

จู่ๆนอกวัดก็มีเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้น “อร๊าย”……

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset