ศพ – ตอนที่ 70 เดินทาง

ตอนที่ 70 เดินทาง

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็น “……” แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถนนเส้นนี้ถึงมาปรากฎตรงหน้าของผมและเฟิงเฉ่วหาน

ยิ่งไปกว่านั้นผมยังไม่รู้ว่า ผู้หญิงสวมหน้ากากคนนี้กำลังกังวลอะไรอยู่

จู่ๆก็ได้ยินเธอพูดออกมาแบบนั้น ผมจึงถามด้วยความสงสัย “คนสวยอะไรกำลังมาเหรอ”

ผู้หญิงสวมหน้ากากหันมามองผม “อีกเดี๋ยวนายเห็นก็จะรู้เอง!”

หลังจากพูดจบ เธอก็หยิบยันต์ออกมาจากชุดสามแผ่น จากนั้นก็ส่งมาให้ผมกับเฟิงเฉ่วหาน

ผมมองยันต์สามแผ่นนั้น แต่ก็ไม่รู้จักเลยสักนิด บนยันต์มีคำว่า “ผนึก” เขียนเอาไว้เท่านั้น

“แปะยันต์ที่หน้าผาก จากนั้นก็ห้ามขยับ!” ผู้หญิงสวมหน้ากากรีบพูด เธอดูท่าทางตื่นตระหนกมาก

ไม่ใช่เพียงเท่านี้ เฟิงเฉ่วหานเองก็ดูตื่นกลัวเช่นกัน

 

“นี่คือยันต์อะไร ทำไมเธอต้องช่วยพวกเราด้วย” เฟิงเฉ่วหานพูด

ผู้หญิงสวมหน้ากากไม่พูดอะไรมาก เธอพูดสั้นๆว่า “ไม่อยากตายก็ฟังฉัน แต่ถ้าพวกนายอยากตายก็ตามสบาย!”

หลังจากพูดจบ ผู้หญิงสวมหน้ากากคนนั้นก็ใช้ยันต์แปะที่หน้าผากของตัวเอง จากนั้นก็เอนตัวพิงที่หินสีเขียวก้อนใหญ่

หน้าอกของเธอยังเต้นขึ้นลงอย่างต่อเนื่อง มองถนนสีเหลืองอ่อนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก

แต่ผมไม่รู้ว่า พวกเขากำลังกลัวอะไรอยู่

ดูเหมือนว่าที่นั้น กำลังจะมีเรื่องน่ากลัวเกิดขึ้น

 

“เหล่าเฉิง ถนน…เส้นนั้นจะมีอะไรออกมาเหรอ” ผมถามออกมาตรงๆ

แต่เฟิงเฉ่วหานกลับสูดหายใจด้วยความเครียด “อย่าถามมาก แปะยันต์นี่ก่อน!”

หลังจากพูดจบ เฟิงเฉ่วหานก็แปะยันต์ และเข้าไปยืนข้างๆผู้หญิงสวมหน้ากากทันที

คนที่ช้าที่สุดก็คือผม ในสายงาน ผมก็คือเจ้าไก่อ่อนที่พึ่งเข้ามาใหม่

มีเรื่องราวลึกลับมากมาย ที่ผมยังไม่รู้ และยิ่งไม่เคยเห็นหรือเคยได้ยิน

แต่เมื่อเห็นเฟิงเฉ่วหานและผู้หญิงสวมหน้ากากทำแบบนั้น ผมก็เข้าใจทันที

คงกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น หรืออาจเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่ธรรมดา เลยกลัวมันมากๆ

 

ผมเองก็ไม่กล้าชักช้าต่อไป รีบแปะยันต์ จากนั้นก็เข้าไปพิงหินสีเขียวก้อนใหญ่ทันที

ส่วนรอบๆตัวของพวกเรา ก็ยังเงียบจนผิดปกติ ไม่มีเสียงอะไรทั้งสิ้น

นอกจากนี้เฟิงเฉ่วหานและผู้หญิงสวมหน้ากาก ยังจ้องไปที่ปลายถนน…

ผ่านไปประมาณ 10 วินาที จู่ๆผมก็พบว่า ที่ปลายถนน…เส้นนั้น เหมือนจะมีเงาของคนสองสามคนเดินออกมา

หลังจากเงาของสองสามคนนั้นปรากฎตัว ม่านตาของผมก็ขยายใหญ่อย่างช่วยไม่ได้

เพราะผมเห็นว่าคนเหล่านี้กำลังแบกธงขนาดใหญ่ สีดำ ด้านบนมีตัวอักษรเขียนไว้ แต่ผมมองไม่ค่อยเห็น

ที่ถือธง ก็ว่าแปลกแล้ว แต่พวกเขายังใส่เสื้อเกาะสีดำ

 

หลังจากคนแบกธงสองสามคนนั้นปรากฎขึ้น ด้านหลังของพวกเขา ยังมี “ทหาร” สองสามคนเดินตามมาติดๆ

พวกเขาล้วนใส่เสื้อเกาะสีดำ ถืออาวุธไว้ในมือ

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็แสดงท่าทางตกตะลึงออกมาทันที

นี่มันเรื่องอะไรกัน ถ่ายหนังตอนกลางคืนรึไง

แต่เห็นได้ชัดว่ามันผิดปกติ คนที่ตามออกมายิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ และระยะห่างจากพวกเราก็ยิ่งใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

ผมเริ่มเห็นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ คนพวกนี้ไม่ปกติสุดๆ

แต่ละคนต่างผอมจนเนื้อติดกระดูก แห้งแบบสุดๆ และไร้ชีวิตชีวาโครตๆ

 

บางคนถึงกับเหลือแต่โครงกระดูก หรือไม่ก็ศพที่เน่าเละ เห็นแล้วทำให้คนกลัวได้เลยละ ราวกับภาพตรงหน้าเป็นเหมือนความฝัน

ผมไม่อยากจะเชื่อว่า ทุกอย่างนี้กำลังปรากฎขึ้นตรงหน้าของตัวเอง

แถมเวลาคนพวกนี้เดินยังไม่มีเสียงเลยสักนิด มันเงียบ จนไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีร่องรอยของพลังหยินเลยสักนิด

ขณะที่ผมมองรูปร่างเหล่านี้ พวกเขาก็ยังเดินอยู่บนถนน… ทันใดนั้นตัวผมก็สั่น

ถึงผมจะโง่ แต่ก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันที

 

ไม่น่าแปลกใจเลยที่เฟิงเฉ่วหานและผู้หญิงสวมหน้ากากคนนั้นจะหวาดกลัว เพราะคนพวกนี้ ไม่ใช่คนเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว

แต่เป็นผีกลุ่มหนึ่ง หรือเรียกว่าซากศพทหารเดินได้

ในหัวของผมก็มีเสียงดัง “ตูม” วินาทีนั้นสีหน้าของผมก็เปลี่ยนไปทันที

ผมอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา “นี่ นี่มันกองทัพผี กองทัพผีเดินข้ามมา……”

ผมพูดออกมาอย่างฉับพรัน ตอนนี้ผมหน้าซีดสุดๆ

ในนิทานพื้นบ้าน มีคนพูดถึงเรื่องกองทัพผีแทบจะตลอดเวลา

 

หลายคนเคยบอกว่าตัวเองเคยเห็นฉากนี้กับตาตัวเอง แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นการคุยกันในเวลาว่าง และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เชื่อเรื่องนี้

และตอนผมยังเด็ก ก็เคยได้ยินอาจารย์และคนแก่ในหมู่บ้านเล่าเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่ตอนนั้นผมไม่ได้สนใจมัน

แต่ตอนนี้ เมื่อผมได้มาเห็นกับตา ก็เห็นได้ชัดว่าฉากกองทัพผีนั้น เป็นเหมือนกับที่พวกเขาเล่าไว้เป๊ะ

เมื่อเฟิงเฉ่วหานที่อยู่ข้างๆเห็นผมพูดด้วยความตกใจ ก็พูดออกมาด้วยเสียงสั่นๆ “ใช่ นี่ นี่ต้องเป็นกองทัพผีแน่!”

ขณะที่พูด เขายังกลืนน้ำลายอย่างต่อเนื่อง สามารถจินตนาการได้เลยว่าเขากำลังกลัวขนาดไหน

 

ส่วนผู้หญิงสวมหน้ากากดีกว่าหน่อย เมื่อได้ยินผมสองคนคุยกัน เธอก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ราวกับนางฟ้าตัวน้อยๆ “เงียบทั้งคู่ ถ้าถูกจับได้ พวกเราจะตายกันทั้งหมด!”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ผมสองคนก็ไม่กล้าชักช้าลีลา

รีบหุบปากทันที ไม่กล้าส่งเสียงใดๆอีก ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว

เพราะกลัวว่าจะไปเหยียบใบไม้หรือกิ่งไม้หัก จนดึงดูดความสนใจของอีกฝ่าย

กองทัพผีมีจำนวนเยอะมาก พวกเขาเดินตามถนน…ตรงไปที่วัดเจ้าเฉินอย่างต่อเนื่อง

 

นอกจากกองทัพผีแล้ว พวกเรายังได้เห็นแม่ทัพผีที่กำลังขี่ม้าตัวใหญ่อยู่โดยบังเอิญ

ใบหน้าของแม่ทัพผีพวกนี้เต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟัน มองไปข้างหน้าเสมอ และอยู่ท่ามกลางพลทหารผีอย่างเงียบๆ

กองทัพผีเคลื่อนตัวไปข้างหน้าทีละนิดๆ ผมแค่อยากรักษาความเงียบไว้ จึงไม่ขยับตัวมั่วๆ ตอนนั้นผมคิดว่าถ้าทำแบบนี้แล้วน่าจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น

แต่ทันใดนั้นเอง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆเจ้าเฟิงเฉ่วหานก็กระแทกเข้ากับก้อนหิน

ผลลัพธ์เศษหินก้อนนั้นล่วงลงทันที มันหล่นลงพื้น กระทบลงบนใบไม้แห้ง ส่งเสียงดัง “กรอบ…”

 

ถ้าเป็นตอนปกติก็ดีไป แต่ตอนนี้รอบๆตัวของพวกเรากำลังเงียบอย่างน่ากลัว

จู่ๆก็มีเสียงดังขึ้น จึงดึดดูดความสนใจจากกองทัพผีบนถนน…ทันที

จู่ๆทหารผีที่พกดาบใหญ่ก็หยุดเดิน เขาหมุนตัว และเดินเข้ามาทางพวกเราทันที

เมื่อเห็นสิ่งนี้ พวกเราสามคนก็เผยสีหน้าหวาดกลัว

“แย่แล้ว ถูกจับได้แล้ว!” ผมพูดออกมาด้วยความกลัว

แต่ผู้หญิงใส่หน้ากากกลับขมวดคิ้ว “อย่าขยับ กลั้นหายใจซะ!”

หลังจากพูดจบ จู่ๆผู้หญิงสวมหน้ากากก็ร่ายคาถา และพูดออกมาเบาๆ “อัญเชิญ!”

 

เสียงพึ่งจางหาย ผมก็รู้สึกว่ายันต์ที่หน้าผากถูกเปิดใช้งาน สายลมเย็นๆก็พัดเข้ามา ทันใดนั้นผมก็รู้สึกเหมือนกับพลังหยางของตัวเองถูกกดเอาไว้ทันที

ส่วนทหารผีตนนั้นก็หยุดเดิน แต่เขากลับสูดหายใจมาทางพวกเราสองสามครั้ง

จากนั้นก็เดินเข้ามาทีละก้าวๆ จนอยู่ห่างจากพวกเราไม่ถึง 10 เมตร

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินเข้ามา ทุกคนก็เครียดกันสุดๆ ตัวสั่นไปทั้งตัว

แต่หลังจากได้ยินผู้หญิงใส่หน้ากากพูด พวกเราก็รีบกลั้นหายใจ ไม่กล้าหายใจ และไม่กล้าขยับตัวเลยสักนิด

แค่แป๊บเดียวทหารตนนั้นก็เดินข้ามพุ่มไม้ และตรงเข้ามาที่ด้านหน้าของพวกเรา

เมื่อเห็นทหารผีปรากฎตัว ผมก็รู้สึกเย็นไปครึ่งตัว

 

โดยเฉพาะเมื่อมองใบหน้าที่ซูบผอมของอีกฝ่าย และดวงตาที่ขาวโพน ทั้งตัวของผมก็ตื่นกลัวขึ้นมามากๆ ร่างกายสั่นอย่างไม่รู้ตัว

แต่ทหารผีตนนั้น กลับเข้ามาใกล้พวกเราทีละน้อย

โชคดีที่ยังมีเรื่องเล็กๆที่ทำให้พวกเรารู้สึกสบายใจ ดูเหมือนทหารผีตนนี้จะมองไม่เห็นพวกเรา

เขามองไปรอบๆด้วยความสงสัย จมูกยังคงสูดดมอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับหมาไม่มีผิด

เมื่อเห็นภาพนี้ ผมก็รีบภาวนาในใจ มองไม่เห็นฉัน มองไม่เห็นฉัน รีบไป รีบไป……

 

แต่ดูเหมือนคำภาวนาจะไม่ได้ผล หลังจากผีทหารตนนั้นดมมาสักพัก

เขาก็เริ่มเคลื่อนไหว ตามลมหายใจของคนเป็นที่พวกเราเหลือทิ้งไว้ในอากาศ ค่อยๆเดินเข้ามาใกล้พวกเราสามคนทีละนิดๆ……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset