ศพ – ตอนที่ 86 จับวิญญาณ

ตอนที่ 86 จับวิญญาณ

ระหว่างทางกลับ ผมถามยายว่า ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น

ทำไมเธอถึงถูกหมาดำคาบไปที่เนินเขาได้

แถมเจ้าหมาตัวนั้นยังแปลกมากๆ ผมคิดว่ามันเป็นศัตรูของมู่หลงเหยียนและคนอื่นๆ เพราะสัญลักษณ์บนหน้าของวิญญาณตนนั้นมีความเกี่ยวข้องกัน

แต่ยายกลับบอกว่าเธอก็รู้สึกสับสนเช่นกัน

หลังจากตายในโรงพยาบาล  เธอก็ตามศพของเธอขึ้นรถกลับมาที่บ้าน

แต่ไม่สามารถพูดคุยและเจอกับคนในครอบครัวได้ เพราะไม่อยากให้คนในบ้านเสียใจ จึงยืนอยู่ที่หน้าประตู

แต่คิดไม่ถึง หลังจากเหลนสาวของเธอกลับมา เหลนกลับมองเห็นเธอ

 

เธอจึงพูดกับเหลนสองสามประโยค แต่ตอนที่หลานชายและภรรยาพาเหลนเข้ามาในงานศพ หมาดำตัวหนึ่งก็วิ่งออกมาจากสวนหย่อม

และเมื่อเจ้าหมาดำตัวนั้นเห็นเธอ ก็แสดงหน้าตาหิวกระหาย

ตอนนั้นเธอคิดจะวิ่งเข้าไปในงานศพ แต่วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ถูกหมาตัวนั้นกัดขา แล้วสุดท้ายก็ถูกดึงอย่างแรง ลากตัวเธอออกมาจากงานศพทันที

ส่วนเหลนสาว ก็บังเอิญเห็นฉากนี้เข้า

เมื่อได้ยินถึงจุดนี้ ผมก็ย้อนกลับไปคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้อย่างรวดเร็ว

เมื่อลองคิดดู ตอนที่เด็กคนนั้นมาถึง ตัวเองก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆและสายลมที่เยือกเย็น

 

ตอนนั้นผมยังไม่ได้คิดอะไร แต่เมื่อคิดย้อนไปดูเหมือนตอนนั้น เจ้าหมานั้นคงปรากฎตัว และเข้ามาฉุดกระชากตัวยายหนิวไปแน่

ไม่น่าแปลกใจเลยที่เด็กผู้หญิงคนนั้นจะหวาดกลัว ดูเหมือนที่เธอกลัวจะไม่ได้เป็นเพราะบรรยากาศของงานศพ แต่เพราะเห็นยายหนิวถูกหมาตัวนั้นคาบไปมากกว่า

นอกจากสิ่งนี้ ยายหนิวก็ไม่รู้จะเล่าอะไรให้ผมฟังอีก

เรื่องนี้จึงทำให้ผมเข้าใจเจ้าเดรัจฉานตัวนั้น แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลที่มากพอ

ตอนนี้ ผมได้เดินกลับเข้ามาในเขตของหมู่บ้านแล้ว

ระยะทางที่เดินมาก็ไม่ถือว่าไกลมาก ที่หน้าหมู่บ้านเองก็มีคนเดินผ่านไปมาไม่น้อย

 

แต่เมื่อคนพวกนี้เห็นผมงอตัว เดินเข้าไปในหมู่บ้าน พร้อมกับหันไปพูดกับข้างหลัง ก็เผยสีหน้าสงสัยออกมา

ขณะนั้นมีเด็กวัยรุ่นสองคนเมาเหล้าอยู่ เมื่อพวกเขาเห็นผมก็ด่าผมเป็นไอ้โง่ทันที

ผมถลึงตาใส่เจ้าเด็กสองคนนั้น อยากจะเปิดตาให้เจ้าสองคนนี้จริงๆ จะได้ทำให้พวกมันตกใจตายไปเลย

แต่เพราะช่วยคนเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นผมจึงไม่สนใจคนพวกนี้มากมัก

เมื่อเข้ามาในหมู่บ้าน ผมก็เดินมาถึงงานศพอย่างรวดเร็ว

ผมพึ่งเดินเข้ามาในบ้าน เถ้าแก่หนิวและญาติอีกสองสามคนก็เข้ามาล้อมรอบผมทันที

“ท่านนักพรตติง แม่ แม่ผมละ” เถ้าแก่หนิวพูดด้วยความร้อนใจ

 

ผมไม่ได้รีบตอบ แต่เดินตรงไปที่หน้าโต๊ะบูชา นำตัวยายหนิววางลง จากนั้นก็ประคองเธอให้นั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง

ยายหนิวพูดขอบคุณผม จากนั้นก็พยักหน้าให้เล็กน้อย แต่เธอไม่ได้พูดอะไรออกมา

ญาติสองสามคนที่อยู่ในบ้าน แสดงท่าทางแปลกใจกับการกระทำของผม

ในเวลาเดียวกัน ยายหนิวก็นั่งลงและสูดดมธูปที่โต๊ะบูชา ช่วงเวลานั้นควันธูปลอยมาที่ยายหนิวทันที

หลังจากนั้น เหตุการณ์แปลกๆก็เกิดขึ้น

ดูเหมือนเลือดเนื้อที่ขาของยายหนิว กลับเริ่มรักษาตัวเองอย่างน่าอัศจรรย์

 

เมื่อเถ้าแก่หนิวเห็นผมจ้องโต๊ะบูชาตาไม่กระพริบ จึงรู้สึกสงสัย เลยถามผมขึ้นมาอีกครั้ง “ท่านนักพรตติง คุณ คุณกำลังมองอะไรอยู่”

ตอนนี้ ผมจึงได้สติกลับมา จากนั้นก็พูดกับเถ้าแก่หนิวว่า “เอ่อท่านยายหนิว ท่านยายหนิวไม่เป็นอะไรแล้วครับ เมื่อกี้ถูกผมแบกกลับมาแล้ว!”

เมื่อเถ้าแก่หนิวและญาติอีกสองสามคนได้ยินผมพูดประโยคนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที

หันไปมองเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆตามสัญชาตญาณ แต่ก็เห็นความว่างเปล่า ไม่มีของอะไรวางอยู่เลยสักนิด

“ท่าน ท่านนักพรตติง พี่ พี่สามีของฉันอยู่ อยู่ไหน” ทันใดนั้น ยายวัย 50 ปีก็พูดกับผมด้วยความตกใจ ในเวลาเดียวกันก็หันไปมองเก้าอี้ที่ยายหนิวนั่งอยู่

 

ผมไม่ได้พูดอะไร แค่พยักหน้ารับเท่านั้น

แต่ตอนที่พยักหน้า สีหน้าของเถ้าแก่หนิวกลับเปลี่ยนไป “บึก” เขาคุกเข่าลงที่ด้านหน้าของยายหนิว

“แม่ แม่สบายดีไหม” เถ้าแก่หนิวพูดพร้อมน้ำตา แทบพูดออกมาไม่เป็นคำ

ตอนนี้ยายหนิวผู้เป็นแม่เริ่มกระวนกระวาย อยากจะเข้าไปประคองลูกของตัวเองขึ้นมา

แต่มองมือทั้งสองข้างจะแตะตัวเถ้าแก่หนิวได้ยังไง เธอจึงมองเถ้าแก่หนิวที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น

จนยายหนิวเองก็แทบจะอดร้องไห้ตามไม่ได้

 

ในเวลาเดียวกันแม่ของเถ้าแก่หนิวก็หันมา มองผมด้วยสายตาอ้อนวอน บอกว่าก่อนที่จะจากไป ขอบอกลาลูกชายอีกสักครั้งได้ไหม

แต่ทันใดนั้นเถ้าแก่หนิวก็หันมาเช่นกัน เขาเข้ามาคว้าต้นขาของผมเอาไว้ “ท่านนักพรตติง ช่วยผม ช่วยเปิดตาให้ผมได้ไหม ผมอยากเห็นหน้าแม่อีกสักครั้ง ผมอยากเห็นแม่ของผม……”

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็ทำหน้าลำบากใจ

ผมไม่กล้าทำเรื่องนี้จริงๆ มันเหมือนกับเหตุการณ์ที่คุณเหวินและภรรยาคิดถึงคุณหนูเหวิน

มีบางเรื่องที่ทำผิดพลาดเพียงครั้งเดียว ก็ไม่มีโอกาสกลับไปแก้ไขมันได้แล้ว

 

ผมอึดอัดใจมาก อยากจะประคองเถ้าแก่หนิวขึ้นมา แต่ตัวเถ้าแก่หนิวหนักอึ้งไม่ยอมขยับตัวไปไหน

เมื่อเห็นเขาเป็นแบบนี้ ผมเองก็ลำบากใจเข้าไปใหญ่

จากนั้นผมก็พูดกับเถ้าแก่หนิวว่า “เถ้าแก่หนิว คนกับผีต่างกัน มีอะไร ก็พูดออกมาเถอะ! ยายหนิวได้ยิน! แต่ผมไม่สามารถเปิดตาให้คุณได้!”

เมื่อเถ้าแก่หนิวได้ยินแบบนี้ เขากลับพูดออกมาทันที “หนึ่งล้าน ผมให้หนึ่งล้าน ขอแค่ให้ผมได้เห็นแม่ 1 นาที!”

หนึ่งล้าน สำหรับผมแล้ว เป็นตัวเลขที่ได้แต่ฝันถึง ตั้งแต่โตมาผมก็ยังไม่เคยเห็นเงินจำนวนมากขนาดนั้นเลยสักครั้ง

เถ้าแก่หนิวเห็นผมลังเล จึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง “สามล้าน แค่นาทีเดียว ท่านนักพรตติง สามล้าน……”

 

สามล้าน นี่มันเงินจำนวนมหาศาลขนาดไหนนะ

ผมสั่นไปทั้งตัว ช่วงเวลานั้นถึงกับต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

ถ้าพูดจริงๆ ผมตื่นเต้นมาก

แต่ตอนนั้นเอง จู่ๆที่หน้าประตูก็มีเสียงของอาจารย์ดังขึ้น “ฝันอยากเห็นวิญญาณในยามค่ำคืน การทำแบบนั้นมันไม่ได้แปลว่าถูกเสมอไป เถ้าแก่หนิว คุณจะทำแบบนี้ไปทำไม”

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ผมก็หันไปมองตามสัญชาตญาณ

ตอนนี้เห็นภาพอาจารย์กำลังอยู่ที่หน้าประตูด้วยสีหน้าลำบากใจ ชุดที่ใส่ขาดวิ้นไปบ้าง บนใบหน้ายังมีรอยขีดข่วนหนึ่งรอย

 

แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ ในมือข้างหนึ่งของอาจารย์ กำลังลากขาข้างหนึ่งของหมา

และที่พื้น ก็มีร่างของหมาดำที่พวกเราได้สู้เมื่อก่อนหน้านี้อยู่ด้วย

ตอนนี้มันได้กลายเป็นแค่ซากไร้วิญญาณอยู่ที่พื้น ส่วนลูกกะตาที่โผล่ออกมาที่หน้าผาก ก็ได้หายไปแล้ว

และร่างกายของมัน กลับดูเล็กกว่าก่อนหน้านี้ตั้งหลายเท่า จนขนาดลดลงเหมือนกับหมาจรจัดทั่วไป

“อาจารย์!” ผมตะโกนออกไปตามสัญชาตญาณ

อาจารย์พยักหน้าให้ผมเล็กน้อย “เสี่ยวฝาน หาเชือกแดงมามัดเจ้าเดรัจฉานนี้ก่อน! แล้วค่อยใช้ด้ายดำมัดเท้าของมัน”

หลังจากพูดจบ เขาก็ออกแรงที่มือ ลากเจ้าหมานั้นเข้ามา มันยังส่งเสียงร้อง “เอ๋งเอ๋ง” ด้วยความเจ็บปวด

 

คนอื่นๆมองไม่เห็น เพียงเห็นแค่การกระทำของอาจารย์เท่านั้น จึงแสดงสีหน้าสงสัยออกมา

เถ้าแก่หนิวกลับไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ เมื่อเห็นอาจารย์กลับมา ก็หันไปขอร้องอาจารย์ทันที

แต่อาจารย์กลับตอบเร็วมากว่า “ ไม่ได้ ”

อย่างมากก็คือช่วยเป็นตัวแทนบอกสิ่งที่ยายหนิวพูดกับเถ้าแก่หนิวเท่านั้น ถ้าอยากเจอหน้า นั่นคงเป็นไปไม่ได้

จากสายตาของคนนอก นี่คงไม่ใกล้เคียงกับความเป็นมนุษย์ แต่ข้อห้ามและกฎเป็นแบบนี้ ใครก็ไม่อาจทำลายได้

ในฐานะที่พวกเราเป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย มันจึงเป็นกฎที่ควรปฏิบัติตามอีกข้อหนึ่ง

 

หรือกฎนี้อาจสร้างมาเพื่อให้คนรู้ว่า ถ้าตอนมีชีวิตไม่เห็นเวลาเป็นสิ่งมีค่า เมื่อตายไปอยากทำอะไรโน้นนี่ ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว

ผมไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ ทำตามที่อาจารย์บอก หาเชือกแดง นำมันไปมัดตัวหมาดำเอาไว้

เจ้าหมาดำเหมือนกับตายไปแล้ว มันอ่อนแอมาก แทบไม่ขยับตัวเลยสักนิด

แต่ขณะที่ผมกำลังใช้ด้ายดำมัดขาทั้งสี่ข้างของมันเอาไว้ ทันใดนั้นผมก็พบว่า เมื่อท้องของหมาดำถูกด้ายดำรัดไว้ มันก็มีลวดลายบางอย่างปรากฎออกมา

ผมคิดว่ามีบางอย่างแปลกๆ จึงใช้มือแหวกขนสีดำขึ้น

 

ทันใดนั้นผมก็พบว่า ลวดลายนั้น เหมือนกับสัญลักษณ์บนแผ่นหินที่ผนึกโจวยุนไว้ ภาพผีแยกเขี้ยวสามตา เหมือนกันแบบไม่มีผิดเพี้ยน

แต่สิ่งที่ต่างออกไปก็คือ ที่คางของผี มีอักษรคำว่า “สัตว์” ของสัตว์ร้ายเพิ่มขึ้นมาหนึ่งตัว  ……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset