ศพ – ตอนที่ 81 ศัตรู

ตอนที่ 81 ศัตรู

จู่ๆก็ได้ยินมู่หลงเหยียนและโจวหยุนพูดแบบนั้น ผมจึงตัวสั่นอยู่พักหนึ่ง

ใบหน้าของผมเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ไปเกิดใหม่ไม่ได้ กลับชาติมาเกิดก็ไม่ได้ แถมยังเป็นวิญญาณ ไปจนชั่วนิรันดร์

เกิดอะไรขึ้นกับมู่หลงเหยียนและโจวหยุนที่อยู่ตรงหน้ากันแน่นะ ทำไมถึงพูดอะไรแบบนั้นออกมา

การเกิดใหม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าแห่งนรกงั้นเหรอ หรือว่าบนโลกนี้จะมีคนที่มีอำนาจ และความสามารถควบคุมการเกิดได้

ผมสงสัยในใจ “มีคนที่สามารถควบคุมการเกิดของพวกเธอได้ด้วยเหรอ”

 

“ไม่ใช่แค่มี แถมตอนนี้มันยังมีชีวิตอยู่ดีมีสุขอีกด้วย!” จู่ๆโจวหยุนก็พูดออกมา

ม่านตาของผมอดไม่ได้ที่จะขยายใหญ่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง “เป็นใคร แล้วเขาทำแบบนี้ได้ยังไง”

ผมถามต่อ ผมอยากรู้มากกว่านี้

เพราะเรื่องนี้มันแปลกประหลาดเกินไป ถ้าพูดออกมาคนอื่นคงไม่กล้าเชื่อ

ต้องรู้ว่าการเกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย นั้นเป็นเรื่องของเจ้าแห่งนรก ผู้พิพากษาชีวิตและความตาย

ใครเป็นใครตาย ใครเกิด ล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา

ถ้าถามคนบนโลกใบนี้ นอกจากเจ้าแห่งนรกแล้ว จะมีคนที่สามารถทำแบบนั้นได้จริงๆเหรอ

ถ้ามี แล้วคนๆนั้นทำได้ยังไง

 

แต่เมื่อมู่หลงเหยียนและโจวหยุนได้ยินที่ผมพูด พวกเธอกลับดูเหมือนไม่อยากจะบอกผม

โจวหยุนถอนหายใจออกมา แล้วก็เงียบไป

แต่มู่หลงเหยียนกลับหันมามองหน้าผม “บอกนายไปก็ไม่ได้อะไร แต่นายจำเอาไว้ ถ้าเจอชายที่ใช้ผีสามตาเหมือนที่ป่าช้าอีก ห้ามทำอะไรมั่วซั่ว ยิ่งไปกว่านั้นห้ามเข้าไปต่อสู้ด้วยเด็ดขาด!”

มู่หลงเหยียนพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แต่เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังเตือนผมอยู่

หลังจากเธอพูดคำพวกนี้จบ ในใจของผมก็ยิ่งรู้สึกอยากรู้มากยิ่งกว่าเดิม

ผีสามตา หรือว่าสัญลักษณ์บนแผ่นหินนั้น จะเกี่ยวข้องกับผีชั่วสามตาที่ป่าช้าเก่าจริงๆ

แถมเจ้าผีชั่วสามตายังเป็นศิษย์ของนักพรตกุ่ยซานหยวน ถ้าพูดแบบนั้น ปีศาจที่พวกมู่หลงเหยียนพูดถึง หรือว่าจะเป็นนักพรตกุ่ยซานหยวน

 

เมื่อเชื่อมโยงมาถึงตรงนี้ ผมก็พูดออกมาอีกครั้ง “หรือว่าศัตรูที่พวกเธอพูดถึง จะเป็นกุ่ยซานหยวน นักพรตกุ่ยคนนั้น”

ผลลัพธ์เมื่อเสียงเพิ่งจางหาย โจวหยุนกลับหัวเราะ “ฮ่าฮ่าฮ่า กุ่ยซานหยวน เจ้ากระจอกนั้นก็เป็นได้งั้นเหรอ”

เมื่อเห็นโจวหยุนพูดออกมาแบบนั้น ผมก็ยิ่งสงสัยมากขึ้นกว่าเดิม

ศิษย์ของกุ่ยซานหยวนทำให้พวกเรารับมือได้ยาก จนสุดท้ายยังต้องไปเชิญท่านผู้อาวุโสหวางมาช่วย พวกเราถึงจะสามารถจัดการมันได้

ถ้าเป็นกุ่ยซานหยวน พวกเราเองก็ไม่รู้ว่าเขามีพลังมากขนาดไหน

และจากสิ่งที่ได้ยินจากท่านนักพรตตู๋ เห็นได้ชัดว่าเจ้านี้เป็นหมอผีที่ทุกคนในสายงานรู้จัก เพราะมันร้ายกาจมาก

 

แต่โจวหยุน กลับพูดออกมาว่าเขากระจอก

ในใจของผมจึงมีหมอกหนาเข้าปกคลุมอีกชั้น ศัตรูของพวกมู่หลงเหยียน เป็นใครกันแน่นะ

แต่ไม่รอให้ผมพูดต่อ มู่หลงเหยียนกลับพูดกับผมอีกครั้ง “เจ้าห่วย นายอย่าเข้ามายุ่งเรื่องนี้ละ แล้วก็ห้ามถาม เรื่องในคืนนี้ นายห้ามเอาไปบอกกับใครทั้งนั้น รวมทั้งอาจารย์ของนายด้วย ไม่อย่างนั้นพวกนายทุกคนจะต้องเจอกับเรื่องที่อันตรายมากๆ จนเอาชีวิตไม่รอดแน่!”

เมื่อมองดูใบหน้าที่จริงจังของมู่หลงเหยียน ผมก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที

“แต่ว่า แต่ว่าฉันอยากช่วยพวกเธอ!” ผมขมวดคิ้ว พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมาก

ถึงพลังของผมจะน้อยมาก แต่นี่ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะผมเป็นมือสมัครเล่นที่พึ่งเริ่มฝึกเท่านั้น

 

แต่ไม่ได้แปลว่าผมจะไม่กลัวตาย ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมตอนนั้นวิญญาณของมู่หลงเหยียนถึงถูกอาจารย์เรียกมา แต่งงานกับผมได้

แต่ไม่ว่าจะพูดยังไงพวกเราก็เป็นสามีภรรยากัน แถมเธอยังเคยช่วยชีวิตผมเอาไว้

แม้ว่าจะไม่ออกมาเจอหน้าผม แต่เธอก็ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายผมเลย

เมื่อมู่หลงเหยียนลำบาก ถ้าผมยังไม่ยอมพูดอะไร ก็คงกลายเป็นผู้ชายตาบอดจริงๆแล้วละ

เมื่อมู่หลงเหยียนได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็ขมวดคิ้ว แสดงสีหน้าไม่พอใจ ผมคิดว่าผีเมียกำลังจะอารมณ์เสียใส่ผมรึเปล่านะ

 

แต่ใครจะไปรู้จู่ๆมู่หลงเหยียนก็คลายคิ้วออก มองมาที่ผม แถมยังเข้ามายืนตรงหน้า พร้อมส่งรอยยิ้มที่พิเศษมาให้ผม

เวลาเธอยิ้มมันดูดีมากๆ ไม่รู้ว่ามันจะสวยมากกว่าตอนโกรธกี่ร้อยเท่า

ขณะที่ผมกำลังสับสน จู่ๆมู่หลงเหยียนก็พูดกับผมว่า “ติงฝาน ขอบใจนายมากนะ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกนายจะช่วยได้! รอให้ฉันหายแล้ว ฉันจะหาวิธียุติการแต่งงาน แล้วคืนอิสระให้นายเอง!”

นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงมู่หลงเหยียนที่เรียบนิ่งแบบนี้ แถมไม่พูดกับผมด้วยความโมโห

และยังไม่ใช้ “ผู้ชายห่วย” สามคำนี้ด้วย แต่เธอกลับเรียกชื่อของผมแทน

แต่เมื่อได้ยินมู่หลงเหยียนพูดว่า เธอจะหาวิธียุติการแต่งงาน และปล่อยผมเป็นอิสระ

 

ทันใดนั้นในใจของผมกลับรู้สึกแปลกๆ คิดไม่ถึงว่ามู่หลงเหยียนจะเป็นคนนิสัยแบบนี้

แต่ยิ่งมู่หลงเหยียนพูดแบบนี้ ผมก็ยิ่งรู้สึกอยากจะช่วยเธอ อยากจะช่วยจนสุดความสามารถ “แต่ว่า……”

ผลลัพธ์ผมยังไม่ได้พูดออกไป มู่หลงเหยียนก็กลับมาใช้น้ำเสียงที่หนักแน่นอีกครั้ง พูดแทรกผมทันที “พูดแต่อยู่นั่นแหละ ชั่งเถอะ หยุดพูดได้แล้ว ถ้ายังพูดอีกฉันจะไม่เกรงใจกับนายแล้วนะ!”

ขณะที่พูด ท่าทางของมู่หลงเหยียนก็กลับมาเคร่งขรึมอีกครั้ง

เมื่อเห็นสิ่งนี้ หน้าของผมก็กระตุกขึ้นมาสองครั้งอย่างควบคุมไม่ได้ ยัยนี้เปลี่ยนหน้าเร็วยิ่งกว่าพลิกหน้าหนังสือซะอีก

 

เมื่อกี้ยังดีๆอยู่เลย ตอนนี้กลับเปลี่ยนไปอีกละ

แต่โจวหยุนที่อยู่ข้างๆกลับหัวเราะ “คิกคิก” จากนั้นก็พูด “เอาน่า! ถ้านายอยากช่วยพวกเราจริงๆ งั้นก็กลับไปฝึกวิชาให้ดี แต่ฉันว่านายในตอนนี้ กับพลังแบบนั้น ยังเอาชนะผีเร่ร่อนไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แล้วยังอยากจะช่วยพวกเรา……”

เมื่อได้ยินโจวหยุนพูดแบบนั้น ผมก็หน้าแดงขึ้นมาทันที

แต่ที่เธอพูดก็ไม่ผิด ในสายตาของมู่หลงเหยียนและโจวหยุน กุ่ยซานหยวนยังเป็นแค่คนกระจอก ไม่คนามือพวกเธอเลยสักนิด

คนอย่างผมที่พึ่งฝึกฝน พลังระดับมือสมัครเล่น มาบอกว่าจะไปช่วยพวกเธอ แบบนี้มันจะไปต่างอะไรกับการคุยโวละ

 

ผมเงียบไปสักพัก ไม่พูดอะไรออกมา

แต่ตอนนั้นมู่หลงเหยียนก็พูดกับโจวหยุนว่า “โจวหยุน ก่อนหน้านี้เจ้าห่วยนี้ช่วยเธอออกมาจากโลงนะ พลังผีเข้าร่าง เธอต้องรีบช่วยเข้าละ!”

โจวหยุนยิ้มออกมาเล็กน้อย “ได้เลยพี่มู่หลง!”

ขณะที่พูด โจวหยุนก็เดินเข้ามาหาผม

แต่ผีผู้ชายที่ยืนดูสถานการณ์อยู่ข้างๆ กลับห้ามโจวหยุนไว้ “คุณหนู ให้ผมทำแทนเถอะครับ! ถ้าคุณลงมือ จะทำร้ายหยวนชี่(แก่นต้นกำเนิดพลังตั้งแต่กำเนิด)ของคุณ……”

แต่โจวหยุนกลับโบกมือ “พี่มู่หลงเป็นคนพูดออกมาด้วยตัวเอง ฉันจะไม่ลงมือด้วยตัวเองได้ยังไง ไม่เป็นอะไรหรอก!”

 

ขณะที่พูด เธอก็เดินมาถึงตรงหน้าของผมแล้ว

แต่ผมกลับไม่รู้ว่าทำไม นอกจากจะมีรอยดำที่หน้าอกแล้ว ผมก็ไม่รู้สึกว่าส่วนอื่นๆจะผิดปกติเลยสักนิด

โจวหยุนเห็นผมเงียบ เธอจึงพูดกับผมว่า “เจ็บหน่อยนะ ทนเอาไว้ละ!”

หลังจากพูดจบ เธอก็ไม่รอให้ผมตอบโต้

ฝ่ามือของโจวหยุนก็เข้ามาทาบที่หน้าอกของผมทันที วินาทีนั้นผมรู้สึกว่าไอเย็นกำลังเจาะเข้าไปในหน้าอกของผม

ไม่ใช่เพียงเท่านี้ จู่ๆความเจ็บปวดทรมานจากการฉีกขาดของบางอย่างก็เกิดขึ้น

“อ่า!”

 

ผมก็อดไม่ได้ที่จะร้องออกมา แต่ความเจ็บปวดนั้นยังคงแพร่กระจาย จากหน้าอกไปจนทั่วทั้งตัว ราวกับถูกมีดและเข็ม แทงครั้งแล้วครั้งเล่าจนกล้ามเนื้อฉีกขาด

พลังผีที่รวมตัวกันในหน้าอกของผม ค่อยๆหายไปอย่างต่อเนื่อง

เพราะมันเจ็บมาก บวกกับการที่ช่วยโจวหยุนทำลายคาถาเมื่อก่อนหน้านี้ ทำให้ผมสูญเสียพลังกายและพลังหยวนชี่ไปเป็นจำนวนมาก

เมื่อได้รับความเจ็บปวดมากมายในตอนนี้ มันก็ทำให้ผมรู้สึกแทบทนไม่ไหวจริงๆ

ผลลัพธ์หลังจากอดทนมาได้สักพัก ผมก็รู้สึกเหมือนโลกหมุน และรู้สึกหายใจไม่ค่อยออก

 

สุดท้ายดวงตาทั้งสองข้างก็ปิด และสลบล้มลงไปกับพื้นทันที

นอนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด ผมไม่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นเลยสักนิด

ผมเพียงได้ยินเสียงเรียกของมู่หลงเหยียนรางๆเท่านั้น “เจ้าห่วย” จากนั้นก็ไม่มีสติอีกเลย

เมื่อผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในสุสาน แต่อยู่บนเตียงของตัวเอง……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset