ศพ – ตอนที่ 82 ไม่มีทางยุติได้

ตอนที่ 82 ไม่มีทางยุติได้

ดวงตาทั้งสองข้างมองเห็นภาพเบลอๆ พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องที่คุ้นเคย

ผมรู้สึกปวดหัวนิดหน่อย ร่างกายเองก็ปกติดี เพียงแค่รู้สึกว่าผมเหนื่อยมากๆก็เท่านั้น

ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง จำได้เพียงแค่ว่าโจวหยุนกำลังไล่พลังผีให้กับผม จากนั้นผมก็สลบไป

หรือว่ามู่หลงเหยียนเป็นคนพาผมมาส่ง ผมกำลังคิดแบบนี้อยู่ จากนั้นก็ก้มลงมองหน้าอกของตัวเอง ตอนนี้รอยช้ำดำๆนั้นได้หายไปจนหมดแล้ว

เมื่อเห็นแบบนั้นผมก็เอนตัวลงนอนอย่างเงียบๆ หายใจเข้าออกสักพัก จากนั้นก็ลุกขึ้นจากเตียง

เมื่อมองดูเวลา ก็พบว่าบ่ายสามโมงแล้ว

 

ผมใส่รองเท้า เดินออกไปจากห้อง เห็นอาจารย์กำลังนอนอยู่บนเก้าอี้โยก ตอนนั้นเขากำลังฮัมเพลง และฟังวิทยุอยู่

ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าผมออกมาจากห้อง วินาทีนั้นจึงหันมามองผมทันที

จากนั้นก็พูดกับผมว่า “ในตู้เย็นมีโจ๊กอยู่ อุ่นกินเองนะ!”

“อือ” จากนั้นผมก็พูดกับอาจารย์ว่า “อาจารย์ เมื่อคืนผมกลับมาได้ยังไง”

“เมียแกมาส่งนะซิ!”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ในใจของผมก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาชั่วครู่ จากนั้นความรู้สึกแปลกๆก็เข้ามาแทนที่

 

แต่เสียงของอาจารย์พึ่งจางหาย เขาก็พูดกับผมอีกครั้ง “เออใช่เสี่ยวฝาน เมื่อคืนหลังจากที่พวกฉันออกไป จากนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แกไม่ได้บอกเองเหรอว่าไม่เป็นอะไร แล้วทำไมถึงถูกผีเมียของแกแบกกลับมาได้ละ”

เมื่อได้ยินอาจารย์ถาม ผมก็เตรียมตอบกลับไปทันที

แต่ตอนที่อ้าปาก ผมก็นึกถึงคำพูดที่มู่หลงเหยียนบอกผมเอาไว้เมื่อคืนได้

ห้ามเอาเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ไปบอกคนนอกเด็ดขาด และรวมถึงอาจารย์ของนายด้วย

ผมจึงเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็พูดโกหก “ไม่มีอะไรครับ ยัยผีนั้นบอกว่าผมเหมือนคนที่เธอเคยรู้จักเมื่อตอนมีชีวิต เลยบอกให้ผมอยู่กับเธอ! ที่นั่นพลังหยินแรงเกินไป ผมเลยสลบไปครับ”

 

เห็นได้ชัดว่า เมื่อคืนที่กลับมา มู่หลงเหยียนก็ไม่ได้พูดเรื่องอื่นให้อาจารย์ฟัง

เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ อาจารย์ก็พูด “อา” จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีกเลย

เนื่องจากร่างกายของผมไม่ได้บุบสลายตรงไหน มีเพียงแค่ความเหนื่อยล้าเท่านั้น

หลังจากกินโจ๊กเสร็จ พลังกายของผมก็เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย

ในเวลาเดียวกันก็พูดกับอาจารย์ว่า “อาจารย์ ตอนนี้หลี่ต้าชานเป็นยังไงบ้างครับ”

เมื่ออาจารย์ได้ยินผมถาม ก็พยักหน้าให้เล็กน้อย “ดีขึ้นแล้ว! ขอแค่พวกผีนั้นไม่ตามมาทวงหนี้อีก ชีวิตของ

หลี่ต้าชานก็ปลอดภัยแล้ว แต่ถูกดูดพลังชีวิตไปตั้งเดือนกว่าๆ จะพูดยังไงเขาก็มีชีวิตน้อยลง 10 ปี”

 

ผมถอนหายใจ น้อยลง 10 ปีก็ดีกว่าอยู่ได้อีก 30 ปีเยอะ

หลี่ต้าชานเป็นคนผิด ทำเรื่องลบหลู่คนตาย สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว

ดังนั้นเรื่องของหลี่ต้าชานก็จบลงเพียงเท่านี้ แต่หลังจากผ่านเรื่องเมื่อคืนมา ในสมองของผมก็มีแต่เรื่องของ

มู่หลงเหยียนและโจวหยุน

สัญลักษณ์ผีสามตาหมายถึงอะไร ใครกันแน่ที่เป็นคนทำร้ายมู่หลงเหยียนและโจวหยุน

แล้วใครกันที่มีพลังแห่งสวรรค์ สะกดวิญญาณของยัยผีโจวหยุน และยังทำให้พวกเธอไม่สามารถไปเกิดใหม่ได้

เรื่องทั้งหมดนี้ กลายเป็นหมอกหนาในสมองของผม

 

แต่ดูเหมือนเรื่องทั้งหมดจะเข้าถึงได้ยาก มันไม่ใช่เรื่องที่เด็กฝึกหัดอย่างผมจะสอดมือเข้าไปยุ่งได้เลย

ผมทำหน้าหดหู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็คิดถึงคำพูดนั้นของมู่หลงเหยียน

เธอบอกว่าไม่ให้ผมเข้ามายุ่งเรื่องนี้ แถมยังบอกว่าหลังจากเธอหายดี จะคิดหาวิธียุติการแต่งานของเรา ปล่อยผมให้เป็นอิสระ

เมื่อคืนผมไม่ได้คิดให้ดี ตอนนี้เมื่อลองมาคิดดู

ตอนที่มู่หลงเหยียนแต่งงานกับผม เป็นเพราะเธอบาดเจ็บ และตอนนี้ก็ยังไม่หายดี

ต้องรู้ว่ามู่หลงเหยียนเป็นผู้หญิงที่ดุร้ายแค่ไหน พลังที่มีก็คงไม่ใช่น้อยๆ ใครกันนะที่สามารถทำให้เธอบาดเจ็บได้

 

และสิ่งที่น่าแปลกที่สุดคือ มู่หลงเหยียนไม่ใช่ผีเร่ร่อนธรรมดาๆ

ถ้ามู่หลงเหยียนไม่ยอม ถึงแม้อาคมของอาจารย์จะร้ายกาจแค่ไหน ก็ไม่ใช่ปัญหาของเธอแน่

แต่มู่หลงเหยียนกลับยอมตกลงแต่งงานกับผม นี่มันเรื่องอะไรกันแน่นะ

หรือว่าการแต่งงาน จะช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของมู่หลงเหยียนได้อย่างงั้นเหรอ

ดังนั้นตอนนั้นมู่หลงเหยียนจึงสนองการเรียกวิญญาณของอาจารย์ มาแต่งงานกับผม

จากนั้นก็ใช้เงื้อนไขร่วมเป็นร่วมตาย ใช้ชีวิตของผม มารักษาอาการป่วยของเธอ

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ผมก็หันไปถามอาจารย์ว่า “อาจารย์ การแต่งกับผี ถ้าแต่งแล้วจะร่วมเป็นร่วมตายกันใช่ไหมครับ”

เดิมทีอาจารย์หรี่ตาอยู่ แต่จู่ๆเมื่อได้ยินผมพูดเรื่องแต่งงานกับผี ดวงตาทั้งสองข้างก็เบิกกว้างทันที

“ทำไมแกถามถึงเรื่องนี้ละ” อาจารย์มองผมด้วยความสงสัย เพราะการถามเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างไม่ควรพูดถึง

“ผมก็แค่อยากถามดูเท่านั้น หลังจากแต่งงานแล้ว จะยุติมันได้เหรอ และสามารถแยกแก่นชีวิตออกจากอีกฝ่ายได้ด้วยเหรอครับ” ผมพูดต่อ

อาจารย์ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้โยก ไม่ได้ตอบผมตั้งแต่วินาทีแรก

 

แต่เขาก็มองผมด้วยหน้าตาเคร่งขรึมและสงสัย สุดท้ายก็ตอบผมว่า “การแต่งกับผีเป็นเรื่องต้องห้าม จากที่อาจารย์เคยเรียนมา ไม่มีวิธียุติ ส่วนเรื่องหลังแต่งแล้ว ทั้งสองคนจะมีชีวิตเชื่อมต่อกัน ส่วนเรื่องอื่นนั้น อาจารย์ก็ไม่รู้เหมือนกัน”

เมื่อได้ยินอาจารย์ตอบกลับแบบนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะหายใจเข้าลึกๆ ดูเหมือนการแต่งงานกับผม จะเป็นประโยชน์กับมู่หลงเหยียนอยู่บ้าง เธอสามารถฟื้นตัวจากการบาดเจ็บได้อย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตามการจะยุติการแต่งงานนี้ โอกาสที่เป็นไปได้ก็แทบจะไม่มีเลย

ในเมื่อเป็นไปไม่ได้ งั้นต่อไปมู่หลงเหยียน ก็ยังใช้ชีวิตร่วมเป็นร่วมตายกับผม และยังเป็นภรรยาของผม

ถ้าภรรยาต้องการ ผมจะทำอะไรได้ อีกอย่างเธอต้องมาบาดเจ็บเพราะเจ้าปีศาจนั้น แถมยังต้องอยู่ไปชั่วนิรันดร์ไม่สามารถไปเกิดได้

 

ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นถึงปีศาจที่โหดเหี้ยมขนาดนั้น ตัวเองที่เป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย และยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเมีย ผมเองจะยอมมานั่งดูอยู่เฉยๆได้ยังไงละ

แต่ก็มีปัญหาที่ใหญ่มาก คือผมพลังน้อยโครตๆ

ถ้าอยากช่วยมู่หลงเหยียนจริงๆ ช่วยเธอแก้แค้น ผมจะต้องพัฒนาพลังของตัวเอง ไม่อย่างนั้นทุกอย่างที่ทำมาก็จะไร้ความหมาย

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ผมก็แสดงสีหน้าเคร่งขรึม

ถามอาจารย์ว่า ทำยังไงถึงจะสามารถเพิ่มพลังให้สูงขึ้นได้

 

อาจารย์รู้สึกว่าวันนี้ผมทำตัวแปลกๆ แต่ก็ยังบอกผม

บอกว่าอาชีพของพวกเรา ถ้าอยากให้พลังเพิ่มขึ้นในเวลาสั้นๆ นอกจากจะมีพรสวรรค์แล้วการฝึกฝนก็ถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

เมื่อพูดจบ อาจารย์ก็ถามผมว่าทำไมถามถึงเรื่องนี้

ผมยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก

บอกเพียงแค่ว่าตอนนี้เริ่มทำงานแล้ว ผมก็อยากจะทำให้มันออกมาดีที่สุด

แต่อาจารย์ไม่รู้ว่า ที่จริงแล้วผมอยากช่วยมู่หลงเหยียน

 

ผมอยากช่วยเธอแก้แค้น อยากรู้เรื่องผีสามตา และอยากตามหาคนที่ทำให้มู่หลงเหยียนและโจวหยุนไปเกิดไม่ได้

ครึ่งเดือนถัดมา ผมไม่ออกไปไหน ไม่เจอมู่หลงเหยียน และไม่ได้ไปสุสานใกล้ๆอ่างเก็บน้ำอีก

นอกจากฝึกยันต์อยู่บ้าน ก็เรียนวิชาตามที่อาจารย์สอน ฝึกเดินลมปราณทั้งเช้า กลางวัน เย็น

ภายในช่วงสองสามวันนี้ ผมสัมผัสได้ถึงความร้อนและความอบอุ่นที่จุดตันเถียนอย่างชัดเจน พลังของตัวเองก็เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย

ระหว่างนี้ หลี่ต้าชานและแม่ของเขาได้นำผลไม้มาขอบคุณพวกเราที่ร้าน

 

หลังจากคืนนั้น เขาก็ไม่ฝันแบบนั้นอีก

แถมสีหน้าและร่างกายของเขา ก็ดีขึ้นมาก ด้านจิตใจก็ฟื้นตัวขึ้นมาไม่น้อย

อาจารย์ก็พูดเตือนอีกครั้ง บอกให้ต่อไปอย่าทำเรื่องแบบนั้นอีก ยิ่งไปกว่านั้นห้ามไปที่สุสาน แม้แต่เดินเหยียบหลุมศพของเธอก็ไม่ได้ หรืออย่าไปทำเรื่องไม่ดีพวกนั้นอีก

เกรงว่าคนตายจะโกรธขึ้นมา ตามรังควานเขา แล้วทำเรื่องพวกนั้นอีกครั้ง

หลี่ต้าชานยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่ จึงรีบพยักหน้ารัวๆ

เขาเริ่มเคารพอาจารย์และผมมากกว่าเดิม แถมยังให้ซองแดงที่มีเงิน 1,000 หยวนกับพวกเราหนึ่งซอง

 

เรื่องของหลี่ต้าชานพึ่งผ่านไปไม่นาน ก็มีอีกเรื่องหนึ่งมาทำลายความสงบของพวกเรา

ตอนนั้นผมและอาจารย์กำลังนั่งทำตุ๊กตากระดาษสีเงินอยู่ในร้าน จู่ๆโทรศัพท์ของอาจารย์ก็ดังขึ้น

อาจารย์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา และกดรับ

หลังจากอาจารย์คุยโทรศัพท์ไม่นาน ก็กดวางสาย

จากนั้นก็พูดกับผมว่า “เสี่ยฝาน เถ้าแก่หนิวในเมืองจะจัดงานศพ ให้พวกเราเข้าไป……”

ทำอาชีพแบบพวกเรา งานศพเป็นเรื่องปกติเลยละ ตัวเมืองใหญ่ขนาดนั้น ย่อมมีคนตายอยู่ทุกวัน เมื่อลูกค้าพอใจในตัวพวกเรา เวลามีงานศพก็มักจะโทรตามพวกเรา ดังนั้นผมจึงไม่ได้เอะใจอะไรมากนัก

 

แต่มันไม่ได้เป็นแค่งานศพธรรมดา โดยเฉพาะคนอย่างผมที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ผมจึงเริ่มออกเดินทาง

ตามอาจารย์ไปงานศพสองครั้งติด แต่ก็ต้องเจอเรื่องยุ่งทุกครั้ง

แต่ครั้งนี้ไม่มีผีผู้หญิง ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใช่ผีดิบ……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset