ศพ – ตอนที่ 92 ตามหาผี

ตอนที่ 92 ตามหาผี

หลังจากดาราอู๋ฮุ่ยฮุ่ยจากไป ที่นี่ก็เหลือเพียงพวกเราสามคนกับหนึ่งร่างที่ไร้สติ

ผมมองร่างที่นอนสลบอยู่ไม่ไกล ตาหัวโล้นที่หน้าอาบเลือด จากนั้นผมคิดจะเดินออกไป

แต่ทันใดนั้นหยางเฉ่วที่อยู่ข้างๆก็พูดว่า “ จะให้มันนอนอยู่ที่นี่แบบนี้เหรอ ถ้าเกิดอะไรขึ้น พวกเราสามคนก็มีส่วนผิดนะ ! ”

ผมกลับเงียบไป ผู้ชายชั่วๆแบบนี้ ฉันยังต้องไปดูแลมันอีกเหรอ

เฟิงเฉ่วหานพูดด้วยความเย็นชา “ ตายไปซะก็ดี ! ”

หยางเฉ่วกลับส่ายหน้า “ ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่ถ้าเจ้านี้ตายไปจริงๆ มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่นะ ! ”

 

เมื่อได้ยินหยางเฉ่วพูดแบบนั้น ผมและเฟิงเฉ่วหานก็เงียบทันที

พูดตามเป็นจริงแล้ว ผู้ชายชั่วแบบนี้สมควรตายจริงๆ

ตายไปหนึ่งคนก็ช่วยลด คนที่จะไปทำร้ายคนอื่นได้หนึ่งคน

แต่พวกเราทำงานในสายนี้ เดิมทีก็ไม่มีอำนาจไปยุ่งกับความเป็นความตายของคนอยู่แล้ว โดยเฉพาะคนธรรมดา

และเมื่อเห็นเจ้านี้เริ่มหายใจอ่อนลงเรื่อยๆ เลือดไหลจากจมูกไม่หยุด ไม่แน่อาจชีวิตสั้นกลายเป็นผีก็ได้ แล้วถ้าตอนนี้ทิ้งมันไปจริงๆ พวกเราสามคนเองก็อาจจะต้องติดคุก

หยางเฉ่วเห็นผมและเฟิงเฉ่วหานไม่พูด จึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ออกมา และโทรเรียกรถพยาบาลทันที

 

หลังจากทำเรื่องพวกนี้เสร็จ พวกเราสามคนก็ไม่อยู่ที่นี่ต่อ รีบเดินออกไปจากที่นี่ทันที

เมื่อมองดูเวลา ก็พบว่าตอนนี้ใกล้จะห้าทุ่มแล้ว ภายในมหาลัยคงไม่มีคนแล้ว การเข้าไปตอนนี้ จึงถือว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด

ดังนั้น พวกเราสามคนจึงตัดสินใจเดินออกมาจากสวนสาธารณะเล็กๆแห่งนี้ และตรงไปที่มหาลัยชิงชานทันที

เมื่อพวกเรามาถึงประตูมหาลัย ยามที่เฝ้าประตูคนนั้นก็ไม่มองพวกเราเลยสักนิด แถมยังยอมปล่อยให้พวกเราผ่านเข้าไปอย่างง่ายดายอีกด้วย

ตอนกลางคืนในมหาลัย อากาศเย็นเป็นพิเศษ และยิ่งเข้าไปใกล้ตึกเรียนเหล่านั้น ก็ยิ่งเย็นขึ้นเรื่อยๆ

 

ตอนที่พวกเราข้ามสนามกีฬา เดินผ่านตึกเรียน จนมาถึงตึกร้างหลังนั้น ก็รู้สึกว่าอุณหภูมิของที่นี่ลดลงอีกหลายองศา

และตึกร้างตรงหน้า ก็ยังดูมืดเป็นพิเศษด้วย

ผมหายใจเข้าลึกๆ และพูดออกมาตรงๆ “ พวกเราเปิดตากันก่อนเถอะ! ไม่งั้นอาจจะถูกซุ่มโจมตีได้ ”

ทุกคนพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นผมและเฟิงเฉ่วหานก็หยิบขวดเล็กๆออกมาจากกระเป๋า และใช้น้ำตาวัวเปิดตา

แต่หยางเฉ่วที่ยืนอยู่ข้างๆพวกเรา กลับหยิบยันต์เหลืองออกมาหนึ่งแผ่น

 

ไม่รอให้พวกเราถามอะไร ผมก็เห็นหยางเฉ่วเสกคาถาทันที จากนั้นก็พูดดังๆว่า “ ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง เปิด ! ”

เสียงพึ่งขาดลง ยันต์ในมือของเธอก็ระเบิดดัง “ ปัง ” เริ่มลุกไหม้ และกลายเป็นผุยผงทันที

จากนั้น ผมก็เห็นม่านตาของหยางเฉ่วขยายใหญ่ และหดเล็กลงทันที

ช่วงเวลานั้นผมมองเห็นไม่ค่อยชัด เลยบอกให้หยางเฉ่วเปิดตา แต่ทำไมเธอถึงเสกคาถาละ

ผลลัพธ์เฟิงเฉ่วหานที่ยืนอยู่ข้างๆผม กลับพูดขึ้นมาด้วยท่าทางตกใจ “ นี่ นี่หรือว่า จะเป็นคาถาเปิดตา ”

เมื่อได้ยินคำว่า “ คาถาเปิดตา ” ใจของผมก็มีเสียงดัง “ กึก ” หันไปมองหยางเฉ่วด้วยความตกใจ

แค่ได้ยินชื่อก็รู้ว่า มันคือคาถาที่ใช้เปิดตา

 

ก่อนหน้านี้ ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน ว่ามีคาถาที่ใช้เปิดตาได้ด้วย

จากความรู้ของผม มีแค่เพียงการใช้น้ำตาพิเศษของวัวและใบส้มโอเท่านั้น

หยางเฉ่วพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “ อือ ใช่คาถาเปิดตา ! ทำไม ร้ายกาจมากละซิ ”

ขณะที่พูด หยางเฉ่วก็ยิ้มหยีตาให้พวกเราทันที

เฟิงเฉ่วหานดูตกใจมาก เขาหายใจเข้าลึกๆและพูดว่า “ คิดไม่ถึงว่าแม้แต่คาถาเปิดตาเธอก็ทำได้ เก่งสุดๆเลย ! ”

“ อย่าพูดมากอยู่เลย ฉันพกยันต์เปิดตามาด้วยน่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะให้พวกนายสักสองสามแผ่นนะ น้ำตานี่ทั้งเหม็นทั้งเหนียว ฉันใช้เสร็จทีไรก็อยากอ้วกทุกที ! ” หยางเฉ่วพูดอย่างเปิดเผย

 

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ผมและเฟิงเฉ่วหานก็ทำหน้าลำบากใจเล็กน้อย

คำพูดนี้ไม่ใช่เรื่องโกหก น้ำตาพิเศษของวัวถึงจะสามารถลดพลังไฟในตาของคนได้ และทำให้พวกเรามองเห็นวิญญาณที่ล่องลอยไปมา

แต่กลิ่นของมันก็ไม่โอเคจริงๆนั่นแหละ มันเหม็นมากๆ ทุกครั้งที่เช็ดมันออกก็จะได้กลิ่นเหมือนเลยละ

ถ้ามีโอกาส ได้เรียนคาถาเปิดตาจากหยางเฉ่วก็คงดีไม่น้อย

ไม่อย่างนั้นพวกเราคงต้องทุกข์ทรมานทุกครั้งที่เปิดตา และวิธีนี้ก็ยุ่งยาก เพราะพกพาไม่ค่อยสะดวก

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ผมและเฟิงเฉ่วหานก็ได้แต่กระพริบตาอย่างเงียบๆ

 

ขณะที่เปลือกตากำลังรู้สึกเย็น ผมยังมองเห็นรอบๆสลัวๆ แต่เพียงชั่วพริบตาทุกอย่างก็สว่างขึ้นมาทันที

แต่ตรงหน้าของพวกเรากลับมีหมอกหนาเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง นอกจากนี้ในหมอกพวกนี้ ยังมีไอสีเหลืองอ่อนปะปนอยู่ด้วย

หมอกพวกนั้นคือพลังหยินที่ควบแน่น จนกลายเป็นหมอกในเวลานี้ เมื่อเห็นสิ่งนี้จึงรู้ว่าผีผู้หญิงในตึกร้ายกาจถึงขนาดนี้

เฟิงเฉ่วหานที่อยู่ข้างๆก็พูดว่า “ ผีตัวเดียวมีพลังหยินแรงขนาดนี้ เกรงว่าพลังของเจ้านี้ต้องเยอะมากแน่ๆ เมื่อทุกคนเข้าไปแล้ว คุยกันได้ก็คุย พยายามอย่าใช้กำลัง ไม่อย่างนั้นจะต้องเจอศึกใหญ่แน่ ”

ผมและหยางเฉ่วพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เดินเข้าไปในตึกร้างพร้อมกัน

 

แต่ขณะที่พวกเราเดินเข้ามาในตึกเพียงหนึ่งก้าว ทันใดนั้นลมกระโชกแรงก็พัดเข้ามา อากาศร้อนอบอ้าวในฤดูร้อน จู่ๆก็เย็นยะเยือกขึ้นมาทันที

พวกเราขนลุกไปทั้งตัว อดไม่ได้ที่จะเริ่มหนาวสั่น

มองไปรอบๆด้วยความตกใจ แต่ก็ไม่เห็นอะไร จึงเริ่มเดินตรงไปชั้นบน

ตึกร้างหลังนี้มีทั้งหมดเก้าชั้น ชั้นล่างสองสามชั้นชื้นมาก จนมีพืชขึ้นรกเป็นจำนวนมาก ทำให้บรรยากาศดูรกร้างไปเลยทีเดียว

เพราะไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งนั้นอยู่ที่ไหน แต่สิ่งที่พวกเรามั่นใจในตอนนี้คือ ยิ่งเดินขึ้นไป ก็ยิ่งรู้สึกถึงพลังหยินที่เข้มข้น

 

เจ้าสิ่งนั้นจะต้องอยู่ในห้องใดห้องหนึ่งของตึกนี้แน่ พวกเราระมัดระวังมาก และเดินกันช้ามากๆ

ตั้งแต่ชั้นแรกจนถึงชั้นห้า พวกเราก็ตรวจดูแต่ละห้องอย่างละเอียด

หลังจากตรวจมาจนถึงชั้นแปด พวกเราก็ยังไม่พบร่องรอยใดๆ

ตอนนี้พวกเรายืนหยุดอยู่ที่หน้าบันได มองขึ้นไปบนบันไดที่มืดมิด จากนั้นเสียงผมก็ดังขึ้น “ ทุกคนเตรียมพร้อมไว้ เจ้าสิ่งนั้นต้องอยู่ชั้นบนนี้แน่ ตั้งสติกันให้ดีละ ! ”

ท่าทางของทุกคนดูจริงจังขึ้นมาทันที จากนั้นพวกเราก็เดินขึ้นไปบนชั้นเก้า

ยิ่งเดินขึ้นไป รอบๆก็ยิ่งเย็นขึ้นเรื่อยๆ

 

โดยเฉพาะเมื่อพวกเราขึ้นมาถึงชั้นเก้า ก็พบว่าที่นี่มีพลังหยินเข้มข้นเป็นพิเศษ แบบที่เรียกได้ว่าเกือบควบแน่นกัน จนกลายเป็นหยดน้ำเลยก็ว่าได้

แต่พวกเรายังไม่เห็นเจ้าสิ่งนั้น จึงทำได้เพียงเดินเข้าไปตรวจห้องทุกห้องที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น

เพราะห้องพวกนี้ต่างถูกสร้างมาเพื่อใช้เป็นห้องเรียน และด้านในยังว่างเปล่า ดังนั้นจึงมองเพียงครั้งเดียว ก็มั่นใจในทันทีว่ามีเจ้าสิ่งนั้นอยู่รึเปล่า

ทุกคนต่างใจเต้นตึกๆ มองไปรอบๆด้วยความหวาดระแวง

แม้แต่ต้นหญ้าขยับ ก็ยังทำให้พวกเราหวาดกลัวจนสุดขีดได้

ห้องแรก ห้องสอง ห้องสาม หลังจากพวกเราค้นหามาสุดทางก็มาถึงหกห้องติดกัน แต่ก็ยังรู้สึกใจสั่น

 

เพราะบนชั้นนี้ยังมีห้องเรียนเหลืออยู่ห้องหนึ่ง ถ้าพูดอีกอย่างก็คือ เจ้าสิ่งนั้น น่าจะอยู่ในห้องเรียนนั้นแน่

พวกเราสามคนมองหน้ากัน ต่างอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ

ผมกดความกลัวลง จากนั้นผมก็เดินอยู่หน้าสุด ค่อยๆเข้าใกล้ห้องเรียนห้องนั้นอย่างช้าๆ

แต่หลังจากพวกเรามาถึงประตูห้องเรียนห้องนั้น ก็ต้องพบกับสิ่งที่น่าตกใจ ห้องเรียนห้องนี้ไม่เหมือนกับห้องอื่นๆ

เพราะห้องเรียนห้องนี้มีประตูติดไว้ เป็นสีแดงสด มันจึงทำให้พวกเรารู้สึกแปลกใจมาก

 

ตึกนี้ร้างไปแล้วชัดๆ แถมทั้งตึกนี้ กลับมีเพียงแค่ห้องนี้ห้องเดียวเนี่ยนะที่มีประตู

ผมสงสัยในใจ แต่ตอนนี้จะมาคิดมากไม่ได้ ยัยผีนั้นจะต้องอยู่ในห้องนี้แน่นอน

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ใช้มือจับไปที่ประตู

แต่ใครจะรู้ ผมยังไม่ได้ใช้แรง จู่ๆประตูบานนี้ก็เปิดออก

เพราะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ชื้นมาเป็นเวลาหลายปี ประตูไม้จึงผุพัง

วินาทีที่เปิดออก มันก็ส่งเสียง “ แอ๊ด ” ออกมาเบาๆ

ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ แค่เสียง “ แอ๊ด ” เบาๆ ก็ทำให้พวกเราสามคนเสียสติ หัวใจเต้นแรงไปในทันที

 

ในเมื่อมาแล้ว จะกลัวไปก็เท่านั้น

ดังนั้นผมจึงกัดฟัน ทำเป็นใจกล้า ใช้เท้าถีบประตูห้องทันที

ทันใดนั้น “ ปัง ” ประตูห้องก็ได้กระแทกเข้ากับผนัง

วินาทีนั้นผมหยิบยันต์ออกมา กระโดดเข้าไปทันที

เฟิงเฉ่วหานและหยางเฉ่วที่เดินตามมาข้างหลังไม่กล้าชักช้า รีบเดินตามผมเข้ามาทันที

แต่หลังจากที่พวกเราเข้ามาในห้อง ก็รู้สึกมึนงง และนิ่งอึ้งในทันที

ไม่ใช่เพราะเราเห็นผีร้ายในห้องนี้จำนวนมาก แต่เป็นเพราะห้องเรียนสุดท้ายที่เข้ามา

 

พวกเรากลับเห็นตุ๊กตาหลากหลายสีที่พังไปแล้ว ทั้งตัวเล็กตัวใหญ่วางเรียงรายเต็มไปหมด

ตุ๊กตาพวกนี้มีจำนวนเยอะมาก จนอาจพูดได้ว่ามีอยู่หลายร้อยตัวเลยก็ว่าได้

และห้องเรียนห้องนี้ก็แปลกมาก ตึกหลังนี้ เหมือนจะถูกปรับปรุงบ้าง เพราะมีทั้งพัดลมเพดาน โต๊ะเรียน และกระดานดำ

และพวกตุ๊กตาเหล่านี้ ก็กำลังแขวนอยู่ที่พัดลม วางไว้บนโต๊ะเรียน หรือบางตัวก็ถูกแปะเอาไว้ที่กระดานดำ

เมื่อเห็นภาพนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุก

แต่สิ่งที่แปลกที่สุดก็คือ พวกเราเดินหามาทั้งตึกแล้ว แต่ก็ยังไม่เจอผีตัวนั้นเลย

 

“ ทำไมไม่มี ” เฟิงเฉ่วหานมองรอบๆด้วยความแปลกใจ

หยางเฉ่วเองก็เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว หยิบตุ๊กตาที่เต็มไปด้วยฝุ่นขึ้นมาหนึ่งตัว จากนั้นก็พูดว่า “ แปลกจัง ทำไมเอาตุ๊กตาเยอะขนาดนี้มาวางเอาไว้ที่นี่ละ…… ”

เสี้ยววินาทีที่หยางเฉ่วพูดจบ ทันใดนั้นก็มีลมเย็นพัดเข้ามาในห้อง จนเกิดเสียง “ ฟูฟูฟู ”

ไม่เพียงเท่านี้ น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธของผู้หญิง ยังดังขึ้นมาจากด้านหลังของพวกเรา “ อย่ามาแตะต้องตุ๊กตาของฉัน…… ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset