ศพ – ตอนที่ 83 มุ่งหน้าสู่ตัวเมือง

ตอนที่ 83 มุ่งหน้าสู่ตัวเมือง

ผมจำเถ้าแก่หนิวคนนี้ได้อยู่บ้าง เขาทำธุรกิจขายส่งอะไหล่อยู่ในตัวเมือง

บ้านเดิมเขาเป็นคนในตำบลของพวกเรา ต่อมาได้ทำธุรกิจใหญ่โต จึงย้ายเข้าไปอยู่ในตัวเมือง

เมื่อก่อนบ้านของเขาย้ายหลุมศพบรรพชน อาจารย์ของผมก็เป็นคนช่วยพวกเขาดูฮวงจุ้ย

เมื่อได้ยินว่าเป็นเถ้าแก่หนิว ผมก็เลยพูดออกไปว่า “บ้านเถ้าแก่หนิวมีใครตายเหรอครับ”

อาจารย์ถือโทรศัพท์ไว้ในมือ จากนั้นก็พูดกับผมว่า “แม่ของเถ้าแก่หนิว เมื่อสองชั่วโมงก่อนเธอเสียชีวิตที่โรงพยาบาล เถ้าแก่หนิวให้พวกเราไปทำพิธี ส่งวิญญาณให้แม่ของเขา!”

นี่ก็คือพิธีส่งวิญญาณธรรมดาๆ ผมจึงไม่ได้คิดอะไรมาก

 

จากนั้น ผมก็เริ่มไปเก็บของในห้อง นำสิ่งที่คิดว่าอาจต้องใช้ในพิธีไปด้วย

หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ผมและอาจารย์ก็ออกเดินทางไปในเมือง

พูดแล้วก็ว่าแปลก เมื่อเรามาถึงป้ายรถเมย์ ผมกลับพบว่าเจ้าเฟิงเฉ่วหานเองก็อยู่ที่นี่

เมื่อเฟิงเฉ่วหานเห็นพวกเราเดินเข้ามา เขาก็แปลกใจมาก

เมื่อเห็นเฟิงเฉ่วหาน ผมก็โบกมือให้เขา “เหล่าเฟิง นายกำลังจะไปไหน”

เฟิงเฉ่วหานเห็นพวกเราเดินเข้ามา ก็รีบพูดทันที “อ่อ! อาจารย์ให้ฉันไปซื้อสมุนไพรบางตัวในเมืองน่ะ แล้วพวกนายจะไปไหนกันละ”

 

อาจารย์พูดด้วยท่าทางใจดี “ไปงานศพในเมือง!”

เฟิงเฉ่วหานไม่แปลก “อ่อครับ” จากนั้นเขาก็หันมาคุยกับผม

ผ่านไปไม่นาน รถก็มาถึง

พวกเราสามคนเลือกนั่งที่เบาะหลังสุด

ตำบลของพวกเราค่อนข้างอัตคัด หนึ่งวันจะมีรถเข้าไปในเมืองแค่สองสามรอบเท่านั้น

รอมาได้ประมาณครึ่งชั่วโมง รถเมย์เล็กๆคันหนึ่งก็มาถึงบนรถยังมีคนนั่งไม่เต็มเลยด้วยซ้ำ

ตอนเห็นรถกำลังเคลื่อนตัว จู่ๆหญิงสาวคนหนึ่งก็ขึ้นมาบนรถ

 

ตอนนั้นผมและเฟิงเฉ่วหานกำลังคุยกัน จึงไม่ได้สนใจ

แต่หญิงสาวที่พึ่งขึ้นมาบนรถ กลับสังเกตเห็นพวกเรา

เธอตะโกนมาหาพวกเราด้วยความดีใจมากๆ “ติงฝาน เฟิงเฉ่วหาน!”

เมื่อผมสองคนได้ยินคนเรียก ก็หันไปมองตามสัญชาตญาณ

และแล้ววินาทีที่พวกเราหันไปมอง ก็ต้องตกตะลึง

พวกเราเห็นหญิงสาวยืนอยู่ที่ประตูรถ ริมฝีปากแดงฟันขาว ใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้น ท่าทางเซ็กซี่ร้อนแรง

แถมผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น เธอก็คือคนที่ได้เจอกันสองครั้ง หยางเฉ่วผู้ที่ช่วยผมและเฟิงเฉ่วหานเอาไว้นั่นเอง

เมื่อเห็นหยางเฉ่ว ผมสองคนก็อึ้งไปแป๊บหนึ่ง

 

จากนั้นผมก็พูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “หยางเฉ่ว!”

หยางเฉ่วยิ้มออกมาเล็กน้อย “ใช่ฉันเอง! พวกนายสองคนจะไปไหนกันเหรอ”

ขณะที่พูด หยางเฉ่วก็เดินเข้ามา นั่งแถวหน้าของพวกเราเรียบร้อยแล้ว

แม้ที่มาของหยางเฉ่วจะไม่แน่ชัด แต่เธอก็เหมือนกับพวกเรา ล้วนเป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย

และเธอยังใช้พวกคาถาพิเศษๆได้ แถมยังเคยช่วยพวกเราไว้ถึงหนึ่งครั้ง

ดังนั้นเมื่อเห็นหยางเฉ่ว พวกเราก็ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องเลวร้ายอะไร

จึงพูดออกไปตรงๆว่าพวกเรากำลังจะไปไหน ส่วนหยางเฉ่วนั้น กลับบอกว่าจะกลับไปโรงเรียนของเธอ

 

เมื่อได้ลองสอบถามดู ก็พบว่าที่จริงแล้วหยางเฉ่วยังเรียนมหาลัยอยู่ แถมเป็นมหาวิทยาลัยศิลปะที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในตัวเมืองของพวกเราด้วย

ส่วนเรื่องที่เธอมาที่ตำบลของพวกเรา หรือรู้คาถาที่ร้ายกาจขนาดนั้นได้ยังไง และทำไมวันนั้นเธอถึงอยู่แถวๆวัดเจ้าเฉิน ผมก็ไม่ได้ถาม

เพราะที่นี่มีผู้โดยสารมากมาย ผมจึงรู้สึกไม่กล้าพูด

เพียงคุยกันเรื่องทั่วๆไป และนอกจากหยางเฉ่วจะเป็นผู้หญิงที่เซ็กซี่แล้ว เธอยังพูดเก่งมาก

หลังจากลงรถ หยางเฉ่วก็แลกเบอร์โทรศัพท์กับพวกเรา

 

และยังบอกว่าถ้าพวกเราทำงานเสร็จแล้ว เธอจะชวนพวกเราไปกินร้านปิ้งย่างข้างๆมหาวิทยาลัยของเธอ

สำหรับหยางเฉ่ว เธอยังมีความลับอยู่มากมาย

ดังนั้นผมและเฟิงเฉ่วหาน จึงอยากรู้จักเธอมากกว่านี้

โดยเฉพาะเรื่องที่ทำไมเธอถึงรู้จักคาถาที่ร้ายกาจขนาดนั้น จะเป็นศิษย์ของสำนักใหญ่อะไรรึเปล่า หรือเบื้องหลังของเธอ อาจจะมีอาจารย์ยอดฝีมือเป็นคนขัดเกลา

ปกติคนในสายงานของพวกเราก็มีน้อยอยู่แล้ว แถมคนที่มีอายุรุ่นเดียวกันยังยิ่งน้อย

และต่อมา ผมสองคนก็ได้รู้จักกับหยางเฉ่ว รู้สึกดีกับเธอไม่น้อย

 

จึงตัดสินใจว่าหลังจัดการงานศพของบ้านเถ้าแก่หนิวเสร็จ พวกเราจะไปมหาวิทยาลัยของหยางเฉ่วสักครั้ง เป้าหมายหลักก็คือทำความรู้จักกับหยางเฉ่วให้มากขึ้น

ถ้าในอนาคตมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ก็อาจได้คนช่วยเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน

หลังจากคุยกับเฟิงเฉ่วหานเรียบร้อย พวกเราก็แยกทางกันที่ป้ายรถเมย์

ผมและอาจารย์ไปบ้านของเถ้าแก่หนิว ส่วนเฟิงเฉ่วหานไปซื้อสมุนไพรที่ร้าน  เนื่องจากเวลาที่พวกเรามาถึงค่อนข้างดี ต่างก็ไม่มาช้ากันสักคน

ตอนที่พวกเรามาถึงบ้านของเถ้าแก่หนิว แม่ของเถ้าแก่หนิวก็ถูกส่งตัวกลับมาจากโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้พวกเขากำลังนำไปไว้ที่จัดงานศพ

 

เมื่อเถ้าแก่หนิวเห็นพวกเรามาถึง ก็เข้ามาจับมือผมและอาจารย์ พูดกับพวกเราด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น “ท่านนักพรตติง ในที่สุดคุณก็มาถึง แม่ผมลำบากมาทั้งชีวิต นี่พึ่งได้สุขสบายไม่กี่ปีก็จากไปซะแล้ว คุณต้องส่งวิญญาณของแม่ผมให้ดีๆนะครับ!”

อาจารย์พยักหน้ารับ “เถ้าแก่หนิววางใจได้ ผมจะต้องทำสุดความสามารถอย่างแน่นอน!”

หลังจากพูดจบ เถ้าแก่หนิวก็พาพวกเราเข้าไปในบ้าน

เพราะก่อนหน้านี้งานศพของคุณหนูเหวินเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้น ทำให้หลังจากที่พวกเราเข้ามาในงานศพ จึงเริ่มสำรวจรอบๆห้องอย่างละเอียด

และมีตำแหน่งที่นำศพวางเอาไว้ ตรงกับข้อห้ามอื่นๆหรือไม่

 

หลังจากจัดการอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว ทุกอย่างก็ผ่านไปอย่างราบรื่น

และแม่ของเถ้าแก่หนิวก็ไม่ได้ตายโหง เป็นการตายโดยปกติทั่วไป

สำหรับศพที่ตายไปเพราะแก่ชรา แค่ธูปสามดอกที่โต๊ะบูชาไม่เป็นอะไร ก็ไม่มีปัญหาอะไรใหญ่โตแล้ว

บวกกับได้การช่วยเหลือจากเถ้าแก่หนิวอย่างเต็มที่ ทำให้พิธีออกมาค่อนข้างราบรื่น

แต่เมื่อถึงตอนกลางคืน กลับเกิดเรื่องขึ้นมานิดหน่อย

เวลาประมาณสี่ทุ่ม ผม อาจารย์ และลูกของผู้ตายกำลังนั่งทำพิธีส่งวิญญาณกันอยู่

จู่ๆที่หน้าประตูก็มีคนสามคนพุ่งเข้ามา คู่สามีภรรยาหนุ่มสาวอายุราวๆ 30 ปี พาเด็กผู้หญิงอายุประมาณสามสี่ขวบเดินเข้ามาในงานศพ

 

ตอนแรกมันก็ดูไม่มีอะไร แต่เมื่อทั้งสามคนนี้เข้ามาในงานศพ ผมก็รู้สึกว่ารอบๆเย็นขึ้นมาทันที ดูเหมือนพลังหยินจะไหลทะลักออกมาจากโลงนั้น

และควันธูปในกระถางก็ตั้งตรงขึ้น ทันใดนั้นควันที่ลอยขึ้นไปก็เริ่มสั่นไหว

ส่งเสียง “ฮูฮู” ตอนนั้นแม้แต่ธงส่งวิญญาณที่อยู่ในบ้าน ก็ยังปลิวไปมาสองสามครั้ง

เมื่อเห็นสถานการณ์แบบนี้ ผมและอาจารย์ที่อยู่ในงามศพก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง

แต่สมาชิกครอบครัวคนอื่นที่อยู่ในงานศพ กลับไม่รู้สึกอะไร เพียงคิดว่ามันเย็นขึ้นมานิดหน่อยเท่านั้น

 

แต่ทั้งสามคนนั้นพึ่งเข้ามาในงาน ผมก็ได้ยินเสียงของผู้ชายคนหนึ่งร้องไห้วิ่งเข้ามา

ไม่พูดไม่จาอะไร “บึก” จู่ๆเขาก็เข้ามาคุกเข่าที่หน้าโต๊ะบูชา “ยาย จึเฉินมาช้าเกินไป ไม่ได้เห็นหน้ายายเป็นครั้งสุดท้าย!”

เสียงของชายคนนี้พึ่งตกลง ผู้หญิงที่อุ้มเด็กน้อยไว้ ก็คุกเข่าลง เธอเองก็ตะโกนออกมาเช่นกัน “ยาย!”

ไม่เพียงเท่านี้ ยังบอกให้เด็กผู้หญิงในอ้อมแขนนั่งคุกเข่าลงด้วย

อาจเป็นเพราะบรรยากาศค่อนข้างเคร่งเครียด รายล้อมไปด้วยเงินกระดาษสีแดงขาว ดอกไม้สีม่วง

 

และตอนนั้นทุกๆคนยังหันมามองพวกเขา จึงทำให้เด็กผู้หญิงรู้สึกหวาดกลัว เธอหันไปพูดด้วยน้ำเสียงหวานๆของเด็ก “แม่ เสี่ยวยู่ยกลัว!”

ผู้หญิงคนนั้นยังไม่ได้พูดอะไรออกมา เถ้าแก่หนิวที่อยู่ข้างๆก็พูดว่า “เสี่ยวยู่ย ตอนมีชีวิตคุณทวดรักหนูมากเลยนะ ตอนนี้คุณทวดไปสวรรค์แล้ว คำนับส่งคุณทวดหน่อยนะลูก!”

ขณะที่พูด เถ้าแก่หนิวก็เข้ามาคุกเข่า และลูบหัวของเด็กน้อย

แต่เด็กผู้หญิงคนนั้นกลับกลัวจนเข้าไปอยู่ในวงแขนของแม่ จากนั้นก็พูดกับเถ้าแก่หนิวว่า “คุณปู่โกหก คุณทวดยืนอยู่หน้าประตูชัดๆ……”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset