ศพ – ตอนที่ 85 หมาผี

ตอนที่ 85 หมาผี

ตอนที่เห็นหัวของหมาบิดไปมา และเมื่อมีเขี้ยวงอกและตาสีขาวโพนที่สามโผล่ออกมา

สิ่งแรกที่ผมคิดถึงก็คือ คำพูดที่มู่หลงเหยียนพูดกับผมเอาไว้ที่สุสาน

ถ้าเจอวิญญาณที่มีสามตา ห้ามทำอะไรมั่วซั่ว ยิ่งไปกว่านั้นห้ามเข้าไปต่อสู้ แถมยังบอกให้ผมวิ่งหนีทันที

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ สีหน้าของผมก็อดไม่ได้ที่จะมืดมนลง

ผมจ้องรูปร่างของหมาดำที่เปลี่ยนไป จากนั้นก็พูดกับอาจารย์ว่า “อาจารย์ นี่มันหมาอะไร ทำไมเหมือนผีชั่วที่ป่าช้าเก่า ที่มันมีตาที่สามโผล่ออกมาด้วยละ”

 

สีหน้าของอาจารย์ก็ไม่ดีเท่าไหร่ หลังจากได้ยินผมพูด เขาก็แสดงสีหน้ามืดมนเช่นกัน “อย่าพึ่งคิดมาก เจ้าสัตว์เดรัจฉานนี้ไม่ใช่ของดี ก่อนหน้านี้คงกินวิญญาณไปไม่น้อย ถ้าให้มันคาบวิญญาณของยายนี้กลับไปที่ภูเขาได้ เธอจะต้องถูกกินจนไม่เหลือซากแน่! ตอนนี้ฆ่ามันก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน”

หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็จับดาบไม้ในมือพุ่งเข้าไปทันที

ผมเองก็ไม่สนใจสิ่งที่มู่หลงเหยียนบอกเอาไว้ มองไปรอบๆ นอกจากสัตว์เดนตายตัวนั้นแล้วก็ไม่มีอย่างอื่นอยู่อีก

แม้ว่าเจ้าสิ่งนี้จะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับมู่หลงเหยียนและโจวหยุน แต่ตอนนี้พวกเราจะต้องทำมันให้จบ ถ้าฆ่ามันแล้ว บางทีอาจจะไม่มีใครรู้เรื่องนี้ก็ได้

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ผมก็กัดฟัน กำดาบไม้ในมือให้แน่นและพุ่งตามเข้าไปทันที

ตอนนี้หมาดำกำลังก้มหัวลง ใช้ดวงตาที่สามจ้องพวกเรา จากนั้นก็คำรามเสียง “ฮือฮือฮือ” ออกมา

เมื่อเห็นอาจารย์พุ่งเข้ามา มันก็เห่า “โฮ่ง” ออกมาหนึ่งครั้ง จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่อาจารย์ทันที

อาจารย์ไม่กล้าลังเล กวาดดาบออกไปอย่างรวดเร็ว

แต่เจ้าหมาตัวนั้นกลับไม่กลัวเลยสักนิด วินาทีนั้นมันใช้กรงเล็บเข้าฟาดฟันทันที

วินาทีที่เล็บนั้นโค้งลง ผมก็ได้ยินเสียงดัง “ปัง” กรงเล็บของหมาตัวนั้นสัมผัสเข้ากับดาบไม้ตรงๆ

แม้อาจารย์จะจู่โจมแรงมาก แต่ตัวของเขาก็ยังต้องถอยออกมาสองสามก้าว

 

จากนั้นเจ้าหมานั้นก็เห่า “โฮ่ง” ออกมาทันที มันอ้าปากกว้าง จนราวกับปากนั้นกำลังจะฉีกไปถึงหู เผยให้เห็นปากที่เต็มไปด้วยฟัน

มันเล็งมาที่หัวของอาจารย์ จากนั้นก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

อาจารย์ตกใจ แต่ก็สายเกินไปที่จะหลบพ้น จึงทำได้เพียงถอยหลังไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น

เมื่อเห็นอาจารย์กำลังจะถูกหมากัด ผมก็กังวลขึ้นมาทันที

แต่ผมไม่รอช้ารีบกระโดดขึ้น พุ่งเข้าไปหาอาจารย์ พร้อมกับดาบไม้ในมือ “ไอ้เดรัจฉาน!”

เสียงพึ่งตกลง ผมก็บิดดาบแทงลงไปทันที

 

เจ้าหมานั้นกำลังเพ่งสมาธิอยู่ที่อาจารย์ จึงไม่ได้สนใจคนที่อยู่ข้างหลังอย่างผม

ทันใดนั้นเสียง “ฉึก” ก็ดังขึ้น ดาบเล่มนั้นแทงเข้าที่หัวของหมาตัวนั้น

เมื่อผมเห็นว่ามันได้ผล ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าดีใจออกมา

แต่เสี้ยววินาทีต่อมา ผมก็กลับมาทำหน้านิ่งอีกครั้ง

เพราะผมพบว่า ดาบไม้ในมือทำร้ายมันไม่ได้เลยสักนิด หัวของมันแข็งราวกับหิวผา

กลับกันยังทำให้หมายิ่งโกรธ ปากของมันเห่า “โฮ่งโฮ่งโฮ่ง” ออกมาด้วยความโมโห

ตาที่อยู่บนหน้าผากของหมา หันมาจ้องผมทันที

 

สีขาวโพน ไร้ชีวิตชีวา ร่างกายแพร่ไอเย็นออกมา เมื่อเข้ามาอยู่ตรงหน้า ผมก็ยิ่งรู้สึกหนาวไปทั้งตัว

ความรู้สึกตอนที่ถูกจ้อง มันเป็นแรงกดดันที่ต่างออกไปจากเดิม  จนผมรู้สึกอึดอัดมากๆ

และหมาชั่วตัวนั้น ก็รีบหมุนตัวอย่างรวดเร็ว เห่าใส่ผม “โฮ่งโฮ่ง” สองครั้ง จากนั้นก็พุ่งเข้ามาหาผมทันที

เจ้านี้เร็วมาก เพียงชั่วพริบตาก็กระโดดขึ้นไปสูงมาก แถมยังอ้าปากกว้างอีก

“เสี่ยวฝานเสี่ยวฝาน!” อาจารย์รีบตะโกนเรียก

ผมตกใจ รีบต้านทานมันเอาไว้

แม้แต่อาจารย์ก็ยังสู้ไม่ไหว แล้วผมจะมีปัญญาไปเอาชนะมันได้ยังไง

 

สุดท้ายดาบของผม ก็ถูกกรงเล็บของเจ้าหมานั้นปัดออก

ผมรู้สึกได้ถึงพลังที่มหาศาล ผมรู้สึกปวดระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ จากนั้นก็เริ่มรู้สึกถึงอาการชาที่แขน

ดาบไม้ที่อยู่ในมือของผม ได้หลุดลอยออกไปเป็นที่เรียบร้อย

และไม่รอให้ผมได้ตั้งตัว หมาตัวนั้นก็กระโดดขึ้นไปแล้ว มันอ้าปากกว้าง

เมื่อเห็นภาพนี้ ผมก็รีบถอยหลังไปตามสัญชาตญาณ

ผลลัพธ์กลับบังเอิญมากๆ เท้าผมดันสะดุด ร่างกายจึงส่ายไปมา จนสุดท้ายก็ล้มลงไปกับพื้น

หมาตัวนั้นตกลงมาอย่างราบรื่น มันเข้ามาทับตัวของผมเอาไว้

 

มันอ้าปากกว้าง เห่า “โฮ่ง” ออกมา และเล็งมากัดที่คอของผม

ผมมองปากที่เต็มไปด้วยฟันอันแหลมคม มันน่ากลัวยิ่งกว่าของผีร้ายซะอีก

ถ้าถูกมันกัดละก็ มีหวังได้ตายทันทีแน่

เพราะทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจารย์เองก็ทำอะไรไม่ได้

ตอนที่มันพุ่งเข้ามากัด เห็นได้ชัดว่ามันลดความเร็วลงหนึ่งระดับ

แต่ขณะที่ทุกอย่างกำลังเกิดขึ้น ภายใต้ความต้องการจะมีชีวิตรอด ผมก็ยื่นมือออกไปอย่างรวดเร็ว ชกเข้าไปที่กรามของหมาชั่วอย่างแรง

 

หมาชั่วนั้นมีแรงมหาศาล แม้ว่าจะโดนต่อยไปหนึ่งหมัด แต่ก็หยุดมันไว้ไม่ได้ อีกอย่างสิ่งนี้ยังไม่ทำให้มันรู้สึกเจ็บเลยด้วยซ้ำ

แต่ว่ามันก็สามารถเปลี่ยนทิศทางการโจมตีได้ ในเวลาเดียวกันผมก็หันหน้า หลบการโจมตีของมัน

ส่วนปากใหญ่ๆของหมาตัวนั้น ก็ได้เฉียดคอผมไป อีกนิดเดียวก็เกือบถูกกัดแล้ว

ช่วงเวลานั้น ในที่สุดอาจารย์ก็เข้ามาถึง

อาจารย์เสกคาถาด้วยมือข้างเดียว จากนั้นก็แปะยันต์ไปที่หมาดำ

ทันใดนั้นเสียง “แปะ” ก็ดังขึ้น ยันต์แผ่นนั้นถูกแปะลงบนหลังของหมาดำ

 

ในเวลาเดียวกัน ผมก็ได้ยินเสียงอาจารย์พูดว่า “ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง อัญเชิญ!”

หลังจากพูดจบ ผมก็ได้ยินเสียงระเบิดดัง “ปัง”

ทันใดนั้นหมาตัวนั้นก็ร้องโหยหวน “เอ๋งเอ๋งเอ๋ง” ออกมาทันที วินาทีนั้นมันถูกแรงระเบิดจนตัวปลิว จนทำให้ร่างของมันสะท้าน  ในปากยังร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างต่อเนื่อง

ม่านตาของอาจารย์หดตัวอย่างรวดเร็ว เขารีบใช้โอกาสนี้ ให้เป็นประโยชน์

เมื่ออาจารย์เห็นแบบนั้น ก็เตรียมเข้าไปแทงซ้ำ ฆ่าเดรัจฉานที่กินวิญญาณคนเป็นอาหารให้ตาย

แม้เจ้าเดรัจฉานนั้นจะบาดเจ็บ แต่มันยังไม่ตาย

เมื่อเห็นอาจารย์เข้ามา เจ้าหมานั้นก็พยายามลุกขึ้นมา

 

มันจ้องผมและอาจารย์อย่างไม่ละสายตา จากนั้นก็หมุนตัวกลับ วิ่งทะลุพุ่มไม้และตรงขึ้นบนเขาทันที

อาจารย์ไม่ยอมแพ้ ยังคงวิ่งตามขึ้นไป

ตอนแรกผมก็คิดจะไล่ตามไป แต่พึ่งตามไปได้ไม่กี่ก้าว อาจารย์กลับพูดว่า “เสี่ยวฝาน แกพาวิญญาณของยายหนิวกลับไปก่อน ไอ้เดรัจฉานนั้นบาดเจ็บ แค่อาจารย์คนเดียวก็พอแล้ว!”

หลังจากพูดจบ ร่างของอาจารย์ก็หายแวบ เข้าไปในพุ่มไม้ทันที

เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ผมก็หันไปมองพื้นที่ที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ยายหนิวจับที่ขาของตัวเอง และร้องไห้ “ฮือฮือฮือ” ออกมาอย่างต่อเนื่อง

แม้หมาชั่วนั่นจะร้ายกาจ แต่เมื่อโดนยันต์ของอาจารย์เข้าไป ก็ถือว่ามาถึงจุดสิ้นสุดของมันแล้ว

 

อาจารย์แค่คนเดียวก็น่าจะสามารถจัดการได้ ดังนั้นผมจึงไม่ตามไป แต่หันหลังไปหาวิญญาณของยายหนิว

เมื่อผมมาถึงด้านหน้าของยายหนิว ก็พบว่าถึงย่าหนิวจะเป็นผี แต่ตอนนี้เท้าทั้งสองข้างของเธอ กลับเหมือนมีเลือดไหลนองออกมา แต่มันไม่ใช่เลือด

“ยาย ยังเดินไหวอยู่ไหมครับ” ผมพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว

“เจ้าหนู ฉันเดินไม่ไหวแล้ว แต่ฉันยังไม่อยากถูกเจ้าหมานั่นกิน ช่วยพาฉันกลับไปหน่อยนะ! ลูกชายของฉันจะต้องตอบแทนเธออย่างดีแน่!” คุณย่าหนิวพูดด้วยความเจ็บปวด

“ยายวางใจได้เลย ผมจะไปส่งยายเองครับ!” หลังจากพูดจบ ผมก็นั่งยองๆ ให้คุณยายขึ้นมาบนหลัง

ย่าหนิวขอบคุณผมอย่างมาก จากนั้นก็ขึ้นมาบนหลังของผม

 

บอกว่าผมเป็นคนดี จะแนะนำหลานสาวให้ผมเอาไปแต่งเมีย

ผมทำหน้าอึดอัดใจ มียัยมู่หลงเหยียนเจ้าอารมณ์อยู่ ผมจะกล้าแต่งเมียได้ยังไงละ

ผมหัวเราะแห้งๆ บอกกับยายว่า ขอบคุณครับ แต่ไม่เป็นไรดีกว่า

จากนั้นก็แบกยายแก่คนนี้ไว้บนหลัง เดินตรงกลับมายังงานศพ

เพราะยายคนนี้เป็นผี ดังนั้นจึงไม่มีน้ำหนักอะไร ผมรู้สึกเพียงแค่ว่าด้านหลังเย็นๆ และมีอะไรกำลังลอยอยู่เท่านั้น……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset