ศพ – ตอนที่ 64 ข่าวลือ

ตอนที่ 64 ข่าวลือ

แมวสองสามตัวนั้นวิ่งหนีเร็วมาก พวกเราไล่ตามไม่ทันเลยสักนิด

เมื่อได้ยินท่านนักพรตตู๋พูดแบบนั้น ผมก็ทำอะไรไม่ได้

สัตว์เดรัจฉานพวกนี้ต่างจากสัตว์ทั่วไป การหาตัวพวกมันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

เรื่องในวันนี้ จึงจบลงเพียงเท่านี้

ถ้ามีโอกาสเจออีกครั้ง ผมจะต้องกำจัดพวกมันอย่างแน่นอน

ทุกคนถอนหายใจออกมา อยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์

จึงหันหลังกลับ เดินไปทางที่รถขนศพจอดอยู่

 

เพียงเท่านี้ เรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับ การตายโหงของคุณหนูเหวิน ก็ถือว่าจบลงแล้ว

สำหรับเจ้าปรมาจารย์กุ่ยคนนั้น ได้อยู่นอกเหนือความสามารถของพวกเราแล้ว

ชายคนนี้เป็นที่ต้องการตัวของทุกสำนัก ถึงแม้พวกเราทุกคนจะอยากกำจัดชายคนนี้มากแค่ไหน แต่พวกเราก็มีความสามารถไม่เพียงพอ

เพราะไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน และยิ่งไปกว่านั้นจนกระทั่งถึงตอนนี้ ก็ไม่มีใครรู้ว่าปรมาจารย์กุ่ยเป็นคนหรือผี

เขาสามารถเข้าสิงร่างฟื้นคืนชีพได้ แล้วยังสามารถควบคุมศพได้

เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่พวกเราคิดไม่ตก และไม่มีใครสามารถให้คำตอบกับเราได้ ดังนั้นเราจึงเลิกสนใจเรื่องนี้

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ทุกคนก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา เพราะไม่ต้องสนใจอีกแล้ว ดังนั้นตอนนี้พวกเราจึงเพ่งสมาธิไปที่การเดิน

แต่พวกเราพึ่งเดินออกมาได้ไม่ไกล จู่ๆท่านนักพรตตู๋ก็คุยกับท่านผู้อาวุโสหวางที่อยู่ข้างๆว่า “ท่านผู้อาวุโส ข้าน้อยมีเรื่องสงสัยครับ อยากขอให้ท่านผู้อาวุโสช่วยตอบคำถามผมด้วยครับ!”

ขณะที่พูด ท่านนักพรตตู๋ยังจับมือท่านผู้อาวุโสหวางอย่างมีมารยาทสุดๆ

 

เมื่อท่านผู้อาวุโสหวางเห็นแบบนั้น ก็เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย “มีเรื่องอะไร ก็พูดมาเถอะ! แล้วก็ไม่ต้องเรียกท่านผู้อาวุโสอะไรนั้นด้วย ฉันไม่ได้เป็นพวกแก่แล้วต้องมาสนใจเรื่องอายุ เรียกฉันว่าผู้เฒ่าหวางก็พอแล้ว นี่เป็นคำเรียกเก่าของฉัน โดนคนเรียกมาหลายสิบปีจนชินแล้ว พวกนายก็เรียกตามนี้นะ!”

 

ผู้อาวุโสหวางเป็นคนใจดี และเป็นกันเอง

เมื่อนักพรตตู๋ได้ยิน ก็เงียบไปแป๊บนึง จากนั้นก็พูด “ครับ”

จากนั้นเขาก็เริ่มคุยกับผู้อาวุโสหวางอีกครั้ง “ผู้ ผู้เฒ่าหวาง ข้าน้อย ข้าน้อยอยากถามว่า ท่าน ท่านก็คือ ก็คือหลง หลงฉวนตัวจริงใช่ไหมครับ”

 

เมื่อคำพูดนี้เปล่งออกมา ทั้งอาจารย์ เหล่าฉิน และทุกๆคนต่างก็หยุดเดินและหันมามอง ที่ท่านผู้อาวุโสหวาง

ผมเองก็ตกใจเช่นกัน หลงฉวนตัวจริง ผมจำได้ว่าก่อนหน้านี้เจ้านักพรตกุ่ยเคยพูดคำนี้เอาไว้

บอกว่าท่านนักพรตโปใช้วิชาลับอะไรสักอย่าง ที่เรียกว่า “วิชาสามประสาน” แล้วจากนั้นก็บอกว่าคนที่เป็นหลงฉวนตัวจริงสอนให้

 

แต่อาจารย์ของนักพรตโป ก็คือผู้อาวุโสหวาง

ในเวลาเดียวกันผมก็รู้สึกสงสัยมาก คนที่ถูกเรียกว่าหลงฉวนตัวจริง เขาเป็นใครมาจากไหนกันแน่

ทำไมตอนที่อาจารย์ นักพรตตู๋และคนอื่นๆได้ยิน ถึงต้องแสดงท่าทางตกตะลึงแบบนั้นออกมา

แต่หลังจากที่ท่านผู้อาวุโสได้ยิน กลับหัวเราะ “ฮ่าฮ่าฮ่า” จากนั้นก็พูดว่า “ฉันเป็นแค่คนเผาศพในสุสาน ตอนเป็นวัยรุ่นเคยเรียนวิชาเล็กๆน้อยๆมาจากเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้เป็นหลงฉวนตัวจริงอะไรนั้นหรอก”

“คุณไม่ได้เป็นจริงๆเหรอครับ” ท่านนักพรตตู๋ยังคงถามต่อ

ผู้อาวุโสหวางส่ายหัว ปฏิเสธออกมาตรงๆ

 

นักพรตตู๋เห็นผู้อาวุโสหวางมั่นใจ อีกอย่างเขาก็พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว ถึงอีกฝ่ายจะเป็น มันก็คงไม่ดีถ้าพวกเราจะถามต่อ ดังนั้นจึงทำได้เพียงหยุดลงเท่านี้

ทุกๆคนล้วนมีความลับเป็นของตัวเอง และทุกๆคนก็ย่อมไม่อยากเปิดเผยเรื่องในอดีต

เมื่อท่านผู้อาวุโสหวางพูดขนาดนี้แล้ว ไม่ว่าเขาจะใช่หรือไม่ ยังไงพวกเราก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องถามให้ลึกไปกว่านี้

ดังนั้น ท่านนักพรตตู๋จึงไม่ถามต่อ

จึงเปลี่ยนเรื่องเป็นขอบคุณท่านผู้อาวุโสหวาง ที่มาช่วยพวกเรากำจัดผีชั่วตนนั้น

 

พวกเราคุยกันมาเรื่อยๆ จนเดินมาถึงตีนเขา

พวกเราก็ต่างแยกย้ายขึ้นรถขนศพคันนั้น จากนั้นก็ขับรถกลับบ้านทันที

ครั้งนี้ผมนั่งเป็นคนขับรถอยู่ข้างหน้า อาจารย์นั่งอยู่ข้างผม

ส่วนท่านนักพรตตู๋และคนอื่นๆนั่งอยู่หลังกระบะ เมื่อผมเห็นว่าอยู่กับอาจารย์สองคน จึงถามเขาด้วยความสงสัย “อาจารย์ หลงฉวนตัวจริงที่ท่านนักพรตตู๋พูดถึงเป็นใคร แล้วเขาร้ายกาจมากเลยเหรอครับ”

เมื่ออาจารย์ได้ยินผมถาม ก็พยักหน้ารับ “ร้ายกาจสุดๆ เขาออกไปฝึกวิชาเป็นนักพรตก่อนอาจารย์นานมาก ภายในลัทธิของเราหลงฉวนคนนี้เป็นคนปราบสิ่งชั่วร้ายที่ดังที่สุดเลยละ”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ผมก็สนใจยิ่งกว่าเดิม “อาจารย์ เล่าให้ผมฟังหน่อย ว่าหลงฉวนคนนี้เก่งขนาดไหนเหรอ”

 

หลังจากอาจารย์ได้ยิน เขาเองก็พูดแบบไม่ค่อนแน่ใจ

บอกว่าเขาไม่เคยเห็น ส่วนใหญ่เป็นการได้ยินมาเท่านั้น

สำหรับเรื่องที่หลงฉวนคนนี้ร้ายกาจขนาดไหนนั้น อาจารย์เล่าให้ฟังว่า เมื่อประมาณ 20 ปีก่อน เพราะเขามีกระบี่ติดตัวที่ชื่อว่าหลงฉวนจึงได้ชื่อนั้นมา

แต่ตัวเขาก็แข็งแกร่งมาก มีคนพูดว่าเขาสามารถฆ่าผีร้ายหนึ่งตัวได้ในฝ่ามือเดียว

หลังฟังประโยคนี้จบ หัวใจของผมก็มีเสียงดัง “กึก” แสดงสีหน้าตกตะลึง คิดว่าอาจารย์พูดเว่อร์เกินไป

พวกผีเร่ร่อน ก็มีการแบ่งเป็นสูงต่ำ

 

ส่วนใหญ่พวกเรา จะแยกระดับความแข็งแกร่งและความอ่อนแอ จากสีเสื้อผ้าที่พวกมันใส่

จากต่ำไปสูง แบ่งได้เป็น สีขาว สีเหลือง สีแดงเข้ม สีน้ำเงิน และสีม่วง

ในห้าระดับนี้ ลำดับที่สาม ชุดสีแดงก็คือสีแดงเข้ม

ถึงจะอยู่ในลำดับสาม แต่ต้องรู้ว่า ก่อนหน้านี้ผีชั่วที่พวกเราฆ่า ใส่แค่ชุดสีขาว ยังไม่เลื่อนลำดับจนเป็นสีเหลือง

เพียงแค่ผีชุดขาวตัวเดียว ก็ทำให้พวกเราต้องไปเชิญท่านผู้อาวุโสหวางมาแล้ว

แล้วชุดแดงที่อยู่ข้างหลัง จะร้ายกาจขนาดไหนละ

 

บางทีหลงฉวนคนนี้อาจมีความสามารถ และร้ายกาจจริงๆ

แต่ฝ่ามือเดียวก็สามารถฆ่าผีชุดขาวได้หนึ่งตัวเนี่ยนะ คนอื่นอาจจะเชื่อ แต่ผมไม่เชื่อ

คิดว่าเป็นแค่การกระพือข่าว สร้างตำนานของหลงฉวนขึ้นมาเท่านั้น

หลังจากฟังมาสักพัก ผมก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ เขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผม เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าเรื่องหนึ่งเท่านั้น

เมื่อพวกเราขับมาถึงตำบล ก็เป็นเวลาตีหนึ่งกว่าๆแล้ว

เนื่องจากผู้อาวุโสหวางและคนอื่นๆเป็นคนมีอายุ จึงค่อยข้างเหนื่อย ดังนั้นหลังจากกลับมาถึงพวกเขาก็กลับไปพักผ่อนทันที

 

แต่เพราะการตายของเจ้าผีชั่ว จึงทำให้ผมดีใจเป็นพิเศษ

หลังกลับมาถึงบ้าน ก็ไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด แถมยังหิวมากอีกด้วย

จึงส่งข้อความไปหาเฟิงเฉ่วหาน ถามว่าเขาหลับรึยัง

ผลลัพธ์เจ้าเด็กนี้ตอบกลับมาว่าเขายังไม่หลับ กำลังดูทีวีอยู่

เมื่อผมเห็นว่าเฟิงเฉ่วหานเองก็นอนไม่หลับ จึงชวนเขาออกไปดื่มเบียร์

เฟิงเฉ่วหานก็ไม่รอช้า รีบตอบตกลงทันที

หลังจากใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย ผมก็เดินออกจากบ้านทันที

รอเจ้าเด็กนั้นสองสามนาที จากนั้นผมก็เห็นใบหน้าเย็นชาของเฟิงเฉ่วหานเดินเข้ามา

 

ผมไม่พูดเรื่อยเปื่อย ยื่นบุหรี่ให้เขาทันที จากนั้นพวกเราก็เดินตรงไปที่ตลาดกลางคืน เพื่อซื้อพวกของปิ้งย่างและดื่มอะไรกันสักนิดสักหน่อย

หลังจากพวกเรามาถึงตลาดกลางคืน ก็พบว่าคืนนี้อากาศหนาวมาก ในร้านปิ้งย่างจึงมีคนนั่งกินอยู่แล้วสองโต๊ะ

โต๊ะหนึ่งมีนักเลงถอดเสื้อนั่งอยู่สี่คน และหนึ่งในนั้นเป็นคนที่ผมรู้จัก

เขาเป็นนักเลงที่มีชื่อเสียงของที่นี่ เพราะภรรยาของเขาเป็นผู้อำนวยการในสำนักงาน

ด้วยความสัมพันธ์นี้ เขาจึงกลายเป็นเจ้าถิ่นในตำบลของพวกเรา และยังตั้งฉายาให้ตัวเองซะเว่อร์วัง ว่าพี่เจียวหลง

 

ส่วนอีกโต๊ะมีเพียงผู้หญิงคนเดียว เธอเป็นสาวสวย ผิวขาวเรียบเนียน และใส่กางเกงขาสั้น

เธอไม่เพียงอยู่คนเดียวตอนกลางดึกแบบนี้เท่านั้น แถมตอนนี้ยังใส่เสื้อผ้าที่เซ็กซี่สุดๆ ดูท่าเธอจะไม่กลัวว่าจะตกอยู่ในอันตรายเลยจริงๆ

เพราะผู้หญิงคนนี้รูปร่างหน้าตาดี อย่าว่าแต่ผมเลย แม้แต่คุณชายเย็นชาอย่างเฟิงเฉ่วหาน ก็ยังอดไม่ได้ที่จะ

เหมือบมองเธอถึงสองสามครั้ง

แต่พวกเราก็ไม่กล้าเข้าไปพูดด้วย ดังนั้นจึงหาที่นั่งสั่งเบียร์และของปิ้งย่าง

ตอนแรกมันก็ไม่มีอะไร แต่หลังจากกินของย่างไปได้แค่ครึ่งไม้ปัญหาก็เกิดขึ้น

 

ผู้หญิงคนนั้นเดินเข้ามาที่โต๊ะของพวกเรา จากนั้นผมก็ได้ยินเธอพูดกับผมและเฟิงเฉ่วหานว่า “ดื่มเหล้าคนเดียวมันน่าเบื่อ ขอดื่มด้วยคนนะ!”

หลังจากพูดจบ ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่รอให้ผมและเฟิงเฉ่วหานตอบกลับ เธอนั่งลงทันที

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็นั่งอึ้ง สาวสวยมานั่งโต๊ะของพวกผมสองคน

หลังจากเงียบมาสักพัก ผมก็ยิ้มออกมาทันที ยกแก้วเบียร์ในมือขึ้น “ติงฝานครับ!”

หลังจากพูดจบ ผมก็ยกขึ้นดื่ม

แม้เฟิงเฉ่วหานจะเป็นผู้ชายเย็นชา แต่ตอนนี้เขาเองก็เลียนแบบผม ยกแก้วขึ้นและพูดว่า “เฟิงเฉ่วหาน!”

หลังจากพูดจบ ก็ยกขึ้นดื่ม

 

ผู้หญิงคนนั้นยิ้มอย่างเฉยชา “หยางเฉ่ว!”

หลังจากพูดจบ ก็ดื่มเช่นกัน

จากนั้น พวกเราสามคนก็ยิ้มให้กัน ถือเป็นการทำความรู้จักแบบผิวเผิน

แต่ใครจะรู้เมื่อหยางเฉ่วคนนี้เคลื่อนไหว ก็จุดชนวนระเบิดพวกนักเลงที่อยู่อีกโต๊ะทันที

“ปัง” นักเลงคนหนึ่งทุบขวดเหล้าทันที

จากนั้นนักเลงสี่คนก็ลุกขึ้นยืน พวกเขาหันมาถลึงตาใส่ผมกับเฟิงเฉ่วหาน

คนที่ถอดเสื้อคนหนึ่ง หันมามองหยางเฉ่วด้วยแววตาที่ดุร้าย

ในเวลาเดียวกันเขายังพูดว่า “ยัย… หน้าไม่อาย ฉันบอกให้เธอดื่มเธอไม่ดื่ม ฮึตอนนี้กลับไปนั่งอ่อยไอ้เด็กสองคนนี้ เธอเห็นพี่เจียวหลงคนนี้เป็นตัวอะไรฮะ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset