ศพ – ตอนที่ 66 ยันต์ทำลายวิญญาณ

ตอนที่ 66 ยันต์ทำลายวิญญาณ

ในใจของผมกำลังเต้นตุ๊มๆต่อมๆ ก่อนแต่งงาน อาจารย์เคยพูดกับผมอย่างชัดเจน

ว่าชั่วชีวิตนี้ ผมจะไม่สามารถแต่งงานได้อีก

และยังต้องเว้นระยะห่างจากพวกผู้หญิง ไม่เพียงเพื่อความปลอดภัยของผม ยังทำเพื่อความปลอดภัยของผู้หญิงคนนั้นด้วย

ถ้าผีเมียตนนั้นเป็นคนมีเหตุผลก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ปัญหาคือผีเมียของผมเป็นผู้หญิงเจ้าอารมณ์ไม่สนใจจะพูดจากันดีๆนี่ซิ

ไม่เพียงไม่รอเจอผม เธอยังด่าผมเป็นผู้ชายห่วยตรงๆ แถมน้ำเสียงที่ใช้ก็ยังแข็งเป็นพิเศษด้วย

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ใจของผมก็ตื่นกลัวขึ้นมาทันที

ไม่บอกลาเฟิงเฉ่วหานสักคำ รีบกลับบ้านไปทันที

อาจารย์นอนหลับไปนานแล้ว ในบ้านจึงเงียบสงัด ด้านหน้าเทวรูปยังมีเทียนสามเล่มที่กำลังใกล้จะดับตั้งอยู่

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็เดินเข้ามาที่ด้านหน้าเทวรูป

จุดธูปสามดอกขึ้นมาใหม่ จากนั้นก็หันหน้าไปทางป้ายวิญญาณมู่หลงเหยียนที่อยู่บนแท่นบูชาและพูดว่า “น้องศพจ๋าน้องศพ! เรื่องในวันนี้มันไม่เหมือนกับที่เธอเห็นนะ ฉันแค่เจอหยางเฉ่วโดยบังเอิญ เป็นครั้งแรกเลยที่ได้เจอเธอ พวกเราไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยนะ!”

หลังจากพูดจบ ผมก็คำนับสามครั้ง จากนั้นก็รีบนำธูปสามดอกปักลงที่กระถางธูปทันที

 

แต่ธูปสามดอกพึ่งปักลงกระถางธูปเท่านั้น ทันใดนั้นไฟในบ้านก็กระพริบสองครั้ง

หลังจากไฟกระพริบ “พรึบ” สุดท้ายก็มันดับลงทันที

นอกจากไฟดับ ในเวลาเดียวกัน ธูปสามดอกที่พึ่งปักลงในกระถาง ก็ดับลงเช่นกัน

เหมือนมันโดนน้ำเย็นๆสาดใส่ จู่ๆก็ไม่มีแสงไฟ เหลือเพียงควันลอยออกมานิดหน่อยเท่านั้น

เมื่อเห็นสิ่งนี้ “พรึบ” สีหน้าของผมก็เปลี่ยนไปทันที

นี่มันชัดเจนยิ่งกว่าอะไร อีกฝ่ายโกรธแล้ว

ถึงผมจะจุดธูป แต่มู่หลงเหยียนก็ไม่อยากรับ

 

จบกัน ถ้ามู่หลงเหยียนไม่ยอมรับ งั้นเธอจะมา “แก้แค้น” ผมอีกงั้นเหรอ

ผมกลืนน้ำอย่างประหม่า จากนั้นก็พูดกับป้ายวิญญาณมู่หลงเหยียนอีกครั้ง “น้อง น้องศพ หยุดก่อเรื่องได้แล้ว ฉันกับหยางเฉ่วไม่ได้มีกันอะไรจริงๆ ถ้าไม่เชื่อฉันจะพาเฟิงเฉ่วหานมาเป็นพยานให้!”

ผมพูดกับป้ายวิญญาณมู่หลงเหยียนด้วยความจริงใจ แต่เสียงพึ่งตกลง น้ำเสียงที่โกรธเคืองก็ดังขึ้นที่ด้านหลังผม “ไอ้ห่วย!”

จู่ๆก็ได้ยินเสียงมู่หลงเหยียนที่ข้างหลัง ผมจึงรีบหันไปมองทันที

กลับพบว่าใกล้ๆหน้าต่างบ้าน กำลังมีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่

จากแสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาในบ้าน ทำให้เห็นผู้หญิงรูปร่างสูงโปร่ง ปากแดงฟันขาว และใบหน้างดงาม

 

ถ้านี่ไม่ใช่น้องศพมู่หลงเหยียน แล้วจะเป็นใครได้ล่ะ

จู่ๆเธอก็ปรากฎตัว ทำให้ผมรู้สึกรับมือไม่ถูก

แต่เมื่อมองท่าทางอื่น ผมกลับรู้สึกไม่ดี เพราะตอนนี้มู่หลงเหยียนกำลังแสดงท่าทางโมโห

ผมค่อยๆหายใจเข้าด้วยความกังวล จากนั้นก็แกล้งทำเป็นมีความสุข “น้อง น้องศพ เธอมาแล้ว เร็ว เข้ามานั่งก่อน”

ผลลัพธ์เสียงพึ่งจางหาย มู่หลงเหยียนก็พูดออกมาทันที

“ไอ้ห่วย แอบนัดกับผู้หญิงลับหลังฉัน ยังคิดจะทำร้ายฉันอีกเหรอฮะ!” มู่หลงเหยียนพูดด้วยความโมโห

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ในหัวผมก็มีเสียงดัง “เวิง”

 

แม่เจ้า! ไม่ยุติธรรมโครตๆ แค่เจอกันจะเรียกนัดได้ยังไง

แล้วที่ผมอยากทำร้ายเธอ นี่มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

กลับกันผมยังรู้สึกซาบซึ้งในตัวเธอด้วยซ้ำ อีกอย่างเรื่องแต่งงาน ก็เป็นสิ่งที่ผมตัดสินใจด้วยตัวเอง ดังนั้นผมจึงเตรียมใจยอมรับผลที่ตามมาทุกอย่างอยู่แล้ว

ตอนนี้เราอยู่ในฐานะสามีภรรยา ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังเป็นคนที่ช่วยชีวิตผมเอาไว้

ถึงจะบอกว่าผมห่วย แต่ยังไงก็ไม่มีทางคิดทำร้ายภรรยาของตัวเองได้อย่างแน่นอน!

ผมแสดงสีหน้าเคร่งขรึม “ไม่ยุติธรรม มันไม่มีอะไรจริงๆ ฉันจะทำร้ายเธอได้ยังไง!”

 

มู่หลงเหยียนทำท่ายกมือขึ้นมากอดอก เผยสีหน้าไม่พอใจ “ยังพูดว่าไม่ได้ทำอีก นายดูที่กระเป๋าของตัวเองซิว่ามีอะไรอยู่!”

ในกระเป๋าผมงั้นเหรอ ผมเริ่มรู้สึกสงสัย

จึงรีบล้วงมือเข้าไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หยิบของทั้งหมดออกมา

พวงกุญแจ เงินเหรียญ และยันต์สองสามแผ่น แต่มันก็ไม่มีอะไรพิเศษนิ!

ขณะที่ผมกำลังสงสัย ทันใดนั้นร่างกายของผมก็สั่นอย่างแรง

ไม่ใช่ซิ ยันต์แผ่นนี้

ภายในยันต์สองสามใบ มีหนึ่งใบที่ไม่ใช่ของผม

ก่อนหน้านี้ผมใช้ยันต์ได้แค่ชนิดเดียว ก็คือยันต์แปดทิศ

 

ซึ่งตรงกลางของยันต์แผ่นนั้นจะมีคำว่า “ปราบ” เขียนไว้ แต่ในยันต์สองสามแผ่นนี้ กลับมีหนึ่งแผ่นที่แปลกประหลาด

ตรงกลางยันต์มีคำว่า “ทำลาย” เขียนไว้ ยันต์ชนิดนี้อย่าพูดว่าผมใช้ไม่เป็นเลย แม้แต่อาจารย์ ผมก็ยังไม่เคยเห็นเขาวาดมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องใช้เลยละ

ผมช็อกมาพักหนึ่ง หยิบยันต์ที่มีคำว่าทำลายออกมา

เมื่อมู่หลงเหยียนเห็นมัน เธอก็พูดออกมาทันที “นายบอกไม่อยากทำร้ายฉัน แล้วยันต์ทำลายวิญญาณแผ่นนี้มันมาอยู่ที่ตัวนายได้ยังไง”

มู่หลงเหยียนถามกลับ ทันใดนั้นใจของผมก็พูดว่าไม่ยุติธรรม

 

ผมรู้จักยันต์ทำลายวิญญาณที่ไหนละ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งนี้ มาอยู่ในกระเป๋าผมได้ยังไงด้วย แล้วผมจะไปรู้ได้ยังไงละ

“ฉันไม่รู้เรื่องนะ อีกอย่างฉันไม่รู้จักรยันต์แผ่นนี้” ผมรีบอธิบาย

แต่มู่หลงเหยียนกลับจ้องยันต์แผ่นนั้น “ถ้างั้นนายจะยืนโง่อยู่ทำไมละ เอามันไปทำลายซิ!”

ดูเหมือนมู่หลงเหยียนจะค่อนข้างกลัวยันต์แผ่นนี้ เธอรีบพูดออกมาทันที

ผมก็ไม่มัวพูดจาไร้สาระ รีบฉีกยันต์แผ่นนี้ทันที เมื่อทำลายยันต์เรียบร้อย ยันต์แผ่นนี้ก็กลายเป็นเศษกระดาษ

 

เมื่อผมเอื้อมมือออกไป เพื่อทิ้งเศษยันต์ลงพื้น

แต่วินาทีที่ผมเอื้อมมือโยนยันต์ทิ้ง ยังไม่ทันได้ดึงมือกลับดี

จู่ๆมู่หลงเหยียนก็ลงมือ เธอจับมือของผมเอาไว้ จากนั้นก็ใช้แรงบีบ

ในเวลานี้ ผมรู้สึกเจ็บปวดที่ข้อมือ

ร่างกายทรุดลงตามสัญชาตญาณ “เจ็บ เจ็บ……”

มู่หลงเหยียนไม่เกรงใจ ไม่ยอมคลายมือออกเลยสักนิด “ไอ้ห่วย ถ้ายันต์ทำลายแผ่นนี้แตะต้องตัวฉัน จะทำให้ฉันบาดเจ็บหนัก นายเอายันต์แผ่นนี้พกติดตัวไว้ ถ้าไม่คิดจะเอาไว้ทำลายฉันแล้วจะเอาไว้ทำไมละ”

 

มู่หลงเหยียนยังพูดด้วยความโกรธ แม้ข้อมือของผมจะเจ็บมาก แต่ก็ยังมีสติ

ผมทรมานครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ผมก็ไม่รู้จริงๆว่าทำไมยันต์แผ่นนี้ถึงมาอยู่กับผมได้

ยิ่งไปกว่านั้นถ้าผมรู้ว่ายันต์แผ่นนี้จะทำร้ายมู่หลงเหยียน ถึงตีผมให้ตายผมก็ไม่กล้าพกติดตัวหรอก!

“ฉัน ไม่ รู้ จริงๆ! โอ๊ย! จะหัก แล้ว จะหัก แล้ว รีบปล่อยมือ ปล่อยมือ……” ผมรีบพูด

เมื่อมู่หลงเหยียนเห็นผมกำลังเจ็บจริงๆ เธอก็ปล่อยมือ จากผมทันที “ฮึ! ไอ้ห่วย!”

ผมลูบข้อมือ ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

แต่มู่หลงเหยียนยังพูดต่อ “บอกมาว่ามันเรื่องอะไร! ยัยนั้นเป็นใคร…..”

 

หลังจากพูดจบ มู่หลงเหยียนก็เข้าไปนั่งที่โซฟา ยกขาเรียวขึ้นไขว่ห้าง ทำมือกอดอก และแสดงสีหน้าโมโห

เมื่อเห็นเมียของตัวเองโกรธ ผมคิดว่าเธอกำลังหึง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังน่ารักมากอยู่ดี

แต่ผมกลับแสดงท่าทางจริงจัง ในเวลาเดียวกันก็นึกย้อนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดในคืนนี้

คืนนี้หลังจากกลับมาจากป่าช้าเก่า ก็ไปตลาดกลางคืน

หลังจากนั้น ก็มีคนแปลกหน้าไม่กี่คนเท่านั้นที่ผมเจอ ก็คือหยางเฉ่วและพวกนักเลงอีกสองสามคน

ถึงจะตีให้ตายผมก็ไม่มีทางเชื่อ ว่านักเลงพวกนั้นมียันต์แบบนี้

ดังนั้น ก็เหลือแค่เรื่องเดียวที่เป็นไปได้

 

นั้นก็คือยันต์แผ่นนี้มาจากหยางเฉ่ว ตอนนี้เมื่อนึกถึงคำพูดสุดท้ายของเธอที่พูดว่า ขอให้คุณโชคดี

ดูเหมือนว่ามันจะมีความหมายลึกกว่านั้น ถ้าผมเดาไม่ผิดนะ

บางทีหยางเฉ่วคนนี้อาจไม่ใช่คนธรรมดา และเป้าหมายก็คือผมและมู่หลงเหยียน

หรือเธออาจเป็นเหมือนกับพวกเรา เป็นคนปราบสิ่งชั่วร้ายในเมืองที่มีวิชาเก่งกาจ ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมเธอต้องเอายันต์มาใส่ตัวผมนั้น ผมเองก็ไม่รู้จริงๆ……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset