ศพ – ตอนที่ 96 กระโดดตึก

ตอนที่ 96 กระโดดตึก

เมื่อมือชี้ออกไป และเสียงของผมดังขึ้น

ทันใดนั้นยันต์แปดทิศที่แปะเอาไว้ที่หน้าผากของยัยผี ก็ระเบิดทันที

แสงสีขาวสว่างว๊าบ ส่งเสียงดัง “ ปัง ”

ระหว่างนั้น พลังหยางจากยันต์ก็ไหลทะลักออกมา

และยัยผีนั้น ก็กรีดร้องโหยหวน “ อร๊าย ” ดิ้นทุรนรุรายไปมา

ผมไม่เคยเห็นยัยผีนี่มาก่อน และไม่รู้ว่าพลังของเธอนั้นร้ายกาจกว่าผีเร่ร่อนมากขนาดไหน

ดังนั้นหลังจากคาถาทำงาน มันก็ไม่อาจฆ่าชีวิต หรือทำร้ายพลังชั่วร้ายในร่างของผีสาวได้

 

แต่อย่างน้อยก็สามารถทำให้พลังชั่วร้ายของเธออ่อนลงได้มาก ถึงแม้จะไม่ตาย แต่พลังที่มีก็ลดลงไปอย่างมาก

ดังนั้นหานเฉ่วเฟิงและหยางเฉ่วที่อยู่ข้างๆจึงไม่รอช้า หลังจากยันต์นั้นทำงาน ก็ตรงมาบดขยี้ ซ้ำเติมอีกฝ่ายให้จมลงสู่ความพ่ายแพ้ กำจัดยัยผีนั้นทันที

แต่สิ่งที่พวกเราคิดไม่ถึงคือ หลังจากที่ยัยผีนั้นกรีดร้องออกมา แม้พลังของเธอจะลดลงไปมาก แต่เธอก็ยังมีแรงสู้อยู่

เมื่อเห็นหานเฉ่วเฟิงและหยางเฉ่วเข้ามา สีหน้าของเธอเคร่งขรึมขึ้น  แล้วเธอรีบเคลื่อนที่หลบหนีอย่างรวดเร็ว ราวกับปลาไหล คืบคลานออกไปตามพื้นทันที

เธอเร็วสุดๆ เมื่อพวกเราเอื้อมมือออกไปจับ ตรงนั้นก็ไม่มีแม้เพียงเศษเสี้ยวของเธออยู่แล้ว

มันยังไม่จบเพียงเท่านี้ หลังจากที่ยัยผีนั้นคานออกไปจากแนวล้อมที่พวกเราทำเอาไว้ เธอก็ไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น เธอยังตรงออกไปจากห้องเรียน

 

เมื่อหานเฉ่วเฟิงเห็นแบบนี้ ก็ตะโกนออกมาทันที “ แม่…ซิ ดูซิว่าแกจะหนีไปไหนได้ ! ”

หลังจากพูดจบ หานเฉ่วเฟิงก็พุ่งตามไปคนแรก

ผมรู้สึกเสียใจมาก เพราะคาถาที่ใช้ไม่สามารถจัดการยัยผีนี้ได้

ถ้าเปลี่ยนมาเป็นฝีมือของหยางเฉ่ว ยัยผีนั้นคงถูกจัดการไปแล้ว และก็คงหนีไปไม่ได้แบบนี้

แต่ขณะนั้นเองผมและหยางเฉ่วก็ไม่ได้ยืนอยู่นิ่งๆ พวกเราเองก็รีบตามไปเช่นกัน

เพียงชั่วพริบตา พวกเราก็ตามหานเฉ่วเฟิงออกมานอกห้อง

 

ขณะที่เท้าแตะขอบประตู พวกเราก็เห็นหานเฉ่วเฟิงอยู่บนทางเดินในตึก

“ พี่เฟิง ยัยผีนั้นหายไปไหน ” ผมตะโกนถาม

“ อยู่บนดาดฟ้า จะปล่อยให้มันหนีไปไหนไม่ได้ ! ” หานเฉ่วเฟิงรีบตอบ จากนั้นก็หมุนตัว วิ่งไปที่ดาดฟ้าทันที

ผมและหยางเฉ่วตามไปข้างหลัง ห่างกันไม่ถึง 5 เมตร

เพียงชั่วพริบตา พวกเราก็ขึ้นมาถึงดาดฟ้า

ดาดฟ้าของที่นี่ยังสร้างไม่เสร็จ จึงมีเศษซากกำแพงอิฐขึ้นรูปอยู่

พวกเรายืนมองรอบๆดาดฟ้า และแล้วก็เห็นยัยผีกำลังยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของดาดฟ้า ขณะนี้เธอกำลังมองลงไปข้างล่าง

 

หานเฉ่วเฟิงยืนอยู่ด้านหน้าสุด เมื่อเห็นสิ่งนี้เขาก็หยุดอยู่กับที่ทันที

ทันใดนั้นก็หยิบบุหรี่ออกมาหนึ่งมวน “ ทำไมไม่หนีต่อละ ”

ขณะที่พูด เขาก็สูบบุหรี่หนึ่งครั้ง

แต่เสียงพึ่งจางหาย ทันใดนั้นผีผู้หญิงก็หันมาอย่างรวดเร็ว และแล้วดวงตาสีขาวโพน ก็จ้องมาที่พวกเรา

ขณะเดียวกันก็พูดด้วยเสียงกัดฟัน “ พวกแกมันพวกผู้ชายชั่ว ฉันไม่มีทางให้พวกแกทำสำเร็จได้แน่ๆ ! พวกแกจะต้องตายอยู่ที่นี่ กระโดดลงไปตายจากที่นี่ ”

ผีผู้หญิงตนนี้กลายเป็นวิญญาณชั่วร้ายมานานแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงไม่สนใจสิ่งที่เธอพูดเลยสักนิด

แต่จากคำพูดพวกนั้น พวกเราสามารถรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดในตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่

 

ไม่ต้องพูดก็รู้ว่า ยัยผีนี่กระโดดตึกตายเพราะผู้ชาย ไม่อย่างนั้นปากของเธอก็คงไม่เอาแต่ด่าว่าผู้ชายชั่ว และกระโดดตึกตายอะไรพวกนั้น

ส่วนเป็นเรื่องที่เหมือนกับเรื่องเล่าไหม ที่เธอคิดสั้นกระโดดตึกตายเพราะถูกข่มขืน ตอนนี้พวกเราเองก็ยังไม่สามารถทำให้มันกระจ่างได้เลย

เมื่อได้ยินสิ่งที่ผีผู้หญิงพูด ผมก็โต้กลับทันที “ แกจะทำอะไร ”

แต่ยัยผีนั้นกลับทำหน้ามืดมน หัวเราะ “ ฮึฮึฮึ ” ออกมาอย่างน่าขนลุก สุดท้ายเท้าทั้งสองข้าง ก็ก้าวไปด้านหลัง

ทันใดนั้น ร่างของเธอก็ได้ตกลงไปจากดาดฟ้าทันที

เมื่อเห็นสิ่งนี้ พวกเราก็ยืนอึ้ง

 

หานเฉ่วเฟิงที่ยืนอยู่หน้าสุดดับบุหรี่ และวิ่งไปดูทันที

“ แม่งเอ้ย คิดหนีงั้นเหรอ ”

เมื่อเห็นหานเฉ่วเฟิงวิ่งไปดู ผมและหยางเฉ่วก็วิ่งตาม

ขนาดกลายเป็นผีแล้ว  ผมก็ยังไม่เชื่อว่าเธอยังกล้ากระโดดตึกตายได้อีก หรือจะคิดหนีไปจริงๆ

แต่ตอนที่พวกเรามาถึงขอบดาดฟ้า และมองลงไปข้างล่าง ทันใดนั้นก็พบว่าที่พื้น ว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง

“ บัดซบปล่อยให้มันหนีไปจนได้ ! ” จู่ๆหายเฉ่วเฟิงก็พูดออกมา ด้วยความโกรธ

 

หยางเฉ่วขมวดคิ้ว “ ไม่มีทาง ยัยผีนี้อาฆาตแรงมาก สิงอยู่ที่ตึกร้างนี้มานานแล้ว เธอไม่มีทางออกไปจากตึกนี้แน่ ! ”

เสียงของหยางเฉ่วพึ่งจบลง ไม่รอให้พวกเราได้พูดต่อ

ทันใดนั้นด้านหลังของพวกเราก็มีเสียงน่าขนลุกดังขึ้น “ ฮึฮึ ถูกต้อง ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น แต่อยากเห็นสภาพตอนพวกแกกระโดดตึกตาย ! ”

จู่ๆก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างหลัง พวกเราสามคนจึงตัวสั่นตามสัญชาตญาณ

วินาทีนั้นพวกเราก็แสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมาทันที เพราะเสียงนี่ ก็คือเสียงของยัยผีนั้น

และตอนนี้เธอยังอยู่ข้างหลังของพวกเรา แถมดูเหมือนจะอยู่ใกล้พวกเรามากอีกด้วย

 

ตอนนี้พวกเราอยู่ในสถานะสิ้นหวัง เพราะถ้าถูกยัยผีนั้นผลัก ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอันตรายมากขนาดไหนขึ้น

แต่วินาทีที่พวกเราหันไปมอง ในเวลาเดียวกันพวกเราสามคนก็รู้สึกถึงสายลมเย็นๆที่พัดเข้ามา ราวกับถูกคนผลัก

หลังจากนั้น พวกเราสามคนก็กลัวจนแทบบ้า ร่างกายโน้มตัวไปข้างหน้า ราวกับกำลังจะตกจากดาดฟ้า

พระเจ้านี่มันชั้นเก้าเลยนะ ถ้าตกลงไปจากที่นี่ หัวของพวกเราจะต้องแตกเหมือนลูกแตงโม และต้องตายแน่ๆ

สีหน้าหวาดกลัวปรากฎขึ้นทันที ทันใดนั้นพวกเราก็ต่างกรีดร้อง

แต่มันสายไปแล้ว เพราะพวกเราสามคนได้หล่นลงมาจากดาดฟ้าแล้ว และเริ่มล่วงลงไป

ช่วงเวลานั้น ตัวของผมรู้สึกชาไปหมด

 

ตะโกนในใจว่าแย่แล้ว เมื่อตอนกลางวันผมและเฟิงเฉ่วหานพึ่งเข้าไปดูนักศึกษากระโดดตึกตายพร้อมๆกับนักศึกษาคนอื่นๆที่อยู่รอบๆ

ดูจากสภาพแล้วพรุ่งนี้เช้า คนอื่นจะต้องมาดูศพของพวกเรากระโดดตึกตายแน่

ขณะที่ผมกำลังเสียขวัญ คิดว่าตัวเองกำลังจะตายเพราะการกระโดดตึก

ทันใดนั้นหยางเฉ่วที่อยู่ข้างๆผม กลับดึงเส้นลวดเส้นหนึ่งออกมาจากเอวของเธอ

เสียงดัง “ ฟืด ” จากนั้นหยางเฉ่วก็รีบ นำลวดที่ดึงออกมาโยน ไปหาส่วนที่สร้างไม่เสร็จของตึกร้างที่อยู่ไม่ไกลมากนัก

ส่วนมืออีกข้างก็ เข้ามาจับมือของผมเอาไว้

 

ยัยนี่เป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าหยางเฉ่วจะยังมีอาวุธลับซ่อนอยู่ เมื่อเห็นเส้นลวดเส้นนั้นผูกติดเรียบร้อย

ภายใต้สถานการณ์วิกฤตแบบนี้ ผมจะกล้าลีลาได้ยังไง

รีบใช้มืออีกข้าง เอื้อมออกไป จับตัวหานเฉ่วเฟิงเอาไว้ทันที

ทันใดนั้นผมรู้สึกว่าแขนของตัวเองตึงมาก ขณะนั้น ผม หยางเฉ่ว และหานเฉ่วเฟิงสามคน กำลังลอยอยู่ในอากาศ โดยที่กำลังแกว่งไปมา

เมื่อหันไปมองหยางเฉ่วอีกครั้ง ผมก็พบว่าเธอกำลังทรมาน ถูกลวดเส้นนั้นบาดจนเลือดออก ขณะเดียวกันเลือดพวกนั้นก็ไหลลงมาตามแขนของเธอ

 

ถ้าเมื่อกี้ไม่ได้เป็นเพราะส่วนปลายของลวดถูก “ กระดุมเหล็ก ” รั้งเอาไว้ ป่านนี้หลังมือของหยางเฉ่วก็คงถูกลวดรัดขาดเป็นสองท่อนแล้ว

“ พวกนาย พวกนายยังโอเคอยู่ไหม ! ” หยางเฉ่วพยายามพูด เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เธอกำลังทรมานสุดๆ ใบหน้าเริ่มแดงเล็กน้อย

“ ฉันไม่เป็นไร ! ” ผมพูดตรงๆ พร้อมกับขมวดคิ้ว

“ น้องสาว พี่ติดหนี้ชีวิตเธอ ! ” หานเฉ่วเฟิงพูดตรงๆ

และในตอนนั้นเอง เสียงของยัยผีนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ สมควรตาย พวกแกสมควรตาย ตกตึกตายไปซะให้หมด ! ”

หลังจากพูดจบ ดูเหมือนยัยผีนั้นจะบ้าคลั่ง เริ่มเสียสติขึ้นมาอีกครั้ง

 

แต่เสียงพึ่งตกลง เธอก็ถลึงตาใส่พวกเรา อ้าปากกว้าง เตรียมพ่นไอดำใส่หยางเฉ่วที่อยู่ข้างบน

เมื่อเห็นสิ่งนี้ สีหน้าของพวกเราสามคนก็เปลี่ยนไปทันที

นี่มันไอจากพลังหยินที่ชั่วร้าย ถ้าไม่หลบละก็ ต้องถูกไอนั้นฆ่าตายแน่

ทันใดนั้นผมก็เห็นว่าด้านล่างมีหน้าต่างอยู่บานหนึ่ง ถ้าจับขอบหน้าต่างได้แล้วเข้าไปในนั้น พวกเราก็อาจหลบเจ้านี้ได้สำเร็จ

ตอนนี้พวกเราไม่มีเวลามาคิดมาก ผมจึงตะโกนทันที “ พี่เฟิง กระโดดเข้าไปในหน้าต่างบานนั้นเลย ! ”

แม้ว่าหานเฉ่วเฟิงจะเป็นแค่วิญญาณดวงหนึ่ง แต่ก็เป็นคนมีฝีมือ

เสียงของผมพึ่งขาดหาย เขาไม่คิดเลยสักนิด แบมือออก และกระโดดลงไปทันที

 

เมื่อจับขอบหน้าต่างได้ เขาก็ปีนเข้าไปได้สำเร็จ

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็ตะโกนบอกหยางเฉ่วที่อยู่ข้างบนว่า “ หยางเฉ่ว พวกเราก็ควรกระโดดได้แล้ว ! ”

และแล้วไอดำจากพลังหยินก็เข้ามาอย่างรวดเร็ว หยางเฉ่วลังเลต่อไปไม่ได้ จึงพยักหน้ารับ “ กระโดด ! ”

หลังจากพูดจบ ผมสองคนก็ปล่อยมือออกจากกัน พุ่งลงไปหาหน้าต่างบานนั้นทันที

โชคดีที่โชคยังช่วย ผมและหยางเฉ่วจับขอบหน้าต่างไว้ได้เช่นกัน

จากนั้นหานเฉ่วเฟิงก็เข้ามาช่วย พวกเราจึงปีนเข้ามาได้อย่างรวดเร็ว “ แม่งเอ้ย ยัยผีนี่เล่นลูกไม้ แม้แต่ข้าก็โดนพลังหยินของยัยผีนั้น ”

 

หานเฉ่วเฟิงพูดอย่างเซ็งๆ ผมและหยางเฉ่วยังกลัวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกดีกับชีวิตที่เหลืออยู่

แต่ว่า ความอันตรายยังไม่จบเพียงเท่านั้น

ยัยผีนั้นยังอยู่ ยังไม่ตาย และอยู่บนดาดฟ้า

เมื่อหันไปมองรอบๆหนึ่งครั้ง ก็ต้องพบกับสิ่งที่หน้าตกใจ

ห้องที่พวกเรากระโดดเข้ามา ก็คือห้องเรียนประหลาดๆที่มีแต่ตุ๊กตาวางเอาไว้เต็มห้องนั่นเอง…….

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset