ศพ – ตอนที่ 87 สัญลักษณ์ผี

ตอนที่ 87 สัญลักษณ์ผี

เมื่อเห็นท้องของหมาตัวนี้ มีสัญลักษณ์หน้าของผีตัวนั้น ผมก็นิ่งอึ้งในทันที

วินาทีแรกที่เห็นตาที่สามของหมาตัวนั้น ผมยังแค่ลองเดา

ว่าอาจเป็นศัตรูของมู่หลงเหยียนและคนอื่นๆ หรือมีความเกี่ยวข้องกันเท่านั้น

แต่เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็มั่นได้ใจทันที ว่าเจ้าหมาดำตัวนี้จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกันแน่ๆ

แถมที่นี่ยังออกมาปรากฎตัวแค่ตัวเดียว บางทีอาจมีตัวที่สองและสาม หรือมากกว่านั้นก็ได้

แต่ตรงคางของสัญลักษณ์ผีกลับมีอักษรคำว่า “สัตว์” อยู่ จึงทำให้ผมไม่ค่อยเข้าใจ

นี่มันหมายความว่ายังไง สัตว์ชนิดไหน รูปร่างยังไง หรือจะหมายถึงอย่างอื่น

 

แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแค่มองสำรวจหมาตัวนี้อีกสองสามครั้งเท่านั้น

เจ้าเดรัจฉานนี้พูดไม่ได้เหมือนคน จะถามก็ถามไม่ได้

ถ้าอยากจะเข้าใจมากกว่านี้ ตอนนี้ก็ทำได้แค่จับตัวมันเอาไว้เท่านั้น

รอให้จัดการเรื่องนี้เสร็จก่อน ค่อยคิดหาวิธีดีๆ อาจค้นเจอเบาะแสที่เกี่ยวกับสัญลักษณ์ผีสามตาจากบนตัวเจ้าเดรัจฉานนี่ก็ได้

แต่ก็ไม่เข้าใจว่าอาจารย์คิดอะไรอยู่ ทำไมต้องพาเจ้าเดรัจฉานนี้กลับมาด้วย หรือเขาจะเห็นสัญลักษณ์ผีสามตาที่แปลกประหลาดนี่แล้ว

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ผมก็หันหน้าไปมองอาจารย์ทันที

 

ตอนนี้อาจารย์กำลังเป็นคนส่งต่อคำพูดของยายหนิวให้เถ้าแก่หนิว แม้สองคนจะกำลังมองหน้ากัน

แต่มีพลังหยินหยางที่ต่าง จึงไม่สามารถคุยกันได้อีก

เมื่อเห็นว่าอาจารย์กำลังยุ่ง ผมจึงนั่งเล่นโทรศัพท์ข้างๆหมา

หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง อาจารย์ก็เดินเข้ามา

และภายในงานศพ ก็เหลือคนอีกแค่ไม่กี่คน

เถ้าแก่หนิวนั่งคุกเข่าเผาเงินกระดาษให้ยายหนิวที่หน้าป้ายวิญญาณ ปากของเขายังคงพูดออกมาเบาๆ แต่พูดเรื่องที่เขาเท่านั่นที่เข้าใจ

เมื่อผมเห็นอาจารย์เดินเข้ามา ก็พูดกับอาจารย์เบาๆ “อาจารย์ ทำไมเอาหมาตายซากนี่กลับมาด้วยละ”

 

อาจารย์ได้ยินที่ผมถาม จึงทำท่าทางลับๆล่อๆ

จากนั้นก็พูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน ดูเหมือนเรื่องนี้จะไม่ธรรมดาแล้ว นี่ไม่ใช่ทางที่วิญญาณหมาจะเดินผ่าน เรื่องนี้จะต้องมีเบื้องหลังอยู่แน่!”

เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ในใจของผมก็มีเสียงดัง “กึก”

หรือว่า อาจารย์จะรู้เรื่องสัญลักษณ์ผีสามตา

ไม่รอให้ผมได้พูดอีกครั้ง อาจารย์พูดกับผมต่อทันที “เสี่ยวฝาน เมื่อกี้อาจารย์เห็นสัญลักษณ์รูปหน้าผี ที่ท้องของเจ้าเดรัจฉานนี้ มันเหมือนกับหน้าของผีชั่วที่ป่าช้าเก่าสุดๆ ฉันว่าบนตัวเจ้าเดรัจฉานนี้จะต้องมีความลับอยู่แน่ ดังนั้นเลยไว้ชีวิตมัน เผื่อจะได้รู้ความลับจากตัวมันมากกว่านี้บ้าง”

 

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ อาจารย์เห็นสัญลักษณ์หน้าผีแล้วจริงๆ

ในใจของผมกำลังมีปมที่ผูกติดกันอยู่นิดหน่อย อยากจะบอกเรื่องที่เกี่ยวกับสัญลักษณ์หน้าผีนั้นกับอาจารย์

แต่มู่หลงเหียนพูดกำชับผมเอาไว้ ว่าให้เก็บเป็นความลับ

ช่วงเวลานั้นผมจึงยัดเอาไว้ในท้อง ทำได้เพียงรอดูสถานการณ์เท่านั้น

หรือไม่ก็รอกลับไปที่ตำบล แล้วค่อยไปถามมู่หลงเหยียนด้วยตัวเองดีกว่า

ดังนั้นผมจึงถามอาจารย์ว่า “อาจารย์ ไว้ชีวิตมันแล้ว ต่อไปจะทำยังไงต่อครับ”

อาจารย์เหลือบมองหมาตัวนั้น บอกว่าทำพิธีให้ยายหนิวเสร็จแล้ว เนื่องจากเป็นการตายเพราะแก่ชรา พรุ่งนี้เป็นวันดี ฉันปรึกษากับเถ้าแก่หนิวเรียบร้อยแล้ว ว่าพรุ่งนี้จะทำพิธีฝังศพ……

 

ยังบอกว่าหลังจากส่งวิญญาณของยายหนิวเรียบร้อย ค่อยเอาเจ้านี้กลับไป

ให้นักพรตตู๋และเหล่าฉินดู พวกเขาสองคนมีประสบการณ์มากมาย อาจบอกได้ว่าเจ้าสัญลักษณ์นี่คืออะไร!

ผมละอยากบอกอาจารย์จริงๆ ว่าเจ้าสัญลักษณ์นี่ไม่ใช่ของธรรมดาๆ

เจ้าสัญลักษณ์นี่แสดงถึงพลัง แม้แต่มู่หลงเหยียนและโจวหยุนยังไม่มีทางไปผุดไปเกิดได้ มันอันตรายสุดๆ

แต่ผมก็สัญญากับมู่หลงเหยียนเอาไว้ ว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้ออกมาง่ายๆ ในช่วงเวลานี้จึงทำให้ผมรู้สึกอึดอัดใจมาก

 

อาจารย์เลี้ยงผมมาตั้งแต่เล็กจนโต เมื่อเห็นผมตาลอย จึงมองออกว่าผมมีเรื่องบางอย่างปิดปัง

จึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน แกรู้อะไรใช่ไหม”

เมื่อได้ยินอาจารย์พูด ผมก็กัดฟัน และพูดกับอาจารย์ว่า “อาจารย์ เจ้าสัญลักษณ์นี่มันอันตรายมาก ทางที่ดีที่สุดอย่าไปแตะมันมั่วๆจะดีกว่า!”

ผมพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมาก เมื่ออาจารย์ได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็เงียบไป

แต่ผมยังพูดต่อ “อาจารย์ มันอันตรายมากๆ ผมรู้แค่นี้แหละ ที่สามารบอกได้ก็มีเท่านี้ เรื่องอื่นผมบอกไม่ได้!”

เมื่ออาจารย์ได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็อึ้งไปในทันที จากนั้นก็จ้องผม

 

ดูเหมือนเขาจะอยากพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่พูดออกมา

สุดท้ายเขาก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย ดูเหมือนจะรู้ว่าความลับของผมมาจากที่ไหน

“ชั่งเถอะ! อาจารย์จะไม่ถามมาก แต่สิ่งที่อาจารย์ต้องพูดคือ ในเมื่อเลือกเส้นทางนี้แล้ว เป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย ไม่ว่าจะอันตรายขนาดไหน ตราบใดที่มีการทำลายกฎ พวกเราก็ต้องจัดการมันให้ถึงที่สุด!”

เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนี้ ใจของผมก็เริ่มสั่น

ในใจของผม สัญลักษณ์ผีสามตาที่ยิ้มก็เหมือนไม่ยิ้มนั้น ก็ดูน่าสงสัยมากเช่นกัน

และผมเองก็อยากรู้ว่ามันมีพลังอะไรกันแน่ เบื้องหลังของมันมีคนชั่วขนาดไหนกันแน่ที่ทำขึ้นมา

 

อาจารย์ได้แสดงท่าทีออกมาอย่างชัดเจน นั่นคือไม่มีอะไรให้กังวลอีกแล้ว

นอกจากไม่สามารถเล่าเรื่องของมู่หลงเหยียนให้อาจารย์ฟังได้แล้ว แต่ผมก็ยังสามาถเข้าร่วมกับอาจารย์ได้

ผมเองก็อยากเริ่มสืบจากสัญลักษณ์นั้น หน้าผีนั่นมีความลับอะไรซ่อนอยู่ และอยากใช้มันเป็นตัวช่วยมู่หลงเหยียนทางอ้อมด้วย

จากนั้น อาจารย์ก็ไม่ถามผมอีก

เจ้าเดรัจฉานมันพูดไม่ได้เหมือนคน ตอนนี้จึงทำได้เพียงจับตัวมันเอาไว้เท่านั้น รอให้กลับไปค่อยปรึกษากับท่านนักพรตตู๋และคนอื่นๆ ว่าสามารถใช้มัน หาเบาะแสอะไรเจอได้ไหม

 

คืนนี้ เถ้าแก่หนิวและญาติอีกสองสามคนอยู่เฝ้าศพกับพวกเราด้วย

ระหว่างนั้นพวกเราเองก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร นอกจากผมและอาจารย์จะสังเกตเจ้าสัตว์ร้ายนั่นเป็นครั้งคราวแล้ว ก็ไม่ได้ทำเรื่องอื่นอีก

พวกเราเฝ้ากันอย่างสะลึมสะลือจนมาถึงเช้าวันรุ่งขึ้น เพราะวันนี้เป็นวันฝังศพ ดังนั้นตอนหกโมงเช้า พวกเราจึงนำศพของยายหนิวขึ้นรถ ขับตรงไปยังเมรุที่อยู่ใกล้ๆ

ส่วนเจ้าหมาตัวนั้น ถูกอาจารย์ยัดใส่กระเป๋าสีเหลืองเรียบร้อยแล้ว

ตอนเผาศพ ผมได้หลับไปแป๊บหนึ่ง

 

เมื่อใกล้ถึงตอนเที่ยง เถ้ากระดูกของยายหนิวก็ถูกส่งไปที่สุสานจินชาน

ที่นี่แทบจะเป็นสถานที่ที่เป็นมาตราฐานของคนมีเงิน เถ้ากระดูกของคุณหนูเหวินเองก็ถูกฝังไว้ที่สุสานแห่งนี้

อาจารย์และผมทำพิธีปิดผนึกโลงของยายหนิวที่นี่ หลังจากฝังเถ้ากระดูกของยายหนิวเรียบร้อย งานของพวกเราก็ถือว่าเสร็จสิ้น

เมื่อฝังเถ้ากระดูกเรียบร้อย ยายหนิวก็สามารถจากไปได้อย่างสงบ และไม่ต้องกลัวว่าจะมีสัตว์ร้ายมากัดกินวิญญาณของเธออีกแล้ว

ดังนั้นงานของพวกเราก็ถือว่ามาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว และเถ้าแก่หนิวยังปฏิบัติต่อผมและอาจารย์สุภาพมากๆ เขาให้ซองแดงซองใหญ่กับพวกเรา

 

เมื่อรับซองแดงจากเถ้าแก่หนิวมาแล้ว ผมกับอาจารย์ก็ลุกขึ้นและบอกลาเขาทันที

แต่ว่าผมยังไม่ได้ตามอาจารย์กลับไปที่ตำบลชิงฉือ เพราะก่อนหน้านี้ ผมและเฟิงเฉ่วหานได้นัดกันเอาไว้แล้ว ว่าจะไปมหาลัยของหยางเฉ่ว เพื่อเจอกับเธออีกสักครั้ง

ดังนั้นหลังจากออกมาจากสุสาน ผมก็บอกลาอาจารย์ บอกว่ายังมีธุระอีกนิดหน่อย พรุ่งนี้ถึงจะกลับไป

อาจารย์ไม่ได้ถามอะไรมาก ยิ่งไปกว่าเขานั้นยังไม่สนใจผมอีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังให้เงินผมอีก 500 หยวน แถมยันต์อีกสองสามแผ่น และบอกให้ผมระวังตัวให้ดีๆ

หลังแยกจากอาจารย์ ผมก็โทรศัพท์ไปหาเฟิงเฉ่วหานทันที

ผลลัพธ์ตอนสายเจ้าเด็กนั้น ก็ไปอยู่แถวๆมหาลัยของหยางเฉ่วเรียบร้อยแล้ว

หลังจากรู้ตำแหน่งของเฟิงเฉ่วหาน ผมก็รีบไปมหาวิทยาลัยศิลปะที่อยู่ทางด้านทิศตะวันออกของเมืองทันที……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset