ศพ – ตอนที่ 95 พี่เฟิงออกโรง

ตอนที่ 95 พี่เฟิงออกโรง

เนื่องจากหุ่นของหยางเฉ่วดีมาก ขณะที่ผมกดตัวเธอเอาไว้ ผมจึงรู้สึกได้ถึงหน้าอกที่นุ่มนิ่มของเธอทันที

แต่ถึงอย่างนั้นความเจ็บปวดที่หลัง ก็ทำให้ผมไม่มีอารมณ์สนใจเธอแต่อย่างใด

ผมกัดฟันเอาไว้ รีบลุกขึ้นมาจากร่างของหยางเฉ่วทันที

เพราะยัยผีนั้นอาจลงมืออีกครั้ง อันตรายยังคงอยู่

แม้ว่าหยางเฉ่วจะสับสน  เธอคิดไม่ถึงว่าผมจะใช้ชีวิตของตัวเองมาช่วยเธอ แต่นี่เป็นเพียงเรื่องที่เกิดขึ้นในชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น

หลังจากนั้นเธอก็ลุกขึ้นมาตามผม เธอเองก็ได้สติแล้วเช่นกัน

 

เมื่อเห็นเลือดที่แผ่นหลังของผม หยางเฉ่วก็ตะโกนออกมาด้วยความตกใจ “ ติง ติงฝาน…… ”

แต่เธอก็ไม่ได้คิดจะพูดต่อ เพราะยัยผีนั้นได้จู่โจมเข้ามาอีกครั้งแล้ว

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็ตะโกนออกไปว่า “ อย่าพึ่งพูดอะไร แค่แผลภายนอกน่ะ ตอนนี้ต้องจัดการกับยัยผีนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ! ”

ขณะที่พูด ผมก็เดินขึ้นไปข้างหน้า เอื้อมมือออกไปแปะยันต์ที่อยู่ในมืออย่างรวดเร็ว

ต้องยื้อเวลาให้เฟิงเฉ่วหาน รอให้หานเฉ่วเฟิงออกมาซะก่อน พวกเราถึงจะมีโอกาสชนะมากขึ้น

แต่หลังจากหยางเฉ่วเห็นผมบาดเจ็บ ก็รู้สึกโทษตัวเอง

จึงได้สติช้าไปเสี้ยววินาที แต่หลังจากผมลงมือ เธอก็รีบหยิบยันต์ออกมา และวิ่งเข้ามาทันที

 

ยัยผีนั้นดุร้ายมาก “ ไอ้ผู้ชายชั่วสมควรตาย ไปตายซะ ! ”

หลังจากพูดจบ ยัยผีก็เข้ามาจับตัวผมที่กำลังเข้าไป

การจู่โจมนี้รวดเร็วมาก และหลบได้ยากมาก

แต่มาถึงจุดนี้ ผมเองก็ถอยกลับไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงตายไปกับเธอเท่านั้น แม้จะเห็นโอกาสแค่รางๆ

แต่ผมก็กัดฟัน พยายามหลบ จากนั้นก็ถือยันต์เข้าไปแปะเรื่อยๆ

แม้ผมจะพยายามขนาดไหน แต่ระยะห่างก็มากเกินไป จนสุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้

ทันใดนั้น ยัยผีนั้นก็ฟาดมือเข้ามา

 

และแล้วผมก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่หัวไหล่ “ ปัก ” ไหล่ของผมถูกกระแทกอย่างแรง

จนตัวของผมกระเด็นออกไปทันที และสุดท้ายก็กระแทกลงไปกับโต๊ะเรียนโต๊ะหนึ่ง

“ โอ๊ย ” ผมกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังแตกเป็นเสี่ยงๆ มันเจ็บมาก

“ ติงฝาน ! ” หยางเฉ่วตะโกน แต่ในมือทั้งสองข้างก็ยังคงถือยันต์ เข้าไปแปะอย่างต่อเนื่อง

แต่ยัยผีนี้รวดเร็วมาก แม้ว่าหยางเฉ่วจะร้ายกาจขนาดไหน แต่ก็ไม่มีทางเข้ามาใกล้เธอได้ ดังนั้นตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้เธอจึงไม่สามารถแปะยันต์โดนตัวยัยผีนั้นได้เลย

ผลลัพธ์ผ่านไปไม่นาน หยางเฉ่วก็ถูกพลังหยินของยัยผีทำให้ตัวเธอล้มกลิ้งลงไปกับพื้น

ตอนนั้นผมสามารถทนต่อความเจ็บได้แล้ว จึงรีบลุกขึ้นมาจากพื้น

 

เมื่อเห็นหยางเฉ่วล้มอยู่กับพื้น ผมก็รีบตะโกน “ ไม่เป็นไรใช่ไหม ! ”

ขณะที่พูด ผมก็เอื้อมมือไปดึงหยางเฉ่วเข้ามา

เมื่อหยางเฉ่วเห็นผมบาดเจ็บ แต่สายตาก็ยังมุ่งมั่น ดวงตาทั้งสองข้างยังมีเปลวไฟลุกโชน

จึงพยักหน้าให้ผมอย่างแรง “ ฉันไม่เป็นไร ! ”

ขณะที่พูด ผมก็ใช้มือเช็ดเลือดที่มุมปากออก

แต่ยัยผีกลับหยุดลงดื้อๆ ก้มหัวลง ใบหน้าที่ซีดขาวนั้น จู่ๆกลับเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา และเปล่งเสียงหัวเราะ “ ฮึฮึฮึ ” ที่น่าขนลุก

 

ไม่ใช่แค่นี้ ดวงตาขาวโพน ไร้ซึ่งนัยน์ตา ราวกับตาปลาตายคู่นั้น ยังจ้องพวกเราตาไม่กระพริบ ทันใดนั้นพวกเราก็รู้สึกหนาวเย็นขึ้นมาทันที

จากนั้นลมเยือกเย็นก็พัดเข้ามาจากหน้าต่าง ชุดสีเหลืองและผมสีดำขลับของผีสาวค่อยๆปลิวไสว ใบหน้าที่ถูกเลือดจากลิ้นของผมพ่นใส่ กลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว มันกลับมาเป็นใบหน้าขาวซีดอีกครั้ง และแล้วมันก็ทำให้คนรู้สึกถึงแรงกดดันที่รุนแรงสุดๆ

จู่ๆยัยผีนั้น ก็พูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งและเย็นชา “ ไอ้ชายชั่ว หญิงโฉด ฉันจะทำให้พวกแกกระโดดลงไปจากที่นี่ทีละคนๆ ฉันอยากจะเห็น…ที่อยู่ในหัวของพวกแกออกมาแตกกระจายเหมือนตอนนั้นจริงๆ ฮึฮึฮึ…… ”

ขณะที่พูด ผีสาวตนนั้นก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่หน้าต่าง และช่วงเวลานั้นท่าทางของยัยผีนั้นก็ดูตื่นเต้นขึ้นมาทันที

 

ที่นี่คือชั้นเก้า แถมด้านล่างก็คือสถานที่ที่เกิดเหตุเมื่อเช้า

เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้ผู้ตาย ได้กระโดดจากที่นี่ลงไปตาย

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ ผมยังไม่อยากตาย ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่อยากกระโดดตึกตายด้วย

ขณะที่ผมกำลังจะพูดปฏิเสธ แต่ทันใดนั้นเอง เฟิงเฉ่วหานที่อยู่ข้างหลังของผมและหยางเฉ่ว ก็ลุกขึ้นมา

จากนั้นเขาก็ส่ายหัวไปมา น้ำเสียงเย็นชาของก่อนหน้านี้เปลี่ยนไป มันเป็นน้ำเสียงของพวกนักเลง และยังแฝงไปด้วยความโกรธเล็กน้อย “ อีกแล้วเหรอเนี่ย เจ้าขยะนั้นหาเรื่องวุ่นมาให้ข้าอีกแล้วเหรอ ! ”

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ผมก็หันไปมองตามสัญชาตญาณ

เมื่อเห็นเฟิงเฉ่วหานลุกขึ้นมา แถมสีหน้าและท่าทาง ยังแตกต่างจากเฟิงเฉ่วหานโดยสิ้นเชิง

 

ผมก็รู้ได้ทันทีว่า ดวงวิญญาณอีกดวงที่อยู่ในร่างของเขา หรือพี่ชายหานเฉ่วเฟิงได้ออกมาแล้ว

ผมพูดด้วยความดีใจ “ พี่เฟิง ออกมาแล้วเหรอ ! ”

หานเฉ่วเฟิงขยับคอสองสามครั้ง “ เออ ! นายก็อยู่ซินะ! พูดให้พี่ฟังซิ ว่ายัยผีชุดเหลืองนี่มันอะไรกัน ! ดูท่าทางดุร้ายมากซะด้วยแฮะ ! ”

หยางเฉ่วมึนงงทันที เธอไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

เพราะน้ำเสียงของหานเฉ่วเฟิง แตกต่างจากเฟิงเฉ่วหานลิบลับ

ส่วนผีสาวตรงหน้า ก็มึนงงเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นยัยผีก็แสดงทีท่าว่าจะลงมือกับพวกเราต่อ

“ พี่เฟิง ยัยผีนี่ฆ่าคนไปเยอะมาก พวกเราคิดจะมาจัดการเธอ ! แต่ผลลัพธ์กลับ…… ”

 

ผมยังพูดไม่จบ หานเฉ่วเฟิงก็พูดแทรก “ ผลลัพธ์กลับกลายเป็นเจ้าโง่นี่ถูกมันจัดการ ! ”

ผมทำหน้าลำบากใจ แต่ก็พูดอะไรไม่ออก

เพราะมันเป็นแบบนั้นจริงๆ ก่อนหน้านี้พวกเราดูถูกพลังของอีกฝ่าย

ถึงตอนนี้พวกเราเป็นสามรุมหนึ่ง แต่ก็แทบจะสู้กับยัยผีนี้ไม่ไหวเลย

เมื่อหานเฉ่วเฟิงเห็นผมเงียบก็พูดว่า “ ชั่งเถอะ ไหนๆพี่ก็ออกมาแล้ว จะช่วยพวกนายจัดการยัยนี่ก็แล้วกัน ! ”

เสียงพึ่งจางหาย จู่ๆพลังของหานเฉ่วเฟิงก็เปลี่ยนไป แม้แต่สีหน้าก็ยังมืดมนลง

 

ไม่รอให้ยัยผีได้ตั้งตัว เขาก็เหมือนจรวดมิสไซส์ พุ่งตรงออกไปทันที

เมื่อหยางเฉ่วเห็นสิ่งนี้ ก็ทำหน้าไม่เข้าใจหนักกว่าเดิม “ ติงฝาน นี่ นี่มันเรื่องอะไรกัน ”

เห็นได้ชัดว่าหยางเฉ่วก็เริ่มมองเห็นความผิดปกติ แต่ตอนนี้มันใช่เวลาอธิบายที่ไหนกันละ ผมจึงรีบพูดว่า “ อย่าพึ่งถามเรื่องนี้ ไปจัดการยัยผีนี่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ! ”

ขณะที่พูด ผมก็หยิบเก้าอี้มาหนึ่งตัวและยันต์ออกมา แล้วพุ่งขึ้นไปอีกครั้ง

หยางเฉ่วเองก็รู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเราดี จึงไม่ลังเล

เธอห้ามความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้ และพุ่งขึ้นไปเช่นกัน

แต่ยัยผีนี่ก็ร้ายกาจมาก เมื่อเห็นเฟิงเฉ่วหานพุ่งเข้ามา ก็ทำหน้าเข้ม กางกรงเล็บออกและพุ่งเข้าใส่เช่นกัน

 

ขณะเดียวกันก็คำราม “ โฮกโฮก ” ออกมา ท่าทางดูโมโหมาก

แต่หานเฉ่วเฟิงเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จัดการได้ง่ายๆ

รากฐานของเขาก็คือวิญญาณที่มีชีวิต พลังที่มีก็ “ เยอะมากๆ ”

ทั้งที่สองคนนี้พึ่งเจอกัน วินาทีแรกก็ถูกยัยผีขู่แล้ว

ถ้าไม่ได้เป็นเพราะในมือไม่มีดาบไม้ บางทีตอนนี้พวกเราก็คงจัดการยัยผีนี้ได้แล้ว

พลังที่หยางเฉ่วมีก็ไม่น้อย สามารถช่วยหานเฉ่วเฟิงสู้ได้

ส่วนผม กลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย

การฝึกฝนที่ไม่ถึงสองเดือน ทำให้พลังในร่างกายของผมเพิ่มขึ้นมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงทำได้เพียงยืนเชียร์อยู่ข้างๆ และมองหาโอกาสที่จะลอบโจมตีอีกฝ่าย

 

หลังจากต่อสู้กันมาประมาณ 5 นาที หยางเฉ่วยังคงเข้าไปแปะยันต์ ที่ตัวของผีสาวไม่ได้

ผีสาวนี้ร้ายกาจมาก แต่เธอก็ไม่กล้าให้ตัวเองถูกแปะยันต์ จนทำได้เพียงหลบอย่างต่อเนื่อง

ระหว่างนั้น หานเฉ่วเฟิงกลับพูดฮึอย่างเย็นชา เมื่อมองเห็นช่องว่าง ก็กำหมัดเข้าไปต่อยทันที

การเคลื่อนไหวครั้งนี้เร็วมาก ยัยผีนั้นไม่รู้ตัวเลยสักนิด จึงถูกต่อยเข้าที่หน้าอย่างจัง

ทันใดนั้นยัยผีก็กรีดร้อง “ โอ๊ย ” และกระเด็นออกไป กระแทกเข้ากับผนังอย่างแรง

ผมเดินวนไปรอบๆ แม้ว่าจะเป็นกำลังหลักไม่ได้ แต่ก็สามาถมองเห็นโอกาสที่มาถึงได้

ช่วงเวลานั้น ก็คือโอกาสที่ดี

ผมไม่ลังเลเลยสักนิด อดกั้นความเจ็บปวดที่หลังเอาไว้

 

วิ่งขึ้นไปข้างหน้า ไม่รอให้ผีสาวได้ลุกขึ้น ผมก็เข้าไปแปะยันต์ที่ผีสาวทันที

ผีสาวตนนั้นแสดงสีหน้าตกตะลึง เธออยากจะหลบมัน แต่ก็สายไปแล้ว

ทันใดนั้นเสียง “ แปะ ” ก็ดังขึ้น ยันต์แปดทิศในมือของผม แปะเข้าที่หน้าผากของผีสาวทันที

หลังจากนั้น ผมก็เริ่มเสกคาถาอย่างรวดเร็ว

ใช้มือทั้งสองข้างเสกคาถา หลายวันนี้ผมฝึกอยู่ตลอด จึงทำให้ความเร็วของกระบวนท่าเร็วขึ้นมาก

ผ่านไปแค่ 2 วินาที ผมก็ทำกระบวนท่าทำมือเสร็จ ผมนำมือที่ทำกระบวนท่าสุดท้ายชี้ออกไป

สีหน้าของผมมืดมนลง ตะโกนออกมาทันที “ ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง ทำลาย ! ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset